15 ก.ย. 2020 เวลา 15:08 • นิยาย เรื่องสั้น
🎯เรื่องสั้นขนาดยาวชุดนทีแห่งชีวิต
..
อิยะ..กับความหมายที่หายไป ซีซั่น2
..
เรื่อง..เด็กชายในกระจก
ตอนที่๗..เด็กชายในกระจก (ตอนจบ)
..
..ความเดิมตอนที่แล้ว
"คุณย่า"
เด็กหนุ่มค่อยๆลุกจากที่นอน..เดินไปที่กระจกเงา ภาพนั้นค่อยๆแจ่มชัด  เขาเห็นตัวเอง เด็กชายในกระจก และผู้เป็นย่าเดินเข้าเบื้องหลัง บีบไหล่ทั้งสองข้างอย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นแผ่ซ่าน สองมือที่อ่อนโยน กลิ่นดอกดอกแก้วที่คุ้นเคย ย่ามักจะเก็บมาใส่ถุงผ้าใบเล็กวางข้างหมอน ให้เด็กน้อย แล้วบอกว่ากลิ่นนี้จะทำให้ฝันดี
บางครั้งก็เป็นหัวหอมบุบ ย่าบอกว่าแก้หวัดและเขามักจะแอบโยนลงถังขยะเสมอ หลังย่าคล้อยหลัง แพ้อากาศก็ใช่ว่าจะชอบหัวหอมสักหน่อย เด็กชายอมยิ้ม🍃
..
..
"ไปดูละครกันมั้ย..ไปเป็นเพื่อนย่าหน่อยนะ"
ภาพสองย่าหลานกลืนเลือนหายไปในกระจก
ขอบคุณมายาชาแนล
..
..
“อิฉันชื่อพลอยค่ะ อิฉันรักพระเจ้าแผ่นดิน หากมีใครเกิดสงสัยว่า ด้วยเพราะความคิดอะไร จึงทำให้อิฉันเอ่ยปากออกมาเป็นคำพูดเยี่ยงนี้ อิฉันจะเล่าเรื่องราวของอิฉันให้ฟัง เรื่องราวของชีวิตที่เปรียบดังสายน้ำแห่งคลองบางหลวง ที่บางครั้งเอ่อล้นฝั่ง  แต่บางคราวกลับลดต่ำแห้งขอด และก็มีหลายๆ ครั้งที่ไหลเชี่ยว วกวนเกินคาดเดา🍃
และท่ามกลางกระแสชีวิตที่ผันแปร ความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นกลับผ่านพ้นไปได้เสมอ เพราะชีวิตของอิฉันมีเสาหลักให้ยึดเหนี่ยว เสาหลักที่ช่วยพยุงกายและใจ และดูเหมือนจะไม่ใช่อิฉันเพียงคนเดียว หากแต่เป็นคนไทยทั้งแผ่นดินที่มีหลักยึดเหนี่ยวเดียวกันนี้ ทำให้ชีวิตมีความหวังอยู่เสมอ และนี่คือเรื่องราวของอิฉัน เรื่องราวชีวิตของคนๆ หนึ่ง ที่ผ่านมาตลอดทั้งสี่แผ่นดิน”🍃
แสงไฟสาดส่องโฟกัสที่แม่พลอย ซึ่งรับบทโดย สินจัย เปล่งพานิชย์ ดารานักแสดงชื่อดังในยุคนั้น เสียงมีอำนาจและอบอุ่น สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นสะกดทุกสายตาให้ทุกคนมุ่งมองไปที่เธอ
สี่แผ่นดินจากบทประพันธ์ของหม่อมราชวงค์คึกฤทธิ์ ปราโมช ถูกดัดแปลงถ่ายทอดมาเป็นละครเวทีกำกับโดยคุณถลกเกียรติ วีรวรรณ
..
..
"คุณย่าเหมือนแม่พลอยเลยครับ"
เด็กชายพูดแต่สายตายังจับจ้องที่ตัวละครที่โลดแล่นบนเวที สลับกันไปมาเป็นฉากๆ
"ไม่หรอกจ๊ะ ย่าไม่เหมือนอาจจะมีความคล้ายอยู่บ้าง จริงๆแล้วก็คล้ายกับทุกคน ชีวิตเหมือนสายน้ำ นทีแห่งชีวิต บางครั้งราบเรียบ บางครั้งเอ่อล้น บางครั้งแห้งขอด" ผู้เป็นย่ากล่าวโดยไม่ลืมที่จะหันมามองหลานรักด้วยความเอ็นดู
..
ย่าน้ำตก
"สิ่งที่แน่นอนคือความไม่แน่นอน ปู่เองก็ด่วนจากลาก่อนวัยอันควรเหมือนคุณเปรมสามีของแม่พลอย "เธอกล่าวเบาๆ
“ไม่มีวันไหนที่ทุกอย่างสมบูรณ์พร้อมไปหมดทุกอย่าง แต่ทุกๆ วันก็สวยงามอย่างที่มันเป็น” คุณเปรมบอกแม่พลอยเหมือนที่ปู่บอกกับย่า
ย่าจึงมีความสุขในการทำทุกๆวันให้ดี แม้ผลจะออกมาจะเป็นยังไงก็ตาม
แม่พลอยได้รู้ได้เห็นความเป็นไปตลอดสี่รัชกาลตั้งแต่ถวายตัวอยู่ในวังชีวิตผูกพันกับราชสำนักมาโดยตลอด และแต่งงานกับคุณเปรม จึงย้ายออกวัง
แม้กระนั้นก็รู้ความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงในวัง หลังจากการปฏิวิติสยามปี2475 ค่านิยมแบบเก่าถูกกระทบกระเทือน ลูกทั้งสามของแม่พลอยเกิดความเห็นขัดแย้งทางการเมือง
จนกระทั่งสูญเสียลูกชาย และเธอก็ได้สิ้นใจไปพร้อมกับข่าวในหลวงรัชกาลที่8 สิ้นพระชนม์
“แผ่นดินจะร่มเย็นเป็นสุข ตราบเท่าที่คนไทยยังมีเสาหลักนี้เป็นที่ยึดเหนี่ยวแก่จิตใจ เสาหลักที่มิใช่หมายถึงเพียงตัวบุคคล แต่หมายถึงพระเจ้าแผ่นดินทุกๆ พระองค์ที่ทรงเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจของปวงชนชาวไทยไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน”
…. อิฉันรักพระเจ้าแผ่นดิน….
คำพูดของแม่พลอยพูดในช่วงท้ายก่อนที่ไฟเวทีสาดส่องตัวเธอ..ค่อยๆหรี่ดับลงทีละดวง
ขอบคุณภาพวิกิพีเดีย
"ย่า..กำลังบอกอะไร ผมใช่มั้ย"
..
ย่ายิ้มเอามือลูบศรีษะโน้มเขามาที่อก
"หนูบอกย่าได้มั้ย ชู3นิ้วหมายความว่าอะไร บอกย่าได้มั้ย" แทนที่ผู้เป็นย่าจะตอบ กลับถามย้อนคืน
"อืม..นิ้วหนึ่งคือสันติภาพ นิ้วหนึ่งเสรีภาพ อีกนิ้วภราดรภาพความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันครับ"
เด็กชายยกนิ้วโชว์ตั้งใจอธิบาย
"ย่าเข้าใจแล้ว"ย่าพยักหน้ายิ้ม
"แต่...ที่ผมไม่ยืนเคารพ เพราะผมจะมาดูหนัง
ไม่เกี่ยวกับว่าเคารพหรือไม่เคารพนะครับย่า
มันเป็นเสรีที่เราน่าเลือกปฏิบัติได้ "
"เราแค่อยากมาดูหนัง..แค่นั้น"เด็กหนุ่มกล่าวน้ำเสียงเชิงน้อยใจ
"ย่าเข้าใจ ย่าเข้าใจ" หญิงชราตอบ พลางลูบแก้มเด็กหนุ่มเพื่อปลอบโยน
"หนูไม่เอาพระเจ้าแผ่นดินใช่มั้ย"ย่าเอ่ย
..
เด็กหนุ่มนิ่งเงยหน้ามองย่า เหมือนย่าจะรู้ทันเขาไปซะหมดทุกอย่าง
"ก็ไม่อย่างนั้นซะทีเดียวขอรับ คนอื่นคิดยังไงไม่รู้ ส่วนตัวผมคิดแค่ว่าเราแค่อยากมีเสรีภาพ มีประชาธิปไตย เราจะเป็นเหมือนประเทศอื่นได้มั้ย เราจะเสมอภาคกันได้มั้ย อย่างฝรั่งเศส เก็บไว้เป็นความทรงจำก็พอ
ยุคนี้ล้าสมัยไปแล้ว และเราก็มีสิทธิ์ที่จะทำใช่มั้ย"
หญิงชรายิ้มละไม ไล้ผมเด็กหนุ่มอย่างเบามือ
"จำได้มั้ย ก่อนวิกฤตโควิด ย่าและปู่เรามีที่ให้เด็กๆเล่น เด็กที่เขาด้อยโอกาสที่จะเข้าถึงการรักษา เพียงเพราะว่า สังคมพิพากษาให้เขาเป็นคนบ้า คนวิกลจริต คนไร้สมรรถภาพ แต่ปู่และย่าก็สู้ จนตั้งมูลนิธิใจใสขึ้นมา เพื่อผู้ป่วยโรคซึมเศร้าให้กลับไปดำรงชีวิตเหมือนคนปกติ เป็นความภูมิใจของย่ามากนะ"
"ปู่เคยพูดว่า เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วสร้างประโยชน์ให้ใครได้ สักคนบ้างก็ยังดี
เมื่อเราไร้เรี่ยวแรง เด็กๆเหล่านั้นหลายคนก็กลับมา พร้อมรอยยิ้ม พร้อมกับชีวิตใหม่ เหมือนที่ในหลวงร.9ทำมาตลอดชีวิต เพื่อประชาชน และเพื่อเกื้อกูลตอบแทนสถาบันที่บูรพกษัตริย์ได้เกื้อกูลแผ่นดินให้เรามีที่อยู่"
ย่ามองผู้เป็นหลานที่กำลังตั้งใจฟัง ยิ้มแล้วเล่าต่อไปว่า
"รัชกาลที่3ทรงออมเงินใส่ไว้ในถุงแดงข้างเตียง ด้วยรู้ว่าอนาคตเราต้องไถ่ถอนประเทศจากการคุกคามจากภายนอก
รัชการที่5เลิกทาสอย่างไม่มีใครต้องล้มตายเหมือนชาติอื่นๆ
รัชกาลที่6ทรงสร้างเมืองตุ๊กตา จำลองประชาธิปไตย ชื่อดุสิตธานี แม้ว่าหลายคนเล็งเห็นว่าเป็นเรื่องล้อเล่น แต่ใครจะรู้มากกว่าพระองค์ท่าน ท่านเห็นด้วยนะสำหรับประชาธิปไตยและท่านเองก็เป็นนักเรียนนอก แต่สยามขณะนั้นยังไม่พร้อมด้วยความรู้ของผู้คน การเตรียมความพร้อมจึงสำคัญ ท่านจึงกำหนดให้เด็กทุกคนต้องเรียนขั้นมูล"
..
..
.."การปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ทรงมีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว อาจส่งผลร้ายต่อบ้านเมืองได้ ถ้าพระเจ้าแผ่นดินนั้น
เปนผู้ที่มีน้ำใจพาลสันดานหยาบ ดุร้ายและไม่ตั้งอยู่ในราชธรรม เห็นแก่พวกพ้องและบริวารอันสอพลอและประจบ ฉนี้ก็ดีประชาชนก็อาจได้รับความเดือดร้อน ปราศจากความศุข ไม่มีโอกาสที่จะเจริญได้ ดังนี้จึงเห็นได้ว่าเปนการเสี่ยงบุญ เสี่ยงกรรมอยู่”
(จดหมายเหตุรายวัน ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, (กรุงเทพฯ : พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ หม่อมเจ้าชัชวลิต เกษมสันต์, 2517), น. 49.)
นี่คงเป็นเครื่องชี้ชัดว่า พสกนิกร ยังอยู่ในใจพระองค์ท่านเสมอ" ผู้เป็นย่าผินหน้าไปที่หน้าต่าง สายตาจับจ้องที่ท้องฟ้า..น้ำตาปริ่มแล้วด้วยแรงแห่งความภักดี
"หากไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่สืบเนื่องจนถึงยุคเรา  เราจะมีเราอยู่อย่างนี้หรือเปล่า ถ้าไม่มีปู่ย่า หรือพ่อแม่และบรรพบุรุษของย่า ย่าก็ไม่มีพื้นที่เพียงพอที่สร้างมูลนิธิได้"
"วันหนึ่งถ้าย่ายังอยู่ แต่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง หนูจะไล่ย่าออกจากบ้านมั้ย"
เด็กหนุ่มส่ายหน้า
"แล้วหนูจะไล่พ่อแม่หนูมั้ย"
เด็กหนุ่มส่ายหน้า
"เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมนี่ครับ"
"เหมือนกัน  พระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ทรงสร้างรากฐาน พระองค์ท่านทรงช่วยเหลือเราจนยังมีแผ่นดินให้ลูกหลานพสกนิกรอยู่อย่างร่มเย็น มีเราก็ยังมีสถาบัน ไม่มีเราสถาบันกษัตริย์จะอยู่ได้อย่างไร เพราะมีเราความผูกพันจึงเกื้อกูลมาตลอดทุกยุคสมัย ถามฝรั่งมังฆ้อง เขาไม่เคยสัมผัสกับสิ่งนี้ ไม่ผิดที่เขามองเราล้าหลัง เพราะรากเหง้าที่มาไม่เหมือนกัน ก็เป็นสิ่งที่เขาคิดนึกเอาจากสิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่สัมผัสจากหัวใจ
จะอย่างไรก็ตามนะอาโปหลานรัก..
เราไม่ได้ดูถึงตัวบุคคลแต่เราดูถึงองค์รวมพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์โดยมีทศพิธราชธรรมค้ำจุนมันไม่ใช่เรื่องล้าสมัยหรือไม่ล้าสมัย แต่เป็นสิ่งที่เราแสดงออกมันมาจากในนี้"
..
..ผู้เป็นย่าทาบมือไปที่อกเด็กหนุ่ม..อุ่นมั้ย..เขาหลับตาพยักหน้า หัวใจที่เต้นอย่างอ่อนโยนเป็นอย่างนี้เอง ความอบอุ่นที่มีย่าเป็นดั่งร่มไม้ใหญ่ ดั่งบูรพกษัติย์ที่เป็นหลักชัยแห่งร่มพระบารมี..
"เราแสดงออกหรือไม่แสดงออก มันก็อยู่ในนี้"
"ย่าอาจเป็นคนรุ่นก่อน ย่าเลือกที่จะแสดงออกด้วยการกราบไหว้ เหมือนหนูที่แสดงสัญลักษณ์ก็เช่นกันใช่มั้ย และย่าก็เข้าใจ ถึงการเปลี่ยนแปลง แต่ความรู้สึกของพระเจ้าอยู่หัวทุกๆพระองค์จะไม่เลือนหายไปจากใจย่าเลย และความรักของย่า ของป๊าและม๊าก็ไม่มีวันจางหาย แม้ว่าว่าหนูจะเลือกทางใดก็ตาม แต่ขออย่างเดียวหนูอย่าเจ็บตัว เพราะคนที่เจ็บมากกว่า คือป๊ากับม๊า"🍃
"ส่วนเรื่องการเมืองเป็นสิทธิ์ของหนูโดยสมบูรณ์ในฐานะคนไทยคนหนึ่งในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข อันนี้ย่าไม่ก้าวล้ำ ในบ้านหนึ่งมีความเห็นต่างได้ และแสดงออกในขอบเขตของวิถีประชาธิปไตยได้
จริงๆแล้วคนเป็นพ่อแม่คนก็ควรเข้าใจ การใช้อารมณ์กับเด็กที่เพิ่งอยู่กับโลกไม่กี่ปี เราอยู่มาหลายปีกว่าควรจะเข้าใจ..
เราผ่านการเป็นเด็กวัยรุ่นมาแล้ว เเต่เขาไม่เคยผ่าน การตำหนิ หรือแม้กระทั่งการใช้ถ้อยคำว่า โง่ให้เขาจูงจมูก หรือสัมผัสร่างกายด้วยโทสะ เสียงทีเจือไปด้วยความขุ่นเคือง เพียงเพราะเขาไม่ได้เป็นพวกเดียวหรือคิดแบบเรา เป็นสิ่งที่คนผ่านโลกมาก่อนไม่ควรทำ
แม้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลัง คนเป็นพ่อแม่ก็หวังดีทั้งนั้น เพียงแต่แสดงออกมาต่างกัน..แต่เราก็เลือกที่จะแสดงหรือไม่แสดงได้ สิ่งที่ควรทำคือแจงตามความเป็นจริงให้เขาเห็น เด็กสมัยนี้เขาไม่ได้โง่ ใช่มั้ยอาโป..
สื่อก็อยู่ในมือหนู หนูเสพด้านหนึ่ง คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็แค่เพิ่มอีกด้านหนึ่งให้เขาเห็น แล้วให้เขาพิจารณาเอา ลูกไม่ใช่ศัตรู พี่น้องไม่ใช่ศัตรู นั่นเป็นสิ่งที่ควรเข้าใจได้มิใช่หรือ เขาจะฟังถ้าสิ่งที่พูดออกจากหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักไม่ใช่โทสะที่ครอบงำ ใช่มั้ย.."
..
"ตักย่าอุ่นมั้ยจอมซนของย่า"
..
..
"มาเกี่ยวก้อยกัน"ย่ายิ้มหัวเราะเบาๆ เด็กชายยื่นนิ้วก้อย เกี่ยวกันไว้อย่างที่เคยทำเมื่อครั้งย่าน้ำตกยังมีชีวิตอยู่
"หลับให้สบายนะคนดี.."
มือที่ลูบผมอย่างแผ่วเบา ครั้งแล้วครั้งเล่า
..อบอุ่นจัง
เด็กหนุ่มยิ้ม สวมกอดหมอนข้างกระชับที่อก คราบน้ำตาแห่งความยินดียังคงอยู่และจะอยู่ตลอดไป
"คุณคะ.."
พิมพ์มาดา แตะไหล่ผู้เป็นสามี เขาเงยหน้ายิ้มพร้อมพยักหน้า ละมือที่ลูบศรีษะหนุ่มน้อย ดึงผ้าห่มที่ร่นอยู่ปลายเท้า ขึ้นมาห่ม
..
..
ขอโทษครับป๊าม๊า..
เสียงพึมพำเบาๆ
..
หลังจากประตูที่แง้มค่อยๆปิดตัวลง
..
เด็กชายในกระจกเงายังคงยิ้มอย่างนั้น พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร คงเป็นเรื่องของพรุ่งนี้เพราะวันนี้เราเข้าใจและอบอุ่นมากพอแล้ว
..
..
..
ท้ายบท🍃
กระผมได้อ่านบทความหนึ่งของน้องบัค..เพจเจาะเวลาหาอดีต ล้นเกล้ารัชกาลที่๖เรื่อง เมืองจำลองดุสิตธานี กระผมเห็นว่ามีประโยชน์มาก ในฐานะที่พระองค์ท่านปูพื้นฐานประชาธิปไตยอย่างค่อยเป็นค่อยไป การเปิดอกคุยกันผ่านสำนวนหนังสือพิมพ์ระหว่างกษัตริย์และประชาชนในนามของบุคคลธรรมดาที่มีเพียง นามปากกา เป็นการเปิดกว้างทั้งที่ขณะนั้นบ้านเมืองปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
กลับไม่ได้ปิดกั้นวิวาทะความเห็นต่าง
เสียดายที่เรามีบทเรียนประวัติศาสต์ กำพืดเราน้อยไป การบิดเบือนในยุคโซเชียลข้อมูลที่ถาโถมด้วยอารมณ์มากกว่าการไตร่ตรองจากการเสพสื่อ มันก็ทำให้เราจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่มีผิดไม่มีถูกในการเสพ แต่การใคร่ครวญในทุกสิ่งจำเป็นเสมอ การเเสดงออกทางกาย ก็อธิบายทุกอย่างในใจไม่ได้ การสรุปว่าเขาคิดอย่างนั้น เขาเป็นอย่างนั้น การตัดสินภายนอกมันคงไม่ยุติธรรม
กระผมเห็นว่าเข้ากับเรื่องราวที่ผู้เขียนในตอนนี้ เด็กชายในกระจก จึงขอแนบลิงค์ไว้ ขอบคุณน้องบัค เจาะเวลาหาอดีตขอรับ และขออนุญาตมาไว้ณ.ที่นี้
เรื่องเด็กชายในกระจก เป็นคำที่ผุดขึ้นมา ในช่วงเวลาหนึ่ง กระผมไม่รู้ว่าจะดำเนินเรื่องอย่างไร นอกจากควานหา สาเหตุของคำๆนี้
กระผมไม่ค่อยพล็อตเรื่องแต่จะไหลตามสภาพการณ์และเวลา อารมณ์และความรู้สึกที่จับต้องได้ในขณะนั้น สำหรับมือใหม่หัดเขียนถือว่ามันเป็นเสน่ห์ของงานเขียนนิยายที่ใครๆควรได้ลอง
แล้ว..
กระผมก็เจอ..เด็กชายในกระจก
..
..🍃
ขอขอบคุณ👇
เพจเจาะเวลาหาอดีต..https://www.blockdit.com/articles/5f5887404a93d306be72a617
โฆษณา