12 ก.ย. 2020 เวลา 02:30 • กีฬา
[ #เงียบเกินไปก็ไม่ดี ]
ช่วง 1-2 วันมานี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ดูจะถูกจับตามากเป็นพิเศษ
ต้นตอมาจากการให้สัมภาษณ์ทาง BBC Radio 5 Live โดยพิธีกรคือ เคลลี่ ดัลกลิช เคตส์ ลูกสาวของ เคนนี่ ดัลกลิช เรียกว่าคนกันเองนั่นแหล่ะ
ประเด็นที่ถามถึงและเป็นเรื่องที่หลายคนอยากรู้ ยิ่งกับแฟนบอลลิเวอร์พูลด้วยแล้วว่าทำไมซัมเมอร์นี้นักเตะขาเข้าจึงเงียบเชียบเหลือเกิน เพิ่งมีเพียงแค่ คอสตาส ซิมิกาส แบ็กซ้ายที่มาเป็นอะไหล่แค่รายเดียวเท่านั้น
จากสถานการณ์เวลานี้มันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน บางทีมอาจมองข้ามเรื่องนี้ไป แต่ลิเวอร์พูลคือความแตกต่าง
นอกจากนี้ยังอธิบายด้วยว่า ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะนำนักเตะที่ดีสุดของโลกทั้ง 11 คนมารวมกัน แล้วหวังจะเห็นโชว์ฟอร์มเปรี้ยงที่สุด สิ่งสำคัญคือการทำงานหนักในสนามซ้อม ลิเวอร์พูลดำเนินมาแบบนี้ตลอด
พร้อมทั้งยกตัวอย่างการเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ปีติด ได้แชมป์มาหนึ่งครั้ง เช่นเดียวกับซีซั่นที่เพิ่งจบไป แม้จะล้มเหลวในถ้วยใหญ่ยุโรป แต่ก็ยังคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปี
สิ่งเหล่านี้ย่อมตอกย้ำความสำเร็จแบบมีมาตรฐานของลิเวอร์พูลได้อย่างดี
อย่างไรก็ตามมีบางประโยคที่พาดพิงไปยังเชลซี เหมือนจะยกตัวอย่างให้เห็นการใช้เงินแบบมือเติบ จ่ายไปแล้ว 230 ล้านปอนด์ด้วยกัน
ส่วนสื่อบางเจ้าเองก็ไปดึงเอาแมนฯซิตี้มาเกี่ยวข้องด้วย จับผิดหรือคิดเสี้ยมในเชิงที่ว่านี่คืออีกสโมสรที่เตรียมชอปครั้งใหญ่ แม้เวลานี้จะเพิ่งควักแค่ 70 ล้านปอนด์ ได้นักเตะมาแค่ 2 คนก็ตาม
แม้เดอะ ค็อปทั่วโลกจะบ่นกระปอดกระแปดในความล่าช้าหรืออาจไม่ขยับในตลาดนักเตะ ทว่าลึกลงไปก็น่าจะพอเข้าใจ คล็อปป์ พอสมควร
ในนามของ FSG ซึ่งเป็นเจ้าของสโมสร บริหารงานโดย จอห์น เฮนรี่ มีแนวทางที่ชัดเจนมาตลอด ไม่ใช่ขี้เหนียวเขี้ยวลากดินไม่ยอมจ่าย แต่จะใช้ตามเคสจำเป็นมากกว่า
เห็นได้ชัดจากการคว้า อลีสซง เบคเกอร์ , เฟอร์กิล ฟานไดค์ หรือ ฟาบินโญ่ ที่มาช่วยขันแนวรับจนแข็งแกร่ง กระทั่งประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรม
แต่ในอีกทางหนึ่งการทำทีมฟุตบอลของพวกเขาเกี่ยวข้องกับธุรกิจ อันหมายถึงผลกำไรด้วย ไม่ใช่เพื่อสนองความต้องการอย่างเดียว
คือถ้านำไปเปรียบเทียบกับเชลซีหรือแมนฯซิตี้ นั่นแหล่ะคือความแตกต่างที่เห็นชัดมากๆ
คล็อปป์ เองใช่ว่าเพิกเฉย ไม่อยากได้นักเตะใหม่มาเสริม บางตำแหน่งยังขาดแคลนและควรมีเข้ามาเติมเพิ่มความสมบูรณ์
กระนั้นต้องคำนึงในมุมกลับด้วยว่า ลิเวอร์พูลสามารถเก็บผู้เล่นแกนหลักที่ตกเป็นเป้าหมายของพวกสโมสรใหญ่ในยุโรปได้ทั้งหมด เป็นฤดูกาลที่ไม่น่ากังวลอะไรเลย
จะมีเพียงแค่เคสของ จินี่ ไวจ์นัลดุม คนเดียวเท่านั้น ซึ่งการเจรจาขยายสัญญาไม่ลงตัวและอาจย้ายไปบาร์เซโลน่า
ตรงนี้หมายถึงเสถียรภาพของสโมสร ที่มั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งนักเตะต่างก็เชื่อมั่น ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนย้ายไปไหนกันอีก
แต่ระหว่างให้สัมภาษณ์นั่นเอง สื่ออย่างเดลี่ เมลอ่านภาษากายและสีหน้าท่าทางของ คล็อปป์ เหมือนกำลังวิตกกังวลกับบางอย่าง
ความเคร่งเครียดที่ครอบงำมากขึ้น มันอาจจะน่าอึดอัดที่ต้องมาตอบคำถาม ซึ่งตัวเขาเองไม่สามารถจัดการได้ทั้งหมด มันต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารด้วย
อีกทั้งคำตอบต่างๆนอกจากจะต้องฉะฉานชัดเจน ไม่วกไปวนมาแล้ว ยังต้องสร้างความชอบธรรมให้กับสโมสรเช่นกัน
คุณเป็นแชมป์เก่า ไม่ใช่แค่ประสบความสำเร็จในสนามอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในแง่ธุรกิจก็น่าจะไปได้สวยเช่นเดียวกัน
มันเกิดความตะขิดตะขวงใจก็ตรงที่บอร์ดลิเวอร์พูลเคยผลักภาระผิดชอบเรื่องเงินชดเชยของพนักงานให้รัฐบาลยูเคจ่ายช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด จนกลายเป็นดราม่ามาแล้ว สุดท้ายก็ต้องกลับลำ
แทนที่จะทำอย่างนี้ตั้งแต่แรก ให้สมกับที่เคยบอกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน มันจึงเสียรังวัดไปไม่ใช่น้อยๆ
ความศรัทธาที่เคยมีอยู่เต็มเปี่ยมค่อยๆลดลงด้วย ซึ่งนี่คือหนึ่งในเรื่องที่ คล็อปป์ ก็อึดอัดใจ
เมื่อรวมกับความกดดันในเรื่องซื้อนักเตะ จึงอาจมีความตึงเครียดเกิดขึ้น ไม่นับฤดูกาลหน้าต้องทำงานหนักมากกว่าเดิม เพื่อรักษาแชมป์ให้ได้
แต่นี่แหล่ะคือชีวิตของผู้จัดการทีมฟุตบอล ที่มีใครบางคนบอกเอาไว้ว่า หากไม่อยากตกนรกก็อย่ามาเป็นมันเลย
แกรม ซูเนสส์ อดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ที่ปัจจุบันหันมาวิเคราะห์เกมทางหน้าจอทีวี ยอมรับว่าผิดหวังกับปฏิกิริยาของทีมในตลาดซัมเมอร์นี้
เขามองว่าแม้ขุมกำลังปัจจุบันดูพร้อมสรรพ ไม่แตกต่างไปจากปีก่อน แต่มันก็ควรมีเข้ามาเสริมบ้าง
ยิ่งคนแกร่งเท่าไรก็ต้องปรับให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ควรหยุดนิ่งอยู่กับที่
มันเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ลิเวอร์พูลควรก้าวไปข้างหน้า นอกจากขยับหนีพวกคู่แข่งทั้งหลายที่ไล่หลังมาติดๆแล้ว ยังเป็นการได้คะแนนเสียงเชิงบวกจากแฟนบอลอีก
ว่าแล้วก็ยกตัวอย่างแมนฯยูไนเต็ดในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นไปอีก
ซูเนสส์ อธิบายว่าหนึ่งในปัจจัยทำให้ เฟอร์กี้ ครองความสำเร็จได้ยาวนานต่อเนื่อง เป็นเพราะไม่เคยหยุดนิ่งในเรื่องการเปลี่ยนแปลงขุมกำลัง
ทันทีที่คว้าแชมป์ เฟอร์กี้ จะไม่มัวฉลองอย่างเพลิดเพลิน ภารกิจไม่ได้จบแค่นั้น รีบมองหาผู้เล่นหน้าใหม่มาทันที
ถ้าใครได้เคยอ่านหนังสือที่ชื่อ Leading เกี่ยวกับการบริหารจัดการในแบบ เฟอร์กี้ จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี
เขาจะอ่านเลยว่าตำแหน่งไหนจำเป็นในฤดูกาลหน้า ก็จะเฟ้นหาคนที่เหมาะสม ไม่ปล่อยให้เยิ่นเย้อเสียเวลาเลย
ผู้เล่นคนไหนเริ่มอายุมาก จำเป็นจะต้องผ่องถ่ายออกไป ก็จะเคลียร์ให้เรียบร้อย
ทุกอย่างผ่านขั้นตอนกระบวนการความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง ไม่มีขาดตกบกพร่อง
สิ่งเหล่านี้เองที่ เฟอร์กี้ สำแดงให้เห็นแล้วว่าช่วยให้ประสบความสำเร็จได้อย่างสวยงามและยาวนาน
ซูอี้ อาจจะพยายามบอกรุ่นน้องอย่าง คล็อปป์ ให้รีบคุยกับบอร์ดบริหารเกี่ยวกับเรื่องซื้อผู้เล่นที่จำเป็นด้วย อย่าชะล่าใจจนเกินไป ไม่อาจไม่เป็นผลดีในอนาคต
แน่นอนคำบอกกล่าวนั้นส่งผ่านไปยัง คล็อปป์ และน่าจะสร้างความกดดันเพิ่มเข้าไปอีก
จริงๆในช่วงที่ผ่านมาความเงียบเชียบของลิเวอร์พูล มันกลายเป็นว่ากระตุ้นให้ผู้คนอยากรู้มากกว่าเดิม
ยิ่งเงียบเท่าไร ก็จะยิ่งเพิ่มความสงสัยกังขามากเท่านั้น กลายเป็นว่ามาแว้งเล่นงานเข้าให้อีก
อย่างการทาบทาม ติอาโก้ อัลกันตาร่า ต้องยอมรับว่าสร้างความกระชุ่มกระชวยให้กับเดอะ ค็อปมากๆ แต่สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมทั้งผู้คนเชื่อกันว่าลิเวอร์พูลไม่ยอมจ่ายค่าตัวตามที่บาเยิร์น มิวนิคเรียกร้อง
ทั้งที่นี่คือหนึ่งในผู้เล่นฝีเท้าคุณภาพและจะมาช่วยสร้างมิติใหม่ในแดนกลางให้ดีกว่าเดิมอีก เพราะทีมเองก็ขาดแคลนมิดฟิลด์ประเภทนี้อยู่แล้ว
คล็อปป์ อาจจะมีเหตุผลมากกว่าเรื่องของเงิน แต่ถึงที่สุดแล้วก็ไม่อาจพูดหรือตอบคำถามภายในอะไรได้ จำต้องเงียบนั่นเอง
แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหล่ะ การให้สัมภาษณ์ล่าสุดปลุกความสนใจได้มากๆ แต่ขณะเดียวกันก็มีความกดดันจู่โจมเข้ามา
ไม่ว่าจะทำอะไรในฐานะแชมป์เก่าและเป็นหนึ่งในสโมสรที่ดีสุดของลีก คุณจะต้องถูกจับตาเสมอ
และการเลือกที่จะเงียบก็อาจไม่ใช่เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีสุดเสมอไป
บทความย้อนหลังที่น่าสนใจ
[ #หวังว่าจะไม่สายเกินไป ] : หลายคนลืมไปแล้วด้วยว่า แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ ยังคงเล่นฟุตบอลอยู่ ทั้งที่รับเงินค่าจ้างสัปดาห์ละกว่า 100,000 ปอนด์ เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าเงินคือคำตอบสุดท้ายของชีวิต มีเงินแล้วจะทำอย่างไรก็ได้ แต่มันไม่ใช่เลย มาวันนี้เขาเริ่มเข้าใจและพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกครั้ง ท่ามกลางความคลางแคลงสงสัยว่าจะดีขึ้นจริงหรือ?
[ "เคดีบี" กับสิ่งที่คู่ควร ] : แม้จะโชว์ฟอร์มได้ร้อนแรงต่อเนื่อง แต่ใน 2 ฤดูกาลก่อนหน้า เควิน เดอ บรอยน์ ต้องพลาดตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมของพีเอฟเอมาตลอดกระทั่งในซีซั่นที่เพิ่งจบไป คะแนนโหวตของเขาเข้าป้ายเป็นอันดับหนึ่งเฉือนเอาชนะ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้สำเร็จไม่มีใครคัดค้านหรือเห็นต่างเลย เพราะมันถึงเวลาแล้วที่ เดอ บรอยน์ จะได้ก้าวขึ้นสู่จุดที่เหมาะสมกับตัวเอง
[ #สุดท้ายก็วนมาที่เดิม ] : เชลซีใช้เงินไปแล้ว 230 ล้านปอนด์ ในการปรับกำลังพลเพื่อรอรับฤดูกาลใหม่ที่กำลังเปิดในไม่ช้า คาดกันว่าแข้งเหล่านี้จะมาเป็นแกนหลักอย่างไม่ต้องสงสัย ทีนี้เกิดคำถามตามมาว่าแล้วกลุ่มดาวรุ่งที่สร้างชื่อเปรี้ยงปร้างในซีซั่นที่เพิ่งจบไปล่ะ? จากที่อนาคตกำลังสดใส กลายเป็นว่าเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจว่าสุดท้ายแล้วยังได้รับโอกาสหรือเปล่า แต่ที่สำคัญเชลซียังไม่เปลี่ยนแปลงแนวทาง นั่นคือใช้เงินเพื่อแลกกับความสำเร็จเช่นเดิม
[ #อย่าเอาคำว่าเด็กมาอ้าง ] : ไม่ใช่แค่เป็นข่าวฉาวตามหน้าสื่อเท่านั้น แต่ทั้ง ฟิล โฟเด้น และ เมสัน กรีน วู้ด ยังต้องเผชิญกับประสบการณ์อันเลวร้ายด้วย การพาผู้หญิงขึ้นห้องพักที่โรงแรม ในสถานการณ์แบบนี้ บ่งบอกถึงนิสัยไร้ความรับผิดชอบอย่างยิ่ง จะมาอ้างว่ายังเด็กก็คงไม่ใช่ เรื่องอย่างนี้ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเอามาใช้เป็นบทเรียน โตขนาดนี้เข้าใจได้ไม่ยากว่าอะไรควรไม่ควร หากความผิดนี้ไม่มีโอกาสได้แก้ตัวล่ะ จะทำอย่างไรกัน?
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา