15 ก.ย. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #17ปีที่เชลซีไม่เคยเปลี่ยน ]
โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์เชลซีในเดือนกรกฎาคมปี 2003 หลังจากถือหุ้นสโมสรเกินกว่า 50 เปอร์เซนต์
จากนั้นไล่ช้อนซื้อมากขึ้นเรื่อยๆ กวาดมาหมดทั้งของ แม็ทธิว ฮาร์ดิ้ง และ บีสกายบีรวมกันอีกกว่า 30 เปอร์เซนต์ กระทั่งแตะ 90 เปอร์เซนต์ อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจึงตกอยู่ในมือตามกฏ
แล้วก็เริ่มเคลียร์หนี้สินต่างๆด้วยเงินทุนส่วนตัวจนหมดเกลี้ยง รวมแล้วราว 100 ล้านปอนด์
ตัวเลขกลมเงินกลมๆที่ อบราโมวิช ต้องจ่ายเพื่อฮุบกิจการอยู่ที่ 240 ล้านปอนด์ด้วยกัน ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
"เงินรักความสงบ" เป็นประโยคที่ อบราโมวิช มักจะใช้พูดกับคนใกล้ตัวอยู่เสมอ เขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและเมื่อมาเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลก็คงไม่ต่างกัน
ในความหมายของเงินรักความสงบ คงหนีไม่พ้นการแก้ปัญหา หากคุณมีเงินแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย หลายอย่างง่ายเพียงพริบตา
เหมือนสุภาษิตจีนที่กล่าวเอาไว้ว่า "เงินจ้างผีโม่แป้งได้" นั่นเลย
ดังนั้นเขาจึงอนุมัติงบประมาณก้อนใหญ่ สำหรับใช้ซื้อนักเตะเข้ามาเสริมทัพเมื่อฤดูร้อน 2003
ย้อนกลับไปเมื่อ 17 ปีก่อน มันคือการเขย่าวงการฟุตบอลอังกฤษในระดับรุนแรงมาก ไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน เชลซีกลายเป็นสโมสรถูกแสงสปอร์ตไลต์ส่องมามากกว่าแมนฯยูไนเต็ดหรืออาร์เซน่อล 2 มหาอำนาจด้วยซ้ำ
หลายอย่างในเชลซีเปลี่ยนไป พวกนักข่าวต่างรับรู้ได้ไม่ยาก ไล่ตั้งแต่การเปิดพื้นที่สื่อให้เข้าชมเกมในสแตมฟอร์ด บริดจ์มากยิ่งขึ้น อาหารในเพรสเลาน์จไม่ได้มีเพียงแค่แซนด์วิชชิ้นเล็กๆรสชาติเฝื่อนๆรองท้องกับกาแฟและชาร้อนเท่านั้น
แต่เป็นเมนคอร์สมาแบบจัดเต็ม เหมือนบุฟเฟ่ต์นานาชาติ ผลไม้หรือขนมหวานก็มีให้เลือกเอาตามสะดวก รวมทั้งเครื่องดื่มทุกชนิดแม้กระทั่งเบียร์เย็นๆด้วย
แน่นอนบรรดานักข่าวต่างอยากไปเยือนเชลซีทั้งนั้นในวันที่มีแมตช์ แต่เหนืออื่นใดคือ อบราโมวิช ทุบคลังกว่า 120 ล้านปอนด์ชอปในตลาดซื้อขายผู้เล่น
เชลซีมีแข้งใหม่มาแบบรายวัน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเปิดตัวอย่างคึกคัก ถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่เดอะ บริดจ์อย่างแท้จริง
เงิน 120 ล้านปอนด์เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ถือว่ามหาศาลมากๆ แต่สำหรับ อบราโมวิช เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย
เรื่องราวของบิลเลี่ยนแนร์ชาวรัสเซียผู้นี้ ไม่ค่อยมีใครรู้รายละเอียดอะไรนัก เก็บงำเป็นส่วนตัวอย่างมิดชิด
ส่วนใหญ่เข้าใจพื้นๆว่า ประสบความสำเร็จจากธุรกิจด้านพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
อย่างไรก็ตามสำหรับกองเชียร์สิงห์น้ำเงินพวกเขาไม่ได้แคร์อะไรมากไปกว่า ความน่าตื่นตาตื่นใจที่เห็นสโมสรคว้าผู้เล่นชั้นนำมาแทบทะลัก
ในปี 2003 ทั้ง เกล็น จอห์นสัน 6 ล้านปอนด์ (จากเวสต์แฮม) , เฌเรมี่ 7 ล้านปอนด์ (จากเรอัล มาดริด) , เวย์น บริดจ์ 7 ล้านปอนด์ (จากเซาธ์แฮมป์ตัน) , เดเมี่ยน ดัฟฟ์ 17 ล้านปอนด์ (จากแบล็คเบิร์น) ,โจ โคล 6.6 ล้านปอนด์ (จากเวสต์แฮม) , ฮวน เซบาสเตียน เวรอน 15 ล้านปอนด์ (จากแมนฯยูไนเต็ด)
อาเดรียน มูตู 15.8 ล้านปอนด์ (จากปาร์ม่า) , เอร์นาน เครสโป 16.8 ล้านปอนด์ (จากอินเตอร์ มิลาน) , โคล้ด มาเกเลเล่ 16.6 ล้านปอนด์ (จากเรอัล มาดริด) , อเล็กเซ สเมอร์ติน 3.5 ล้านปอนด์ (จากบอร์กโดซ์) , นีล ซัลลิแวน 500,000 ปอนด์ (จากสเปอร์ส)
ยังได้มาฟรีอีกสองรายคือ เจอร์เก้น มาโช จากซันเดอร์แลนด์และ มาร์โก อัมโบรซิโอ จากคิเอโว่
เขาตอบคำถามนักข่าวเพียงแค่สั้นๆว่า "เป้าหมายของเราคือการเดินหน้าไปสู่ความยิ่งใหญ่"
คำตอบนั้นไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้มากนัก หลายคนยังคิดเอาเองหรือปักใจเชื่อว่าเบื้องหลังการเข้ามาเทคโอเวอร์ต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่าง
หรือไม่ก็เห็นการเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลเป็นเรื่องสนุก ดูแล้วเท่ดีมีภูมิฐานน่าเชื่อถือ ไม่ได้รักฟุตบอลจริงๆหรอก เดี๋ยวพอเบื่อก็เปิดหมวกลาไปเองนั่นแหล่ะ
ทุกคนมีสิทธิ์คิด ทุกคนมีสิทธิ์วิจารณ์ตามความเหมาะสม ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
แต่ อบราโมวิช ก็มีสิทธิ์ที่จะทำตามคำมั่นที่ให้ไว้ ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ แค่ประโยคเดียวก็ชัดเจนมากพอแล้ว
17 ปีต่อมาเชลซีเป็นอย่างที่ อบราโมวิช ลั่นวาจาเอาไว้ไม่มีผิด
กวาดโทรฟี่ระดับเมเจอร์ถึง 16 ใบ อันหมายถึงพรีเมียร์ลีกที่ไม่คาดคิดว่าจะได้แตะต้อง 5 สมัย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่ต้องการก็ได้สัมผัสมาเรียบร้อย รวมถึงยูโรปาลีกถ้วยเล็กคว้ามา 2 รอบด้วยกัน
ที่สำคัญนักเตะที่ซื้อมาเริ่มหายหน้าไปเรื่อยๆตามวิถี ต่างไปจาก อบราโมวิช ยังคงปักหลักบนเก้าอี้ท่านประธานใหญ่เช่นเดิม
และยังคงมุ่งมั่นนำความสำเร็จมาสู่สโมสรต่อไป ไม่ได้มีความคิดจะถอยทัพยอมแพ้เลยสักนิด
อย่างน้อยช่วงเวลาเกือบ 20 ปีก็พอจะการันตีว่าเขารักฟุตบอลจริงๆ ไม่ใช่ประเภทของปลอมเข้ามากอบโกยหรือพอเบื่อก็ตีจาก
และฤดูกาลใหม่นี้ อบราโมวิช ก็สำแดงมันอีกครั้ง
"เรายอมรับว่ามีการใช้เงินเพื่อชัยชนะและความสำเร็จ แต่เราวางแผนในแง่ระยะยาว ไม่ใช่ประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็ไป"
ยูจีน เทเนนบาม หนึ่งในบอร์ดบริหารของเชลซีชุดปัจจุบันเพิ่งให้สัมภาษณ์ไว้เช่นนี้ พร้อมทั้งยืนยันว่า โรมัน อบราโมวิช ยังหนักแน่นในวิธีการเดิมต่อไป
นั่นคือเดินหน้าสู่ความสำเร็จ พร้อมทั้งสร้างให้เชลซียิ่งใหญ่ระดับโลก
ไม่กี่วันก่อน เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลเปิดใจผ่านทาง BBC Radio 5 Live แล้วมีพาดพิงมายังเรื่องการใช้เงินของเชลซี รวมทั้งแซะ อบราโมวิช ที่มีอำนาจคับประเทศของตัวเอง
เหมือนจะสื่อว่าเชลซีมีเจ้าของสโมสรที่ทรงอิทธอิพลของประเทศรัสเซีย ซึ่งหลายคนก็พอจะรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง
อบราโมวิช มีความสัมพันธ์อันยอดเยี่ยมกับ วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำแห่งแดนหมีขาว จนมีการตั้งข้อสังเกตหรือจินตนาการกันไปต่างๆนานา เกี่ยวกับความร่ำรวยของเขา
แล้วในฤดูร้อนนี้เชลซีเพิ่งใช้จ่ายไป 220 ล้านปอนด์สำหรับซื้อผู้มาเพียงแค่ 4 ราย ที่ได้มาฟรีอีก 2 ไม่ต้องนับรวม
ดูแนวโน้มแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเพียงเท่านี้ อาจเสริมให้แกร่งอีกก่อนเดดไลน์มาถึงในวันที่ 5 ตุลาคม
แน่นอนบางประโยคของ คล็อปป์ ที่กระทบมาถึง ย่อมทำให้หลายคนไม่พอใจ ไม่อย่างนั้น แฟร้งค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีมคงไม่ออกมาตอบโต้
ว่าแล้วก็ยกตัวอย่างเรื่องการใช้เงิน หลายสโมสรที่ครองแชมป์พรีเมียร์ลีกมาตลอดเกือบ 20 ปีหลัง ล้วนแต่หว่านเงินลงไปในตลาดนักเตะเกือบทั้งสิ้น ยกเว้นเพียงแค่เลสเตอร์เมื่อ 4 ปีก่อนเท่านั้น
ลิเวอร์พูลเองก็ไม่แตกต่างกันหรอก ไม่เชื่อลองย้อนไปดูชื่อผู้เล่นแกนหลักทั้งหลายชุดปัจจุบันดู ไม่ใช่ได้มาฟรีหรือปลุกปั้นจากจากทีมเยาวชน
คล็อปป์ เองก็เคยยอมรับว่าที่ผ่านมาทีมของเขาใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อผู้เล่น แต่ก็เน้นเท่าที่จำเป็น ไม่ใช่หว่านลงไปแบบมั่วซั่ว ซึ่งเอาเข้าจริงทีมอื่นที่ทุ่มทุนก็คิดในแบบเดียวกันแหล่ะ
บางทีกุนซือเฮฟวี่เมทัลอาจต้องการชี้ให้เห็นว่าเชลซีจ่ายหนักมือเติบเช่นนี้มาตลอด จนกลายเป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว
มันก็ตามนั้นเลยแหล่ะ เรื่องนี้ อบราโมวิช ก็ไม่เคยปฏิเสธ มันเป็นนโยบายที่ยืนหยัดใช้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเทคโอเวอร์แล้ว
และก็ชัดเจนเลยว่าเชลซียกระดับมาเป็นสโมสรแถวหน้าของโลกจริง ไม่ใช่แค่สร้างความเกรียวกราวช่วงสั้นๆแบบที่แบล็คเบิร์นหรือนิวคาสเซิ่ลเคยทำ
17 ปีที่แล้วเป็นอย่างไร เวลานี้เชลซีก็ยังไม่เคยเปลี่ยนและ อบราโมวิช ก็ยังคงอยู่พร้อมกับเงินทุนก้อนใหญ่
บทความย้อนหลังที่น่าสนใจ
[ #ปกครองลูกน้องแบบไหน ? ] : ดูจากภายนอก โอเล่ กุนนาร์ โซลชา น่าจะมีบุคลิกนิสัยเป็นคนใจดี มีเมตตา ยิ่งได้เป็นหัวหน้าที่ตกปกครองลูกน้องด้วยแล้ว จะไหวหรือเปล่า? ร่องรอยความสงสัยปรากฏขึ้นมาตามลำดับ เมื่อมีผู้เล่นอย่างน้อยถึง 3 คนก่อเรื่องฉาวจนกระทบกระเทือนกันไปหมด บางทีนี่น่าจะเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับ โซลชา ที่จะได้พิสูจน์ฝีมือการเป็นผู้จัดการทีม หากซีซั่นนี้ไม่ตามเป้า บอกได้เลยว่าตัวใครตัวมัน
[ #มือใหม่ผู้มากอบกู้ปืนใหญ่ ] : นับตั้งแต่ มิเกล อาร์เตต้า เข้ามารับงานผู้จัดการทีมอาร์เซน่อลเมื่อปลายปีที่แล้ว การเปลี่ยนแปลงค่อยๆเกิดขึ้นมาที่ละก้าว กระทั่งนำมาซึ่งความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมแต่น่าสนใจมากๆตรงที่ กุนซือสแปนิชมีวิธีการรีดเค้นประสิทธิภาพนักเตะหลายต่อหลายคนที่เหมือนจะหมดอนาคตไปแล้ว ให้มีฟอร์มยอดเยี่ยมน่าทึ่งนี่คือผลงานของกุนซือวัยเพียงแค่ 38 ปีที่เป็นมือใหม่แต่เต็มไปด้วยความไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
[ #เงียบเกินไปก็ไม่ดี ] : ต้องยอมรับว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ กำลังเผชิญหน้ากับความกดดันไม่ใช่น้อยกับบทสัมภาษณ์เที่ยวล่าสุดเรื่องการซื้อผู้เล่นตลาดหน้าร้อนนี้ เงียบกริบแทบจะไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย ได้แบ็กซ้ายมาคนเดียวก็เป็นแค่แบ็กอัพเท่านั้นแฟนบอลพยายามทำความเข้าใจกับแนวทางการบริหารทีม แต่บางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่
[ #หวังว่าจะไม่สายเกินไป ] : หลายคนลืมไปแล้วด้วยว่า แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ ยังคงเล่นฟุตบอลอยู่ ทั้งที่รับเงินค่าจ้างสัปดาห์ละกว่า 100,000 ปอนด์ เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าเงินคือคำตอบสุดท้ายของชีวิต มีเงินแล้วจะทำอย่างไรก็ได้ แต่มันไม่ใช่เลย มาวันนี้เขาเริ่มเข้าใจและพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกครั้ง ท่ามกลางความคลางแคลงสงสัยว่าจะดีขึ้นจริงหรือ?
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา