16 ก.ย. 2020 เวลา 11:01 • ข่าว
***คำเตือน : ใครที่กำลังรู้สึกหดหู่หรือซึมเศร้า โปรดข้ามเรื่องราวนี้ไป เรื่องราวต่อไปนี้มีจุดประสงค์เพียงแค่ให้เราได้ตระหนักถึงภัยธรรมชาติที่สามารถทำลายทุกอย่างได้เพียงชั่วข้ามคืน
รัฐออริกอน เป็นหนึ่งในรัฐที่กำลังเผชิญภัยไฟป่าอย่างรุนแรง เช่นเดียวกับหลายรัฐทางทิศตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายหลายสิบคน
นับแสนคนต้องอพยพไร้ที่อยู่
เรื่องราวต่อไปนี้เป็นโศกนาฏกรรมของครอบครัวหนึ่งจากภัยของไฟป่า ย้ำเตือนให้เราเข้าใจถึงความรุนแรงของมัน และทุกวินาทีนั้นมีค่าเสมอ
ครอบครัวโทฟต์ อาศัยอยู่ในบ้านในย่านชุมชนแห่งหนึ่งในรัฐออริกอน ย่านชุมชนนี้ล้อมรอบไปด้วยป่า มีผู้อาศัยทั้งหมด 4 คน ประกอบไปด้วย
สามีภรรยา: คริส และ แองจี้
ลูกชายของทั้งสองวัย 13 ปี: ไวแอต
และหญิงชราวัย 71 ปี ผู้เป็นแม่ของแองจี้: เป๊กกี้
ครอบครัวโทฟต์ได้ดูข่าวไฟป่าซึ่งตามข่าวนั้นออกมาบอกว่าสามารถควบคุมได้ ไม่รุนแรง และทิศทางของไฟนั้นไม่พัดเข้ามาทางชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่
ไม่มีการแจ้งเตือนภัย หรือให้อพยพใดๆ
ครอบครัวโทฟ์ต จึงปิดไฟนอนตามปกติ
และกลางดึกคืนนั้นเอง ลมได้พัดอย่างรุนแรงจนทำให้ไฟลูกเล็กๆ กลับกลายเป็นมหันตภัยที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐออริกอน
สัญญาณแรกมาถึง
บ้านของครอบครัวโทฟต์ไฟดับ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าอะไรจะตามมา คริสตัดสินใจตื่นขึ้นมาเพื่อขับรถไปเอาเครื่องปั่นไฟที่อยู่ในเมืองมาที่บ้าน
คริสขับรถออกไปได้เพียงไม่กี่นาที
สัญญาณฉุกเฉินดังขึ้น มีการประกาศทั้งทางโทรทัศน์ และโทรศัพท์ ไฟได้ลุกลามอย่างรวดเร็วเนื่องจากลมที่รุนแรง
แองจี้ ภรรยาของคริส ตื่นขึ้นมา
เธอเดินออกมานอกบ้าน มองเห็นไฟที่กำลังลุมลามเข้ามายังบริเวณบ้าน
“ออกจากบ้านเดี๋ยวนี้!!!”
4
แองจี้ เก็บของอย่างรวดเร็ว
และพาไวแอต กับ ดุ๊ค สุนัขของเขาขึ้นรถทันที
จากนั้นเธออุ้มเป๊กกี้ที่ยังคงเข้าเฝือกจากอาการขาหักขึ้นมาที่รถเช่นกัน แองจี้เหยียบคันเร่งออกจากบ้านลุยเข้าไปยังถนนที่เต็มไปด้วยไฟป่า
แต่ยิ่งขับรถไป ไฟก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น แองจี้เริ่มมองไม่เห็นทาง ถนนด้านหน้าเต็มไปด้วยไฟที่ลุกโชน แองจี้มองเห็นช่องทางเล็กๆ ที่ไฟยังเข้าไม่ถึง แต่รถไม่สามารถขับไปในช่องนั้นได้
“ไวแอต พาดุ๊ควิ่งหนีไปทางช่องนี้
เดี๋ยวแม่จะลองขับพาเป๊กกี้ อ้อมไปทางอื่นแทน”
แองจี้กล่าวกับไวแอต ลูกของเธอ
เธอไม่มีทางเลือกเนื่องจากเป๊กกี้ไม่สามารถเดินได้
แองจี้ต้องขับรถไปทางอื่นเท่านั้น แม่ของเธอถึงจะรอดชีวิต
ไวแอตพาดุ๊กวิ่งไปยังช่องว่างที่ยังไม่มีไฟลุกลาม
แองจี้มองดูไวแอตวิ่งไปซักพักจึงพยายามถอยรถขับไปทางอื่น แต่มันสายไปเสียแล้ว ไฟได้ล้อมรอบไว้ทุกทาง จนแองจี้มองไม่เห็นอะไรเลย
เธอตัดสินใจบอกลาแม่เป็นครั้งสุดท้าย
และวิ่งหนีไปยังช่องทางเดียวกับไวแอต
ทิ้งแม่ของเธอให้เผชิญไฟเพียงลำพังด้วยความจำเป็น
ด้านของคริส หลังจากได้รับข่าวการอพยพด่วน
เขาพยายามขับรถกลับไปที่บ้านเพื่อไปรับครอบครัวกลับมา แต่ในเวลานี้ถนนทุกทางถูกปิดหมด พื้นที่บ้านของคริสกลายเป็นโซนไฟลุกลามอันตรายห้ามเข้าเด็ดขาด
คริสผู้ไม่ยอมแพ้ เขาขับรถพุ่งชนที่กั้นถนนเข้าไปยังพื้นที่อันตราย เขาขับไปได้ซักพักก็เห็นชายคนหนึ่ง แขนของเขาข้างหนึ่งถูกไฟไหม้อย่างรุนแรงจนเกือบเป็นตอตะโก ชายคนนั้นรีบโบกรถคริสทันที
1
“ผมต้องขับรถเข้าไปเพื่อรับครอบครัว คุณมาด้วยกันได้ แต่ผมต้องขับรถเข้าไปข้างในไฟป่านี้ก่อน”
คริสกล่าวกับชายคนนั้น
ชายคนนั้นปฏิเสธขึ้นรถทันที และรีบวิ่งหนีออกจากโซนอันตราย
คริสจึงตัดสินใจขับรถต่อไป เขาเริ่มเห็นไฟลุกลามทั่วรอบทาง ไอร้อนเริ่มเข้ามาในรถ และควันไฟเริ่มทำให้มองไม่เห็นทาง คริสเริ่มขับรถช้าลง
ทันใดนั้นเอง เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาที่รถ เธอเหลือแค่เพียงชุดชั้นใน สภาพของเธอโดนไฟไหม้ไปเกือบทั้งตัว ผมของเธอโดนไฟไหม้จนไม่เหลือ ใบหน้าถูกไฟคลอกจนดำไปทั่วทั้งหน้า เท้าถูกไฟละลายจนเกือบเห็นกระดูก
“ผมรับคุณขึ้นรถได้ แต่ผมต้องขับรถเข้าไปข้างในเพื่อไปรับครอบครัวของผมก่อน”
คริสรีบเปิดกระจกบอก
หญิงคนนั้น เอาใบหน้าสั่นเทาของเธอเข้าไปใกล้ๆ คริส เธอไม่มีแรงเหลือที่จะพูดเสียงดังได้อีกแล้ว
“ฉันคือภรรยาของคุณ!!!”
แองจี้ถูกไฟคลอกจนแม้แต่สามีที่อยู่ด้วยกันมา 24 ปียังจำเธอไม่ได้ คริสรีบพาแองจี้ขึ้นรถออกไปทันที
คริสขับรถพาแองจี้ไปถึงมือแพทย์ และเขารีบขับรถออกมาเพื่อตามหาไวแอตและเป๊กกี้ทันที
คริสขับรถกลับมายังทางเดิมที่เขาเข้า
แต่บัดนี้ทางเต็มไปด้วยไฟที่ลุกโชนและต้นไม้ที่โค่นล้มขวางถนนไปหมด
เขาไม่มีทางเลือกนอกเสียจากแจ้งหน่วยกู้ภัย
และรอให้ไฟเบาลง
เวลาผ่านไปสองวัน ไฟเริ่มจางลง
คริสและหน่วยกู้ภัยเริ่มออกตามหาไวแอตและเป๊กกี้ ข่าวนี้กระจายไปยังสื่อต่างๆ ทำให้เริ่มมีผู้คนพยายามช่วยคริสหาด้วยเช่นกัน
เป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่ง
เมื่อหน่วยดับเพลิงเข้าไปพบศพเด็กวัยรุ่นและสุนัข เสียชีวิตจากไฟไหม้อยู่ภายในรถของแองจี้นั่นเอง
ภายในรถมีศพของเป๊กกี้ซึ่งเสียชีวิตจากไฟไหม้เช่นกัน
จากการชันสูตรศพ พบว่าเป็นศพของไวแอตจริงๆ
แต่คำถามคือทำไมไวแอตถึงกลับไปยังที่เดิม
ทั้งๆ ที่เขาเดินนำหน้าแองจี้ไปเกือบ 10 นาที นั่นทำให้เข้ารอดชีวิตได้แน่นอน
“เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันคิดว่าจากนิสัยของไวแอตเขาน่าจะเป็นห่วงยายของเขา เขาจึงกลับมาที่รถ และพยายามขับรถไปต่อ แต่ด้วยไฟที่รุนแรงเกินไปมันแผดเผายางรถจนไม่สามารถขับต่อไปได้ และทั้งหมดจึงเสียชีวิตภายในรถ”
ซูซาน ทวดของไวแอตกล่าว
เพียงแค่หนึ่งคืน คืนที่เปลี่ยนชีวิตไปทุกอย่าง
โลกของครอบครัวโทฟ์ตได้พังทลายจนไม่เหลือ
มีการรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือคริสและแองจี้จากความสูญเสียครั้งนี้ แต่แม้ว่าเงินจะกองสูงเพียงไหน ก็ไม่อาจทดแทนเพียงเสี้ยววินาทีที่อยู่ด้วยกันได้เลย
บทความนี้ ขออุทิศให้กับผู้ที่สูญเสียจากเหตุไฟป่า
โฆษณา