18 ก.ย. 2020 เวลา 07:43 • ประวัติศาสตร์
“อาหารกลางวันบนยอดตึกระฟ้า (Lunch Atop A Skyscrper)” ภาพที่สะท้อนบ้านเมืองอเมริกันในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ
ภาพที่เห็นนี้เป็นภาพที่โด่งดังที่สุดภาพหนึ่งในสหรัฐอเมริกา และสะท้อนสภาพบ้านเมืองของสหรัฐอเมริกาในยุค 30 (พ.ศ.2473-2482) ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ
ภาพที่เห็น คือภาพของคนงานก่อสร้างจำนวน 11 คน นั่งห้อยขาบนตึกสูงระฟ้า เหนือพื้นดิน 850 ฟุต (260 เมตร)
แต่ภาพนี้ก็มีเบื้องหลังและสะท้อนสังคมในยุคนั้นได้อย่างน่าสนใจ
หลายคนเข้าใจว่าภาพที่เห็น คือภาพคนงานบนยอดตึก “Empire State” แต่ที่จริงแล้ว มันคือตึก “Rockefeller Center” ในระหว่างการก่อสร้าง
Rockefeller Center
Rockefeller Center เป็นตึกสูงระฟ้าที่โด่งดังตึกหนึ่งในสหรัฐอเมริกา โดยการก่อสร้างตึกนี้เป็นที่สนใจของผู้คนในยุคนั้น อีกทั้งยังส่งผลต่อเศรษฐกิจของผู้คนด้วย
ในเวลานั้น เป็นช่วงเวลาของเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนตกงาน แต่การก่อสร้างตึกนี้ทำให้เกิดการจ้างงานคนงานกว่า 250,000 คน อีกทั้งค่าแรงคนงานก็ถือว่าดีทีเดียว
แต่เงื่อนไขก็คือ คนงานต้องไม่กลัวตาย สามารถทำงานบนความสูงจากพื้นนับร้อยเมตรได้โดยมีเครื่องป้องกันเพียงไม่กี่อย่าง เสี่ยงที่จะตกไปตายได้ตลอดเวลา
ได้มีการถ่ายภาพคนงานขณะกำลังทำการก่อสร้างอยู่เหนือพื้นดินหลายร้อยเมตร และแสดงให้เห็นถึงการทำงานที่แทบจะไม่มีเครื่องป้องกันเลย
แต่ภาพที่โด่งดังที่สุด ก็คือภาพต้นเรื่อง นั่นคือภาพของคนงานที่นั่งทานอาหารบนยอดตึกโดยไม่มีทีท่าหวาดกลัวเลย
ภาพนี้สะท้อนถึงการที่คนงานก่อสร้าง ซึ่งส่วนมากเป็นชาวอิตาลีและไอริชที่ย้ายมาสหรัฐอเมริกา ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว
ภาพนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ “New York Herald Tribune” ในวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ.1932 (พ.ศ.2475)
ภาพนี้สร้างแรงบันดาลใจให้ชาวอเมริกันจำนวนมาก ทำให้คนส่วนใหญ่เกิดแรงฮึดที่จะหางานทำ ทำงานหาเงินมาสร้างฐานะและเลี้ยงดูครอบครัว และแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาเมือง ความเติบโตของเมืองใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
มีภาพอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันและถ่ายระหว่างการก่อสร้างตึกนี้ออกมาอีก แต่ก็ไม่ได้โด่งดังเท่าภาพที่คนงานกำลังทานอาหารกลางวันบนยอดตึก
ในปัจจุบัน ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ถ่ายภาพที่เห็น และก็ยังมีบางคนที่ไม่เชื่อว่าเป็นภาพถ่ายจากบนยอดตึกจริงๆ แต่เป็นภาพปลอมที่ทำขึ้นมาเองทีหลัง หากแต่ในเวลาต่อมา ก็ได้มีคนพิสูจน์และหาพยานมายืนยันว่าเป็นภาพที่ถ่ายบนยอดตึกจริงๆ
แต่ไม่ว่าจะเป็นภาพจริงหรือปลอม แต่ภาพนี้ก็ได้กลายเป็นภาพที่สำคัญภาพหนึ่งของสหรัฐอเมริกา และถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์จนถึงทุกวันนี้
โฆษณา