18 ก.ย. 2020 เวลา 09:11 • ประวัติศาสตร์
ไม่มี Onisuka tiger อาจจะไม่มี Nike ในวันนี้
CORTEZ รองเท้าในตำนาน ของทั้ง Onitsuka และ Nike
ทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก nike รองเท้าที่เรียกได้ว่าสร้างประวัติศาสตร์โลกให้ Eluid Kipchoke วิ่งมาราธอน ระยะเวลาต่ำกว่า 2 ชม.ได้ ออกมาแต่ละรุ่น คนแย่งกันซื้อเหมือนถูกๆ ทั้งๆที่คู่เหยียบหมื่น
แต่ใครรู้มั่ง ว่าแบรนด์นี้มีที่มาที่ไป จากรองเท้าญี่ปุ่นชื่อ Oniะsuka tiger
ย้อนกลับไปปี 1962
Phil Knight (60 ปีที่แล้ว) เป็นเด็กมหาลัยที่ชอบวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ เรียนอยู่ที่ Stanford ซึ่งก็คือ Stanford university ทุกวันนี้แหละ เค้าเป็นนักกีฬาวิ่งคนหนึ่ง
ตอนนั้น ก็มีความฝันอันยิ่งใหญ่ว่า เค้าจะต้องเอารองเท้า Onitsuka tiger มาขายในประเทศอเมริกาให้ได้ เพราะเค้ารักและหลงไหลในแบรนด์นี้มากๆ นอกจากนี้ ช่วงนั้นทุกอย่างที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นช่างดูเจ๋งไปหมด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ กล้องถ่ายรูป เป็นต้น
เมื่อเรียนจบเค้าก็เริ่มงานขายก่อน แต่เริ่มจากขายหนังสือสาราณุกรม (Encyclopedia) เพื่อเก็บเงิน แต่ก็ขายไม่ค่อยได้หรอก แต่ก็พอหาเงินได้บ้างกล้อมๆแกล้มๆ
หลังจากนั้น พอมีเงินเดินทางเค้าเลยตัดสินใจเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพราะยุคนั้น ไม่มี Email การจะติดต่ออะไรกัน ก็ต้องเป็นจดหมาย หรือ เดินทางไป
และการเดินทางระยะไกลแบบนั้น ไม่ใช่เรื่องปกติในยุคนั้นเลย (ประมาณ 80% ของคนอเมริกาไม่เคยขึ้นเครื่องบิน) ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่าเค้าเป็นคนชอบการผจญภัยมากๆ
เมื่อตัดสินใจเดินทางไปทั้งๆที่ในหัวคิดแต่จะเอารองเท้ามาขายในอเมริกาให้ได้ ก็เริ่มโทรศัพท์ติดต่อกัน และก็เดินทางไปเลย...
เมื่อไปถึงญี่ปุ่น ก็ตรงไปที่โรงงาน Onisuka tiger ที่โกเบ ก็พูดคุยกันว่าอยากเอามาขาย ทางญี่ปุ่นก็งงๆ ว่าเด็กนี่จะมาทำธุรกิจ เค้าเลยถามว่า มาจากบริษัทอะไร ซึ่ง Phil Knight ไม่ได้คิดมาก่อนถึงคำถามนี้เลย เลยตอบไปมั่วๆ Blue Ribbon sport of Portland ซึ่งเอาจริงๆ ก็เรียกว่ามั่วสดๆ คำว่า Blue ribbon ก็คือรางวัลที่เค้าได้จากการวิ่ง ที่เค้าภูมิใจนั่นเอง และชื่อนี้ก็เป็นชื่อบริษัทตัวแทนจำหน่ายในเวลาต่อมา
หลังจาก deal ได้ ทาง Onisuka ก็บอกว่าจะส่งรองเท้าให้นะ แต่เอาไปดูก่อน 2-3 คู่
ซึ่ง Phil Knight ก็ดีใจ แล้วก็กลับมา แต่เนื่องจากตอนนั้นด้วยความวัยรุ่น ก็ขอออกเที่ยวรอบโลกก่อน ซักสองสามเดือน ก่อนกลับไปอเมริกา เพราะเค้าให้เหตุผลว่ากลับไปตอนนี้ก็ยังไม่ได้รองเท้าอยู่ดี ไปเที่ยวก่อนดีกว่า
และเมื่อเที่ยวพอแล้วก็กลับ Oregon บ้านเกิด ด้วยความหวังว่าจะพบรองเท้า แต่แล้วกลับพบว่า...ไม่มีรองเท้ามาส่ง
เค้าจึงส่งจม.กลับไปญี่ปุ่นว่าทำไมยังไม่ได้ แต่ทางนู้นก็บอกว่าส่งมาแล้ว แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มาซะที จนเค้าไม่เหลือเงินแล้ว จะรอขายรองเท้าก็คงไม่ได้ จึงต้องออกทำงาน และงานแรกของเค้าก็ไม่ถูกจริตเค้าเลยจริงๆ คือ การเป็นนักบัญชี ซึ่งเป็นนักบัญชีอยู่ 1 ปีเต็มๆ ช่วงนี้นี่เอง เค้ารู้สึกว่าเค้าเป็นคนที่ขายของไม่เก่งเลย ตั้งแต่จบมาขายหนังสือก็ขายไม่ได้ อยู่บ.นักบัญชี ขายกองทุนก็ขายไม่ได้ เค้าค่อนข้างท้อถอยในชีวิตระดับนึง
2
แต่แล้ววันหนึ่ง กลับถึงบ้าน....จู่ๆก็มีกล่องรองเท้าส่งมาถึงบ้าน คือกล่อง Onitsuka tiger นั่นเอง เค้าดีใจมากๆ เพราะจะได้เลิกทำงานที่ไม่ถูกจริตซะที และได้เริ่มทำอะไรที่เค้าเองมี passion สุดๆ และมั่นใจมากๆ ว่าเค้าจะขายรองเท้าได้ สิ่งที่ทำให้เค้ามั่นใจ เพราะเค้ามีความเชื่ออย่างรุนแรงว่า การวิ่งคือสิ่งที่ดีมากๆสำหรับชีวิต
ใช่ค่ะ น่าสนใจมากๆ เค้าไม่ได้มีความเชื่อในรองเท้าที่เค้าจะขาย แต่เค้ามีความเชื่อมากๆเรื่องการวิ่ง เค้าใช้คำว่า Believe is irresitible
ตอนนั้นเค้าก็เริ่มงานโดยหา partner ซึ่งก็เอา Coach วิ่งของเค้านั่นแหละมาขาย แต่คนนี้ไม่ใช่ Coach ธรรมดานะ เป็น Coach คนดังมากๆ (ตอนหลังเป็นโค้ชโอลิมปิกด้วย) เพราะทำให้คนวิ่งเร็วขึ้นได้เยอะมากๆ
Coach คนนี้ชื่อ Bill Bowerman ซึ่งคนคนนี้ไม่ได้เป็นแค่ Coach แต่เค้ามีความหลงไหลในการสร้างรองเท้าวิ่งที่ดีด้วย มีการทดลองมากมายว่ารองเท้าวิ่งควรมี support ตรงไหน ควรใช้วัสดุอะไร ซึ่งแรกๆก็ผลิตขึ้นมา แล้วให้นักเรียนลองใช้ ซึ่งนักเรียนที่ลองใช้ Bowerman original shoe ก็คือ Phill Knight เนี่ยแหละ แต่ตอนที่ลอง ก็ยังเป็นนักเรียนมหาลัยอยู่ แต่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของคนสองคนนี้ ก่อนจะมาร่วมธุรกิจกัน
ตัวอย่างรองเท้าที่ Bowerman ทำขึ้นมาเอง โดยคู่นี้เป็นของ Kenny Moore นักวิ่ง Olympic ซึ่งมี Bowerman เป็น Coach ให้
ซึ่งการที่ Phill Knight ได้มาชวน Bowerman ในการร่วมธุรกิจครั้งนี้ เค้าเองก็ดีใจมาก ที่ได้มีโอกาสเจอฝ่ายผลิตของ Onitsuka ซึ่งตอนนั้น Bowerman ก็ได้นำเสนอไอเดียการสร้างรองเท้าวิ่งสุดเจ๋งขึ้นมา ชื่อรุ่น Tiger Cortez (1965) ซึ่งดังมากๆในยุคนั้น เท่ห์ ใส่สบายสุดๆ วิ่งก็ดีมากด้วย จนทำให้รองเท้ารุ่นนี้ขายดีมากๆในอเมริกา
Bowerman และรองเท้าของเขา
ความที่ขายดีมากทำให้ Phil Knight และ Bowerman ที่ร่วมกันทำในนามบ. Blue Ribbon Sports อยากจะเปิดตลาดเพิ่มให้ทั่วอเมริกา แต่ก็ติดที่เงินทุน และ logistic ที่ช้ามากๆในยุคนั้น ทำให้การเติบโตไปได้ช้า และอีกเหตุผลหนึ่งก็คืออยากเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงผู้เดียวด้วย แต่ทาง Onitsuka ก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เค้าเองก็อยากจะเอามาขายเองด้วย คือจะขอ takeover Blue Ribbon Sport นั่นเอง และเพื่อจะได้มีอำนาจต่อรองกับ Blue Ribbon Sport เค้าเองก็มองหา partner ใหม่ๆ ที่อยากจะมาเป็นตัวแทนจำหน่ายรองเท้า Tiger
และความขัดแย้งทางธุรกิจนี้เอง....จึงเป็นที่มาของความแตกหัก
Phil Knight และ Bowerman ได้คิดถึงการสร้างรองเท้าขึ้นมาเป็นแบรนด์ของตนเอง โดยเค้าก็ใช้เทคโนโลยีเดียวกับที่สร้าง Tiger Cortez แต่ใช้ชื่อ Nike Cortez
1
ซึ่งชื่อและ logo nike นั้น หลายคนคงทราบกันดีว่ามาจากการจ้างนักออกแบบโลโก้ทั่วๆไปทำ ในราคา 35 USD เท่านั้น โดย Phil Knight ให้คอนเซปป์ว่า อยากให้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
ซึ่งคนออกแบบชื่อ Carolyn Davidson ได้แรงบรรดาลใจมาจาก ปีกของเทพธิดา NIKE เทพของชาวกรีก
และเครื่องหมายถูกนั้นเรียกว่า Swoosh ซึ่งก็หมายถึงเสียงลมพัด นั้นเอง
เอาจริงๆสิ่งที่ตอนนั้น Phil Knight และ Bowerman ทำก็ไม่ใช่ว่าถูก เพราะเป็นการเอา technology ที่คิดร่วมกับทาง Onitsuka ไปผลิตสินค้าเอง แล้วด้วยความเก่งของ Bowerman ก็มีการพัฒนาให้ดีขึ่้นไปอีก ทั้งสองได้ขาย Nike Cortez คู่กับ Tiger Cortez มาเรื่อยๆ จนได้เงินเข้า Blue ribbon มากขึ้น เริ่มตั้งตัวได้ (โดยช่วงนี้ Onitsuka ก็ไม่รุ้เรื่องอะไร) จัดเป็นยุคเฟื่องฟูของรองเท้ากีฬา คนเริ่มใช่รองเท้ากีฬาไปมหาลัย ใช้เดินเล่น เอาเป็น Cortez ถือเป็นตำนาน Sneaker เลยก็ว่าได้
Nike Cortez ได้โผล่ในภาพยนต์เรื่อง Forest Gump
เงินที่ได้จากการขาย Nike Cortez ก็เอาไปพัฒนารองเท้ารุ่นถัดๆมา จนตอนนี้ brand Nike ก็ติดตลาด
ในที่สุดก็ถึงจุดแตกหัก คือ Onitsuka ก็รู้เข้าจนได้ ว่า Nike แอบไปทำรองเท้า ทั้งๆที่เป็นตัวแทนจำหน่ายให้ตนอยุ่ มิหนำซ้ำ ยังทำมาแข่งกับของตนด้วย เป็นการฟ้องร้องครั้งใหญ่ โดย Onitsuka ฟ้องเอาลิขสิทธ์รองเท้า Cortez แต่ Nike ก็บอกว่า Onitsuka แอบรองเท้ามาขายเอง ซึ่งสุดท้าย Nike ชนะ และได้ใช้ช่ือ Cortez ส่วน Tiger นั้นต้องเปลี่ยนชื่อเป็น Tiger Cosrair
จากนั้นก็เป็นจุดผงาดของ nike บ.เครื่องกีฬาที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ถึง 4.5 ล้านล้านบาท
ทุกวันนี้ Concept นี้ก็ยังคงอยู่ใน Brand Nike
ตำนานทั้งหลายนี้เกิดขึ้นใน Oregon จึงเป็นที่มาของ Oregon project ที่ใช้ในการผลิตนักวิ่งชั้นนำของโลก และยังเป็น lab ทดลองทางกีฬาที่ล้ำสมัยมากๆ ที่เปรียบเสมือน NASA ของวงการออกกำลังกาย แต่ปัจจุบันได้ปิดตัวลงไปแล้ว จากข่าวการใช้สารต้องห้ามของโค้ชในโครงการนี้
โฆษณา