20 ก.ย. 2020 เวลา 13:18 • นิยาย เรื่องสั้น
🍁 เรื่องสั้น | เสี้ยววินาที
“แฮ่ก ๆ ๆ”
ในที่สุดฉันก็พาร่างกายที่ยังไม่หายจากอาการไข้ดี
ฝ่าฝูงชนที่แน่นขนัดในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ มายืนอยู่หน้าสำนักงานไปรษณีย์ พร้อมกับเสียงของลมหายใจ
ที่ดังและถี่เกินกว่าจะควบคุมได้ ราวกับหอบเอาความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดมาวางกองไว้เบื้องหน้า
ซองเอกสารสีน้ำตาลในมือ ทำให้ฉันต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์รับจ้างฝ่ารถติดมาที่ไปรษณีย์แห่งนี้
เพื่อส่งเอกสารให้ทันก่อนที่จะปิดในเวลา 19:00 น.
โชคดีที่ฉันมาทันเวลาพอดี จะเรียกว่าเส้นยาแดงผ่าแปดเลยก็ว่าได้ ฉันหยุดยืนสูดลมหายใจลึก ๆ
ปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาทั่วใบหน้า แล้วเดินตรงไป
กดปุ่มสีแดงแล้วลดมือไปรับบัตรคิวช่องด้านล่าง
อย่างอัตโนมัติ
ผ่านไปชั่วครู่ มือของฉันยังคงค้างกลางอากาศอยู่
แบบนั้น ไม่มีบัตรคิวใด ๆ ออกมาจากตู้ ฉันจึงกดปุ่มซ้ำอีกครั้ง กดย้ำอีกหลายรอบแต่ทุกอย่างก็นิ่งสนิทเช่นเดิม
“ขอโทษนะคะ ต้องกดบัตรคิวมั้ยคะ
พอดีกดแล้วไม่มีบัตรออกมาค่ะ”
ฉันชโงกหน้าไปถามพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่ตอนนี้กำลังยุ่งอยู่กับการชั่งน้ำหนักกล่องไปรษณีย์จำนวนมาก
“หมดเวลาค่ะ”
พนักงานเอ่ยตอบสั้น ๆ โดยไม่หันมามองด้วยสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงที่ทำให้ฉันอดคิดในใจไม่ได้ว่า
เธอไปกินรังแตนที่ไหนมานะถึงได้ดูหงุดหงิดมาก
ขนาดนี้ แต่เอกสารสำคัญในมือทำให้ฉันต้องยอม
แหย่รังแตนอีกสักที
“ฉันขอส่งเอกสารชิ้นนึงได้มั้ยคะ มันสำคัญมากจริง ๆ”
ฉันยกซองสีน้ำตาลในมือขึ้นพร้อมกับแสดงสีหน้าอ้อนวอน
“เฉพาะคนที่มีบัตรคิวเท่านั้น”
ครั้งนี้เธอหันมามองหน้าฉัน แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด
ฉันหันหลังเดินออกมา ดวงตาของฉันจับจ้องไปที่
ตู้กดบัตรคิว ทันใดนั้นภาพเบื้องหน้าของฉัน
ค่อย ๆ ย้อนกลับไปเหมือนฟิล์มหนังที่ถูกกรอกลับ
ไปยังช่วงระยะเวลาหนึ่ง
“แค่เสี้ยววินาทีที่ปลายนิ้วจะสัมผัสปุ่มนั่น
ไฟสีแดงก็ดับลงไปก่อน”
ความจริงที่ดังก้องในใจทำให้ฉันรู้สึกเสียดาย
เวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่เสียไปนั้น ทำให้ฉันส่งเอกสารสำคัญไม่ทัน ฉันอยากจะย้อนเวลากลับไปเหลือเกิน
ฉันจะเอาวินาทีนั้นกลับคืนมา
“เฮ้ออ แย่แน่เรา” เหมือนแบตเตอรี่เสี้ยวสุดท้ายของฉันกำลังจะหมดลง ฉันรู้สึกเวียนหัวและหมดแรงจนต้องเอามือขยี้ตาที่กำลังพร่ามัว
“ให้ผมช่วยอะไรมั้ยครับ คุณดูหน้าซีด ๆ นะครับ”
คำพูดของชายหนุ่มกับมืออุ่น ๆ ที่สัมผัสต้นแขน
พยุงร่างของฉันอยู่ตอนนี้เหมือนแบตเตอรี่สำรอง
ช่วยชาร์ตไฟที่กำลังจะหมดของฉัน
“คะ .. คือ.. ฉันแค่เวียนหัวนิดหน่อยค่ะ ขอนั่งพักสักหน่อยคงไม่เป็นไร ขอบคุณมาก ๆ นะคะ”
ยังไม่ทันที่เขาจะตอบอะไรกลับมา ฉันก็รีบพูดในสิ่งที่ต้องการต่อทันที
“คุณส่งไปรษณีย์รึเปล่าคะ
ฉันขอฝากคุณส่งด้วยได้มั้ยคะ”
ฉันจ้องตาเขาแบบไม่กระพริบ ด้วยแววตาอ่อนวอน
ที่เฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“ครับ..ได้ครับ“
เขาตอบด้วยเสียงตะกุกตะกักสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยมือออกจากแขนฉันแล้วจับต้นคอตัวเองแทน ท่าทางของเขาทำให้ฉันต้องเบือนหน้าหลบสายตา กลบเกลื่อนใบหน้าที่กำลังร้อนผ่าวและคงแดงเป็นลูกตำลึงแล้วตอนนี้ ไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรือเพราะอะไรกันแน่
“คุณนั่งลงพักก่อนเถอะครับ หน้าคุณซีดมากเลย”
ฉันค่อย ๆ เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ช้า ๆ โดยที่มีเขาเดินตามมาส่ง แล้วจึงยื่นซองเอกสารให้เขาด้วยใบหน้า
ที่ยิ้มจนแก้มแทบปริ
“ขอบคุณมากๆ นะคะ ไม่ได้คุณช่วย ฉันต้องแย่แน่ ๆ ฉันไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงเลย ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ”
ฉันยื่นมือรับสลิปเลขพัสดุจากเขา พร้อมเอามือ
ทาบอกถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ
“ด้วยความยินดีครับ”
ใบหน้าคมเข้มตัดกับรอยยิ้มละมุนละไมของเขา
ทำให้ฉันนึกถึงเลม่อนชิ้นบาง ๆ กลิ่นหอมสดชื่น
ที่ใส่ลงในเอสเพรสโซ่แก้วโปรดของฉัน
“นี่ค่ะ ฉันขอเลี้ยงกาแฟคุณเป็นการตอบแทนนะคะ”
นามบัตรร้านกาแฟของฉันถูกส่งไปพร้อมกับรอยยิ้ม
เคลือบลาเต้อาร์ตฟองนมนุ่ม ๆ
“ร้านอยู่แถวออฟฟิศผมเลยครับ คุณจะว่าอะไรมั้ยครับ
ถ้าผมจะขอสมัครเป็นลูกค้าประจำ”
:)
สวัสดีค่ำคืนวันอาทิตย์ค่ะ ><
วันนี้เอาเรื่องสั้นและสำนวนเกี่ยวกับเวลามาฝากค่ะ
ทุกคนใช้เวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้
ทำอะไรกันบ้างคะ 😊😊
9 สำนวน เกี่ยวกับเวลา
1. “Better late than never”
..
แปลว่า การทำอะไรสักอย่าง ต่อให้ช้าสักแค่ไหน
สายเพียงใด ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
2. “Living on borrowed time”
..
แปลว่า มีชีวิตที่ตกอยู่ในอันตราย มาจากความหมายตรงตัวที่ว่า “ยืมเวลามาใช้”
3. “Against the clock”
..
แปลว่า การทำอะไรที่ต้องรีบเร่งแบบที่เรียกได้ว่า
“แข่งกับเวลา”
4. “Big time”
..
แปลว่า ช่วงเวลาที่สำคัญ ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ เหตุการณ์สำคัญ หรือในบางบริบทสามารถมีความหมายว่า ประสบความสำเร็จ
5. “Have the time of your life”
..
แปลว่า มีเวลาที่ดี มีช่วงชีวิตที่ดี มีความสุข
6. “Time flies”
..
แปลว่า เวลาผ่านไปเร็วมาก (เปรียบเหมือนเวลาบินได้)
7. “Time is money”
..
แปลว่า เวลาเป็นเงินเป็นทอง
8. “Once in a blue moon”
..
แปลว่า นานๆ ครั้ง มีที่มาจากการเปรียบเปรย ถึงพระจันทร์สีน้ำเงิน (Blue Moon) คือ พระจันทร์เต็มดวงครั้งที่สองของเดือนนั้น (ตามปกติพระจันทร์จะเต็มดวงเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น)
9. “On the spur of the moment”
..
แปลว่า สิ่งที่นึกขึ้นมาแล้วก็ทำเลยโดยไม่ได้ไตร่ตรอง สิ่งที่เกิดขึ้นฉับพลัน ปัจจุบันทันด่วน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ❤️💚
#กระเรียนน้อย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา