22 ก.ย. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #ความเยือกเย็นที่ถูกทำลาย ]
ซัมเมอร์ปี 2019 หรือถอยหลังไปกว่าหนึ่งปีก่อน บาร์เซโลน่ากำลังมองหาเซ็นเตอร์แบ็กอายุน้อยๆสักคนมาเสริมแนวรับ เพื่อเป็นแกนหลักในอนาคต
เดิมที โจเซป บาร์โตเมว ประธานสโมสรโฟกัสไปที่ มาไธจ์ส เดอลิกต์ ที่กำลังเปล่งปลั่งอย่างกับอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ผลงานโดดเด่นเกินวัย โดยเฉพาะเมื่อเล่นในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
อย่างไรก็ตามการจะปิดดีลนั้นไม่ง่ายเลย นอกจากราคาที่สูงมากแตะหลัก 70-80 ล้านยูโรแล้ว ยังต้องเผชิญกับคู่แข่งอีกไม่น้อยที่พร้อมสู้ราคาและหาวิธีต่างๆนานามาโน้มน้าว
ก่อนจะเป็นยูเวนตุสคว้าชิ้นปลามันไปครองได้ เมื่อยอมควักค่าตัว 75 ล้านยูโรบวกเพิ่มอีก 10 ล้านตามเงื่อนไข รวมถึงทุ่มหนักจ่ายค่าจ้างอีกกว่า 10 ล้านยูโรต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นเรตที่สูงมากของทีม ยกเว้นอย่าไปเทียบกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซึ่งฟันนิ่มๆกว่า 30 ล้านยูโร
พอเป้าใหญ่พลาดหลุดมือ บาร์เซโลน่าก็ต้องมองหาแผนสอง จึงเบนหัวมายัง วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่ยังไม่ได้ขยายสัญญาฉบับใหม่กับแมนฯยูไนเต็ดออกไป หลังย้ายมาในปี 2017
ว่ากันว่าบาร์ซ่าปิ๊ง ลินเดอเลิฟ ตั้งแต่สมัยเล่นให้เบนฟิก้าแล้ว แต่แมนฯยูไนเต็ดปาดหน้าดึงไปก่อน เลยต้องหวนปัดฝุ่นตั้งใจดึงมาให้ได้
เรื่องนี้ ฮาซาน เซตินยาก้า อดีตนักฟุตบอลอาชีพที่ผันตัวมาเป็นเอเจ้นต์และดูแล ลินเดอเลิฟ เล่าให้ฟังเองเป็นฉากๆ
"พอมาไธจ์ส เดอลิกต์ เลือกยูเวนตุส ไม่ต้องสงสัยเลยว่า วิคตอร์ กลายเป็นเป้าแรกของบาร์เซโลน่า ด้วยแนวทางการเล่น ด้วยดีเอ็นเอมันใกล้เคียงกับวิถีของบาร์ซ่าอย่างมาก"
"เขาคือหนึ่งในเซนเตอร์แบ็กที่ใช้เท้าได้ดีสุดของโลกและบาร์เซโลน่าอยากได้เขา ผมบอกได้เลยว่าเราพร้อมคุยอยู่เสมอ"
"ทางยูไนเต็ดเองก็อยากจะคุยเรื่องนี้ด้วย การต่อสัญญาถือว่าสำคัญ บาร์เซโลน่าเองได้ติดต่อมายัง เอ็ด วู้ดเวิร์ด ด้วยนะ ผมเองก็ได้คุยกับ แมตต์ จัดก์ ซึ่งทำหน้าที่ซื้อขายผู้เล่นโดยตรง พวกเขาบอกว่าไม่มีทางที่จะปล่อย เพราะนี่คือหนึ่งในแข้งดีสุดของทีม"
เชื่อกันว่า เซตินยาก้า ออกมาให้สัมภาษณ์เช่นนี้ เหมือนโยนหินถามทางเกี่ยวกับอนาคต ลินเดอเลิฟ หลังจากที่ผลงานไม่ค่อยเข้าตานัก ก่อความผิดพลาดให้เห็นบ้าง นับตั้งแต่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทน โชเซ่ มูรินโญ่
แล้วไม่กี่วันก่อนที่เอเยนต์คนนี้จะออกมาเปิดใจ มูรินโญ่ ซึ่งผันบทบาทมารับบทวิเคราะห์เกมให้ทางสกาย สปอร์ตส์ ช่วงรองานใหม่ เพิ่งจัดหนักใส่อดีตลูกทีมรายนี้ไป
จากเกมที่แมนฯยูไนเต็ดพ่ายเวสต์แฮม ยูไนเต็ด 0-2 มูรินโญ่ จี้ไปที่ ลินเดอเลิฟ เลยว่าเปรียบเหมือนบ่อน้ำมันอย่างแท้จริง อ่อนหัดในลูกกลางอากาศ จนนำไปสู่การเสียประตูและปราชัยในที่สุด
หากย้อนกลับไปดูเกมดังกล่าว เราจะเห็นว่าปราการหลังสวีดิชมีส่วนต้องรับผิดชอบจริง เห็นชัดว่ามีปัญหาในการรับมือลูกกลางอากาศ ซึ่งถูกทัพขุนค้อนโจมตีอย่างหนัก
ไม่นานนักมีนักข่าวไปถาม ลินเดอเลิฟ รู้สึกอย่างไรที่โดนอดีตบอสตบหน้าฉาดใหญ่ผ่านสื่อแบบนี้ เขากลับยักไหล่ไม่แคร์ อธิบายว่าปกติไม่ได้ใส่ใจเรื่องการวิจารณ์แบบนี้เลย มันเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้น หากไม่มีคนมาเล่าก็ไม่รู้หรอก
อีกทั้งยังเชื่อมั่นในตัวเองเสมอ ไม่มีใครรู้ดีเท่ากับตัวเองอีกแล้ว เท่าที่ผ่านมาก็พิสูจน์ในระดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่ยึดตัวจริงได้ต่อเนื่อง แม้จะมี แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ก้าวมาเป็นคู่แข่งอีกราย
อย่างไรก็ตามในยุค มูรินโญ่ เป็นกุนซือปีศาจแดง สถิติฟ้องว่าหากมี ลินเดอเลิฟ ลงเล่นจะมีเปอร์เซนต์ชนะมากกว่าเซนเตอร์แบ็กคนอื่นๆ ข่มทั้ง เอริก ไบยี่ , คริส สมอลลิ่ง , มาร์กอส โรโฮ และ ฟิล โจนส์
หลังจากที่ตั้งการ์ดรับเสียงวิจารณ์จากเกมนั้นไม่นานเท่าไรนัก ลินเดอเลิฟ ก็ได้สัญญาฉบับใหม่ ยืดออกไปถึงปี 2024 อยู่โยงยาวอีก 4 ปี
นอกจากนี้ยังมีการปรับค่าจ้างด้วย จากที่รับราว 60,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ก็ขยับเป็น 120,000 ปอนด์ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขสูงมาก อีกทั้งสื่อบางสำนักยังอ้างว่าน่าจะถึง 150,000 ปอนด์ด้วยซ้ำ
ลินเดอเลิฟ ปลาบปลื้มมากๆ อย่างน้อยที่สุดสัญญาฉบับนี้ช่วยกลบเสียงก่นด่าที่พุ่งมายังตัวเขาได้อย่างดี
ถ้าผลงานแย่อย่างที่ใครต่อใครพูดถึง จะมีสัญญาใหม่ยื่นมาตรงหน้าได้อย่างไรกัน
นอกจากนี้เขายังตื่นเต้นมากๆที่ได้รับเกียรติขนาดนี้ แทบจะไม่สนใจด้วยซ้ำว่ารายละเอียดในกระดาษใบสีขาวนั้นมีอะไรบ้าง อยากจะจรดปากกาสะบัดลายเซ็นลงไปเลย
ถ้าไม่หยอดคำหวานจนเกินไป ต้องยอมรับว่า ลินเดอเลิฟ อยากจะอยู่แมนฯยูไนเต็ดจริงๆ หวังจะฝากอนาคตไว้ที่นี่ยาว โดยไม่แคร์ข้อเสนอของบาร์เซโลน่า
เอเยนต์ของเขาจึงกล้าพูดว่าจะมีนักเตะสักกี่คนที่กล้าปฏิเสธบาร์ซ่า ซึ่งไม่น่าใช่เรื่องเกินความจริงเลย
ในวัยเพียงแค่ 17 ย่าง 18 ปี วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ได้รับข้อเสนอจากเบนฟิก้า หลังส่งแมวมองมาส่องฟอร์มกระทั่งประทับใจ อยากได้ไปร่วมทีม
เป็นนักเตะอื่นอาจบอกปัดไปก่อน เพราะอายุยังน้อยเกินไป มีความเสี่ยงสูงมาก ไหนจะตัวแปรสำคัญเรื่องการปรับตัวอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากสวีเดน ภาษา อาหารหรืออากาศ ล้วนแต่เป็นตัวฉุดทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ลินเดอเลิฟ ที่เริ่มต้นกับทีมสำรองหรือชุดบีก่อน ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีก็ถีบขึ้นมาชุดใหญ่แบบเต็มตัว
เรื่องนี้ อันโตนิโอ โอลิเวียร่า หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า โตนี่ อดีตแข้งดังเบนฟิก้าที่ได้สัมผัสใกล้ชิด เล่าให้ฟังเองถึงพัฒนาการอันรวดเร็วและยอดเยี่ยม
เด็กหนุ่มที่พูดน้อย ทำงานหนักด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยจนยากจะล่วงรู้ความลับที่อยู่ภายใน กลายเป็นคาแรคเตอร์ของ ลินเดอเลิฟ ที่ทุกคนในทีมหรือแม้กระทั่งแฟนบอลเหยี่ยวลิสบอนพูดถึงกัน
เขาจึงถูกตั้งสมญาว่า "ดิ ไอซ์แมน" สะท้อนถึงความเยือกเย็นดั่งภูเขาน้ำแข็ง ไม่สยบให้กับสิ่งเร้าอื่นง่ายๆ เป็นนักเตะที่เต็มไปด้วยสมาธิและความมุ่งมั่น
ว่ากันว่าในซัมเมอร์ 2017 มูรินโญ่ รีบแจ้งบอร์ดบริหารให้รีบคว้าตัวมา ด้วยเหตุผลตรงนี้ด้วย ปราการที่ได้ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งและเยือกเย็น ย่อมเป็นที่ต้องการของทุกทีม
แม้จะเริ่มต้นกับปีศาจแดงได้ไม่แย่เท่าไรนัก แต่เขาไปได้ไม่สุด บางทีกำลังจะสวยแล้วก็ต้องมาสะดุด เพราะก่อความผิดพลาดง่ายๆ
เขาโดนโจมตีว่าไม่มีความเร็วสอดคล้องกับสปีดบอลของพรีเมียร์ลีก รวมทั้งมีปัญหาเรื่องลูกกลางอากาศด้วย ล้วนแต่เป็นจุดอ่อนที่ต้องรีบแก้ไขทั้งสิ้น
มูรินโญ่ เคยออกมาปกป้องว่า ลินเดอเลิฟ อายุยังน้อย สามารถปรับปรุงและพัฒนาได้มากกว่านี้อีก
แต่พอมาถึงปัจจุบันดูเหมือนว่าร่องรอยดังกล่าวยังคงอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ยิ่งต้องจับคู่กับ แม็กไกวร์ ด้วยแล้ว ดูเหมือนว่าจะไปลดทอนศักยภาพของเขามากขึ้นอีก
หลายคนหวังจะเห็น ลินเดอเลิฟ จะใช้ความใหญ่และแกร่งเข้าชนนำไปก่อน เหมือน เนมานย่า วิดิช แต่กลับไม่ใช่สไตล์ที่ถนัดเลย
ลินเดอเลิฟ คือเซนเตอร์แบ็กที่ชอบการอ่านเกม ไม่โปรดลูกกลางอากาศมากนัก โตมากับการใช้เท้าเป็นหลัก มันยิ่งกลายเป็นปมเมื่อต้องมาเล่นในพรีเมียร์ลีก
นับวันเขายิ่งกดดันมากขึ้นจากเสียงวิจารณ์ จนเผยความผิดพลาดบ่อยขึ้น กระทั่งเกมพรีเมียร์ลีกแรกของซีซั่น ก็ถูกตราหน้าเป็นตัวการสำคัญทำพังเสีย 3 ประตู
ความกดดันที่ว่าเราได้เห็นจากพฤติกรรมที่โวยใส่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส คืนในเกมยูฟ่า ยูโรปาลีกรอบตัดเชือกกับเซบีย่าเมื่อซีซั่นก่อน
ทุกคนมักจะมองว่าเขาคือตัวถ่วงหรือจุดอ่อนในแนวรับเสมอ ความเยือกเย็นที่เคยเป็นบุคลิกประจำตัว ค่อยๆจางหายไปเปลี่ยนเป็นฉุนเฉียวบ่อยขึ้น
กระนั้นหากถามว่าจริงหรือเปล่าที่เขาผิดพลาด? คำตอบคงชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ต้องต่อความยาวกันอีก
หากว่าไปยึดติดหรือจมกับเสียงวิจารณ์ คงลำบากที่จะดึงตัวเองขึ้นมาได้ สิ่งที่ควรทำคือยอมรับแล้วปรับปรุงใหม่
แล้วใช้ความเยือกเย็นที่เคยเป็นคุณสมบัตินำมาใช้ให้เกิดประโยชน์นั่นแหล่ะ
บทความย้อนหลังที่น่าสนใจ
[ #ให้มันจบแค่ตรงนี้ ] : 2 ประตูของ วิลฟรีด ซาฮา ซึ่งตะบันใส่แมนฯยูไนเต็ดที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดเมื่อวันเสาร์ ทำให้มีการขุดอดีตขึ้นมาอีกครั้ง นั่นคือความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวระหว่างตัวเขากับ ลอเรน ลูกสาวของ เดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีมในช่วงดังกล่าว จนถูกดร็อปแบบลืมตายไร้ชื่อไปนาน ซาฮา เคยยืนกรานไปหลายครั้งว่าไม่จริง แต่ดูเหมือนว่าสังคมไม่ยอมเชื่อ ท่ามกลางปริศนาที่ซ่อนอยู่ว่าแท้จริงมันคืออะไร?
[ #ศักดิ์ศรีที่มีมากกว่า ] : ผ่าน 2 นัดในพรีเมียร์ลีก ฮาเมส โรดริเกซ ได้โชว์ให้เห็นแล้วว่าฝีเท้าเจ๋งขนาดไหน ตอกย้ำถึงความยอดเยี่ยมในอดีตได้อย่างดี มันอาจจะเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง กระนั้นหากเราย้อนเวลากลับไป จะเห็นเลยว่าผลงานของดาวเตะโคลอมเบียนสุดยอดแค่ไหน สำหรับ ฮาเมส การย้ายมาเอฟเวอร์ตัน ไม่ใช่เป็นการก้าวถอย แต่เพื่อปกป้องตัวตนและศักดิ์ศรีของเขาด้วย
[ #ฝันที่สองของเบ็คแฮม ] : ชื่อของสโมสรฟุตบอล อินเตอร์ ไมอามี่เริ่มติดหูมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะสื่อมีการนำเสนอข่าวแบบรายวัน แต่เหตุผลหลักมาจากประธานและหุ้นส่วนคือ เดวิด เบ็คแฮม อดีตซูเปอร์สตาร์ ผู้มีภาพเด่นชัดทั้งฝีเท้าและหน้าตา วันนี้พวกเขาได้ผายมือต้อนรับ กอนซาโล่ อิกวาอิน และ แบลส มาตุยดี้ เรียบร้อย ทว่ามันเป็นเพียงแค่การออกสตาร์ตเท่านั้นเอง
[ #ความสุขมันช่างแสนสั้น ] : ควันแห่งความสำเร็จหรือบรรยากาศของการเฉลิมฉลองทริปเปิ้ลแชมป์อันยิ่งใหญ่ยังไม่ทันจางดี บาเยิร์น มิวนิคก็ต้องเจอปัญหาพุ่งชนโครมใหญ่ นอกจากจะต้องปล่อย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ และ อิวาน เปริซิช กลับต้นสังกัดจริงที่ยืมมาแล้ว ติอาโก้ อัลกันตาร่า ก็กำลังชิงหนีและ ดาวิด อลาบา ก็เล่นแง่เรื่องสัญญาใหม่ รวมถึง อูลี่ เฮอเนส ก็ไม่พอใจกับปฏิกิริยาของ ฮันซี่ ฟลิค กุนซือที่ร้องขอตัวแทนอีก ปัญหาหลังผ่านความสำเร็จครั้งใหญ่ มันวุ่นวายอย่างไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา