22 ก.ย. 2020 เวลา 11:48 • ประวัติศาสตร์
การขโมยศพในสังคมตะวันตก
การขุดศพในสมัยโบราณนั้น เป็นเรื่องที่แพร่หลายในสังคมตะวันตก
ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ค.ศ.1788 (พ.ศ.2331) ได้เกิดจลาจล เมื่อสามีที่เพิ่งสูญเสียภรรยาไป พบว่าศพของภรรยาตนถูกขุดขึ้นมาและนำไปขายให้โรงเรียนแพทย์ ทำให้สามีไม่พอใจ ไปโวยวายยังวิทยาลัยแพทย์ และชาวเมืองที่เหลืออดกับการที่ศพของญาติๆ ตนก็ถูกขโมย ได้รวมตัวกันไปถล่มวิทยาลัยแพทย์ เกิดเป็นการจลาจลขึ้น
กลุ่มผู้ก่อจลาจลได้เดินไล่ไปแต่ละห้อง และลากแพทย์ออกมากระทืบซะเละ
การจลาจลในปีค.ศ.1788 (พ.ศ.2331)
ในระหว่างค.ศ.1765-1854 (พ.ศ.2308-2397) ได้เกิดจลาจลเรื่องการขโมยศพอีกอย่างน้อย 17 ครั้งทั่วสหรัฐอเมริกา
ในสมัยศตวรรษที่ 18 ชาวคริสต์เชื่อว่าต้องทำให้ศพคนตายอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด เพื่อที่ผู้ตายจะได้ฟื้นคืนชีพ และเดินทางสู่สวรรค์
และด้วยความที่ศพอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ทำให้การแพทย์นั้นเจริญก้าวหน้า มีการทดลองวิธีการรักษาใหม่ๆ เช่น การถ่ายเลือด
การศึกษากายวิภาคจากศพนั้น สามารถย้อนกลับไปได้ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 ศิลปินและนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาร่างกายมนุษย์จากศพ เพื่อที่จะเข้าใจกายวิภาคมากขึ้น
ภาพวาดร่างกายมนุษย์ในสมัยศตวรรษที่ 15
ต่อมา ในศตวรรษที่ 16 เริ่มมีการขโมยศพเพื่อนำมาใช้ศึกษา
ในสมัยนั้น การประหารชีวิตนักโทษในที่สาธารณะยังคงแพร่หลาย นักวิจัยจึงสามารถหาศพมาศึกษาได้โดยการแอบไปขโมยศพหรือไม่ก็ติดสินบนเพชฌฆาตให้ช่วยเก็บศพไว้ให้
จุดประสงค์ของผู้ที่ขโมยศพ ก็คือต้องการจะศึกษาร่างกายมนุษย์ เพื่อความก้าวหน้าทางการแพทย์ ก็คือมีจุดประสงค์ที่ดี หากแต่วิธีการนั้นผิด
ในช่วงเวลานี้ เหล่าหัวขโมยที่ได้รับการว่าจ้างให้ขโมยศพจึงแพร่หลาย โดยกลุ่มหัวขโมยศพมักจะทำงานเป็นทีม มีประมาณสามคน และค่าจ้างนั้นก็ถือว่าดีทีเดียว
สำหรับศพที่นำมาศึกษานั้น ยิ่งเป็นศพที่เพิ่งตายมาไม่นาน เร็วเท่าไรได้ยิ่งดี เนื่องจากศพยังไม่เน่า อวัยวะต่างๆ ยังสมบูรณ์อยู่
เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 หลายครอบครัวที่เพิ่งสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป มักจะมาเฝ้าที่หลุมศพเป็นเวลาหลายวัน เพื่อที่ศพจะได้เน่าก่อน หัวขโมยจะได้มาขโมยศพไปไม่ได้
นี่ก็เป็นเกร็ดทางประวัติศาสตร์ในสมัยโบราณ ในสมัยที่ยังไม่มีอาจารย์ใหญ่ และการหาศพมาศึกษานั้นยังคงยาก
โฆษณา