23 ก.ย. 2020 เวลา 03:00 • กีฬา
" เอฟเอ คัพ เตะมาราธอน "
ในโลกฟุตบอล สถิติบางอย่างสามารถเกิดขึ้นใหม่ได้เสมอ แต่สถิติบางอย่างจะไม่มีวันถูกทำลาย โดยเฉพาะเมื่อมีการปรับเปลี่ยนกฎกติกาบางอย่าง
ปี 1991 สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ เอฟเอ ตัดสินใจให้การแข่งขัน เอฟเอ คัพ ในแต่ละรอบรู้ผลเร็วขึ้น ด้วยการยิงจุดโทษตัดสินหากว่ายังเสมอกันหลังเตะนัดรีเพลย์
ยุคก่อนตั้งแต่รอบคัดเลือกไปจนถึงรอบ 4 หากเสมอจะมีการเตะรีเพลย์ที่บ้านของทีมเยือนในเกมแรก และหากนัดรีเพลย์ยังเสมอ จะเข้าสู่การต่อเวลาพิเศษ และหากยังเสมอกันอีก จะต้องไปเตะรีเพลย์กันอีกที่สนามกลาง ซึ่งหากเสมอจะต่อเวลาพิเศษ วนเวียนรีเพลย์ไปแบบนี้จนกว่าจะมีทีมชนะ
โดยเฉพาะในช่วงก่อนที่จะมีการนำการยิงจุดโทษมาใช้ กว่าจะมีทีมชนะบางครั้งต้องรีเพลย์กัน 2-3 ครั้ง
สถิติการรีเพลย์สูงที่สุด ที่เรียกว่าเตะกันมาราธอน เลยก็คือเกิดขึ้นใน เอฟเอ คัพ ปี 1971/72 มันเป็นเกมรอบคัดเลือกก่อนเข้าสู่รอบแรก ระหว่างสองทีมระดับนอกลีกอย่าง อัลฟ์เชิร์ช เอฟซี และ อ็อกซ์ฟอร์ด เอฟซี ที่มีการรีเพลย์กันถึง 5 ครั้ง รวมแล้วทั้งสิ้นต้องเตะกันถึง 6 นัดกว่าจะรู้ผล
สุดท้ายแล้ว อัลฟ์เชิร์ช เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ในเกมที่ 6 ด้วยสกอร์ 1-0 และผ่านเข้ารอบแรก (First Round proper) ได้สำเร็จ
สำหรับคนอังกฤษหากไม่รู้จักสนิทสนมกัน เริ่มแรกต้องเรียกนามสกุลด้วยการให้เกียรติกันและเว้นระยะห่างไว้ก่อนในระดับหนึ่ง เช่น เดวิด เบ็คแฮม ก็จะเรียกว่า เบ็คแฮม ไม่ใช่ เดวิด
สำหรับเอฟเอ คัพ คู่นี้เตะกันจนชนิดที่สนิทสนมกันไปเลย จนเรียกชื่อหน้าพูดคุยกันอย่างคุ้นเคย
เกรแฮม ออลล์เนอร์ อดีตกุนซือผู้เคยคุมคิดเดอร์มินสเตอร์นานถึง 16 ปี ระหว่างปี 1983-1999 คือหนึ่งในนักเตะชุดประวัติศาสตร์นั้น โดยเขาเป็นผู้เล่นของ อัลฟ์เชิร์ช เขาได้เล่าประสบการณ์ตลอดช่วง 6 นัดนั้นให้ฟัง
"ก่อนเกมแรกเราไม่รู้จักพวกเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นทีมหรือตัวนักเตะของพวกเขา แต่ในตอนท้ายเราเรียกกันด้วยชื่อหน้า เราลงสนามแล้วก็แบบ 'ไงบ้างบิลล์?' หรือ 'สบายดีมั้ยพีท?' อะไรทำนองนั้น เราทำความรู้จักกันและกัน และเราเข้ากันได้ดีนะ พวกเขามีนักเตะที่เคยผ่านการเป็นทหารมาหลายคน และพวกเขานิสัยไม่เลวเลย ไม่ว่าจะเป็นทีมหรือรายบุคคล แน่นอนพวกเขาเป็นทีมที่เอาชนะได้ยากด้วย"
 
"พวกเราเจอกันถึง 6 นัดในช่วงเวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์ วันเสาร์, วันอังคาร, วันจันทร์,วันพุธ,วันเสาร์,วันจันทร์ และ 4 เกมในนั้นต้องเตะกันถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ (ยกเว้นเกมแรกและเกมสุดท้าย) อีกทั้งเรายังมีเกมลีกคั่นกลางอีก และเรามีงานปกติที่เราต้องทำด้วย แล้วจากนั้นเราก็ต้องเจอกับอัลเดอร์ช็อตในรอบแรกต่อในวันพุธ เพียงแค่ 3 วันหลังจากที่เราเอาชนะอ็อกซ์ฟอร์ดได้ ในตอนนั้นเราหมดแรงกันแล้ว"
สมัยนั้นหากเสมอกันหลังรีเพลย์ที่บ้านของแต่ละฝ่ายแล้วจะโยนเหรียญเพื่อให้ทีมทายถูกได้เลือกสนามกลางเพื่อเตะเกมรีเพลย์นัดต่อไป ผลัดกันไปเรื่อยๆ ถ้ายังไม่มีทีมชนะ และในเกมที่ 6 เกมสุดท้ายนี้ มันเตะกันที่ วิลล่า พาร์ค โดย อ็อกซ์ฟอร์ด เป็นฝ่ายเลือกที่นี่
"หลังจบเกมเราเข้าไปห้องแต่งตัวของเจ้าบ้าน และดั๊ก เอลลิส (เจ้าของสโมสรแอสตัน วิลล่า) ลงมาด้วย และเริ่มเทแชมเปญให้กับพวกเรา เราเหนื่อยกันสุดๆ แต่มีประธานสโมสรแอสตัน วิลล่า เทแชมเปญในถ้วยกระดาษให้พวกเราในนั้น"
"เราแทบไม่มีแรงเลยตอนออกมาหลังจากนั้น ผมว่าเราแชร์แชมเปญดื่มกันกับนักเตะอ็อกซ์ฟอร์ดด้วยนะ แต่เราต้องทำงานในวันรุ่งขึ้้น พวกเขาก็ต้องลงไปอ็อกซ์ฟอร์ด และเราต้องเจอกับ อัลเดอร์ช็อต หลังจากนั้น 2 คืน แต่มันเป็นการจากลาที่น่าจดจำจริงๆ เราได้ทำความรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี และเราแชร์ประวัติศาสตร์ร่วมกัน"
"ผมยิงประตูได้ในเกมแรกและเกมที่สาม ในเกมแรกผมยิงให้เรานำ 2-0 แต่เราจบด้วยการเสมอ 2-2 จากนั้นเราก็พบว่ารอบต่อไปเราต้องเจออัลเดอร์ช็อค ซึ่งมันเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับสโมสรระดับเรา ดังนั้นเราจะไม่ไปแล้วเล่นแบบยอมแพ้แน่ ในที่สุดเราแพ้ 2-4 เราหมดแรงแล้ว เราก้าวขาแทบไม่ออกแล้วในเกมนั้น"
เอฟเอ คัพ ฤดูกาลนั้น ลีดส์ เป็นแชมป์ด้วยการเอาชนะ อาร์เซน่อล 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศที่เวมบลีย์ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 1972
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงที่ เอฟเอ ได้ทดลองให้ทีมที่แพ้ในรอบรองชนะเลิศ ได้แข่งกันเพื่อมีการเตะชิงอันดับ 3 กันด้วย เป็นการทดลองที่กินเวลาทั้งหมด 5 ปี (ตั้งแต่ปี 1969/70 - 1973/74)
สำหรับเกมชิงอันดับ 3 ของฤดูกาลนั้น มีการกำหนดเตะกันช้าคือวันที่ 5 สิงหาคม 1972 ก่อนหน้าที่ฤดูกาลใหม่จะเปิดไม่กี่วัน เป็นการเจอกันระหว่าง เบอร์มิงแฮม ซิตี้ กับ สโต๊ค ซิตี้
เกมนี้เองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ เอฟเอ ได้นำการ "ดวลจุดโทษ" มาใช้ในรายการ เอฟเอ คัพ และมันก็ได้ถูกนำมาใช้ทันที เมื่อทั้งคู่เสมอกัน 0-0 และเป็นเบอร์มิงแฮม ที่ดวลเป้าเอาชนะไป 4-3
เดิมทีในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ หากเสมอกันจะมีการต่อเวลาพิเศษ แต่หากยังทำอะไรกันไม่ได้ต้องเตะรีเพลย์อีกนัด แต่นับจาก 1999 นัดชิงชนะเลิศจะถูกตัดสินกันในนัดนั้นเลย ด้วยการนำ "การดวลจุดโทษ" มาตัดสิน
ดังนั้นแม้การดวลจุดโทษในเอฟเอ คัพ จะมีมาตั้งแต่ปี 1972 แต่กว่าจะนำมาใช้อย่างจริงจังในเพื่อตัดสินนัดสำคัญในเกมเดียวก็ต้องรอจนถึงปี 1999 เลยทีเดียว
ทว่าด้วยกติกาที่เปลี่ยนไปนับตั้งแต่ปี 1991 อย่างที่บอก ในรอบก่อนหน้านั้น จะอนุญาตให้เตะรีเพลย์กันแค่นัดเดียว หมายความว่าไม่มีโอกาสที่จะมีคู่ไหนจะทำลายสถิติเตะกันรวมรีเพลย์ถึง 6 นัดเท่ากับที่ อัลฟ์เชิร์ช ร่วมกับทำไว้กับ อ็อกซ์ฟอร์ด เอฟซี เมื่อปี 1971 อีกแล้ว
*****************************
อ่านบทความย้อนหลัง
" บทอำลาของ ดิ คานิโอ กับเวสต์แฮม " : จากนักเตะที่โดนตราหน้าว่าเกเร กลายมาเป็นนักเตะผู้เป็นที่รักและมีน้ำใจนักกีฬาเมื่อย้ายจาก เชฟฟิลด์ มายังลอนดอน แต่ในช่วงบั้นปลายของ เปาโล ดิ คานิโอ กับเวสต์แฮม มันกลายเป็นบทอำลาที่ทั้งหวานและขม
" มิดเดิลสโบรช์ ทีมรวมดาวที่ถูกลืม " : โบลตัน เคยมีทีมรวมดาวกาลาติกอสเวอร์ชั่นอังกฤษ แต่พวกเขาก็แพ้ให้กับอีกหนึ่งทีมรวมดาวที่หลายคนลืมไป นั่นก็คือมิดเดิลสโบรช์
" เวทีของหมายเลข 9 " : ในยุคที่นักเตะหมายเลข 9 ยังรุ่งเรือง มีเกมที่พิสูจน์คุณค่าของพวกเขาเหล่านี้ ที่สำคัญยังเป็นเวทีประกาศศักดาของกองหน้าวัยเพียง 17 ปีเศษจากบราซิลนามว่า "โรนัลโด้" ด้วย
" รวมเชื้อชาติแคนาดา ": อัลฟอนโซ่ เดวีส เป็นนักเตะทีมชาติแคนาดาคนแรกที่คว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ยุโรปได้สำเร็จ แต่บรรดาแข้งแคนาเดี้ยนที่มาสร้างชื่อในยุโรปส่วนใหญ่ พวกเขามีแบ็คกราวน์ด ที่หลากหลายแตกต่างกันเหลือเกิน
โฆษณา