23 ก.ย. 2020 เวลา 11:19 • กีฬา
สิงห์เจ้าท่ากำลังมีปัญหาหรือแค่เครื่องร้อนช้า?
#คุยเฟื่องเรื่องบอลไทย
สิ้นเสียงนกหวีตยาวของเปากรานต์ สงกรานต์ บุญมีเกียรติ การท่าเรือ เอฟซีเปิดบ้านพ่ายให้บีจี ปทุม ยูไนเต็ดไปด้วยสกอร์ 0-1 จากประตูโทนของอดีตเด็กเก่าอย่างเจนรบ สำเภาดี ส่งตัวเองหล่นมาอยู่ที่ 7 ในตารางควบคู่กับดันให้เดอะแรบบิททะยานขึ้นไปรั้งรองจ่าฝูงชนิด “เฮลั่น!”
มีคนบอกว่าหลังจากกลับมาเตะใหม่ภายหลังจากที่ลีกไทยเว้นว่างไปจากพิษโควิด-19 ดูเหมือนว่าการท่าเรือฯจะไม่ได้พกดวงเข้าสนาม
บ้างก็ว่าเพราะโควิดนั่นแหละที่พราก “ความต่อเนื่อง” ไปจากพวกเขา บ้างก็ว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในช่วงเวลาพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกอย่างหนัก แต่ก็มีอีกไม่น้อยเช่นกันที่แย้งด้วยหลักการมองโลกในแง่ดีที่ว่าแค่อุบัติเหตุในเกมกีฬาและพวกเขาแค่สะดุดนิดหน่อยเท่านั้นเอง
และจากคอมเม้นต์หลังเกมกับบีจีพอจะทำให้เราได้วิเคราะห์วิจารณ์กันได้ว่าการที่การท่าเรือยังชนะใครไม่เป็นนับตั้งแต่กลับมาจากโควิดหนนี้ พวกเขาแค่เครื่องติดช้าหรือทีมกำลังมีปัญหากันแน่?
ถ้าถามผมนะ...ผมว่า “อย่างหลังนั่นแหละ!”
ไม่ต้องพึ่งหลักสมการทางคณิตศาสตร์หรือหลักวิทยาศาสตร์อย่างหลักอาร์คิมิดิส ผมว่าร้อยทั้งร้อยของผู้ชมที่ได้เห็นฟอร์มการเล่นของท่าเรือ เอฟซีทั้งสองเกม(กับโปลิส เทโรและบีจี) เป็นใครก็ต้องบอกว่าทีมจากคลองเตยกำลังมีปัญหาหนัก
กองหน้าใช้โอกาสเปลือง, หลังยืนตำแหน่งกันห่างเป็นรูเบ้อเริ่ม แถมที่สำคัญดูเหมือนว่าตัวนักเตะที่เข้ามาใหม่ดูจะยังเริ่มร่วมกับทีมไม่ค่อยจะได้
เห็นได้จากจังหวะเข้าบอล, การเช็คล้ำหน้าพลาด, จังหวะการจ่ายบอลขาดๆเกินๆ และสปรีดบอลที่ดูจะช้าเกินไป และไหนจะเรื่องการยืนทับไลน์แบบชนิดที่ว่ามันไม่ควรจะเกิดขึ้นกับทีมที่ใครๆต่างยกให้เป็นถึงเต็งแชมป์(จากการเสริมทีม)
ผมคิดว่าการที่สิงห์เจ้าท่าหลุดฟอร์มไปเลยตั้งแต่กลับมาจากโควิดไม่ใช่เพราะดวงตกหรือเทพีแห่งชัยชนะหลบไปเที่ยวช่วงหยุดยาวแล้วยังไม่กลับมาประจำหน้าที่ หากแต่เป็นสาเหตุที่ผมเห็นหลักๆเลย 1-2 ข้อ ดังนี้;
ข้อแรก คือ เปลี่ยนแปลงทีมเยอะแถมยังไม่คลิ๊ก!
ท่าเรือฯของมาดามแป้งถือว่าเป็นอีกหนึ่งทีมที่จับจ่ายใช้สอยในช่วงเปิดตลาดซื้อขายรอบพิเศษแบบที่ใครๆต่างก็ยอมรับว่า “คล่องมือ” และ “เนรมิตรได้” (คืออยากได้ตัวไหน มาดามก็พร้อมและไม่ลังเลที่จะจ่าย)
ทั้งเนลสัน โบนิญ่า, ทิตาธร-ทิตาวีร์ อักษรศรี, อดิศร พรหมรักษ์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, ณัฐวุฒิ สมบัติโยธา, สราวุธ กัลยาณบัณฑิต และกานต์นรินทร์ ถาวรศักดิ์ ทั้งหมดต่างพาเหรดย้ายเข้ารังที่ท่าเรือกันคึกคัก มองผิวเผินเหมือนเป็นเรื่องที่ดีที่ได้นักเตะเกรดเอเหล่านี้เข้ามา แต่อย่าลืมนะครับว่า “คนมาใหม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับตัวเข้ากับทีม”
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเปลี่ยนนายใหญ่จากโค้ชโชคมาเป็นเซอร์เด็จที่แน่นอนว่ารูปแบบการเล่นทั้งเรื่องการเข้าทำ, การขึ้นเกมหรือแม้แต่การเล่นเกมรับ ทั้งหมดที่ว่ามาก็ล้วนเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า ส่งผลให้สปรีดบอลของพวกเขาที่เดิมทีมีให้เห็นอย่างแข็งแรงวูบวาบไม่ต่างจากศิลปะลายเส้นที่มีสีสันฉูดฉาดกลับเปลี่ยนไปเป็นเชื่องช้าไม่ต่างจากภาพวาดขาว-ดำแนววินเทจยังไงหยั่งงั้น
ข้อที่สอง คือ “Too little too late” (หรือเกาไม่ถูกที่คันนั่นแหละ!)
หากเรากวาดสายตามองย้อนกลับไปในฤดูกาลก่อนของท่าเรือฯ แม้พวกเขาจะทำผลงานจนสามารถยึดอันดับ 3 ในตารางลีกสูงสุดได้สำเร็จแต่การแพ้มากถึง 7 เกมและเสียมากถึง 36 ประตู(หรือเฉลี่ยนัดละลูกเศษๆ) เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีปัญหาในเรื่องเกมรับ
ดังนั้นหากพวกเขาอยากจะกลับมาในฐานะอีกหนึ่งทีมที่จะขอแจมลุ้นแชมป์ฤดูกาลใหม่นี้ พวกเขาก็จำเป็นต้องแก้ไขปัญหานี้ก่อนเป็นอันดับแรก แต่นี่มีอย่างที่ไหนที่การเสริมทีมที่ผ่านมามีแต่การใช้โควต้าตัวต่างชาติเน้นหนักไปที่ตัวรุกโดยหลงลืมไปแล้วว่าเกมรับนี่แหละคือหนทางแห่งความสำเร็จ
แม้การเข้ามาของพี่น้องอักษรศรีและอดิศร พรหมรักษ์จะเสริมให้เกมรับของทีมดูมีความหวังมากขึ้น แต่ก็อย่าลืมว่าสองรายแรกยังมีชั่วโมงบินที่น้อย และถ้าคุณอยากปิดประตูแพ้ทีมของคุณก็จำเป็นต้องมีเซ็นเตอร์ตัวต่างชาติชั้นดีที่มีทั้งประสบการ์ณและสรีระที่ได้เปรียบทีมคู่แข่ง
กับคำถามที่ว่าท่าเรือฯกำลังมีปัญหาหรือแค่เครื่องร้อนช้า? บางทีคำตอบในคำถามนี้อาจชัดเจนมากขึ้นในอีกไม่กี่วีคข้างหน้า
แต่ถ้าว่ากันด้วยแมตช์ใกล้ตัวก่อน(แบบที่ยังไม่ต้องไปมองเรื่องของการลุ้นแชมป์) เกมเยือนบ๊วยตราด เอฟซีสุดสัปดาห์นี้ที่เจ้าบ้านยังสะกดคำว่าชนะใครไม่เป็น หากเกมนี้ดันมีผลพลิกล็อคขึ้นมาชนิดที่สิงห์เจ้าท่าไม่ได้สามแต้ม บางทีแฟนท่าเรืออาจไม่อยากรู้คำตอบของคำถามนี้ และเผลอๆดีไม่ดีอาจได้เห็น “การผ่าตัด” ใหญ่เกิดขึ้นอีกที่การท่าเรือ เอฟซี..
โฆษณา