23 ก.ย. 2020 เวลา 17:08 • ธุรกิจ
ทำไม Netflix ถึงไม่ชอบทำซีรีย์ที่มากกว่า 2 ซีซั่น ?
มองอีกมุมคือ Netflix ให้โอกาสผู้กำกับในการสร้างซีรี่ย์มากถึง 2 ซีซั่นเลยนะ
แต่ก็คงมองได้หลายแบบเนอะ แล้วเพื่อนๆมองแบบไหนกัน ?
ต้องบอกว่ามีเพียงไม่กี่ซีรี่ย์เรื่องดัง ที่สามารถไปต่อเกิน 3 หรือ อาจจะหลุดไป 5 ซีซั่นได้เลย (เช่น Lucifer) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นซีรี่ย์ฝรั่งซะมากกว่า
แต่ถ้าพูดถึงซีรี่ย์ที่เพื่อนๆอาจพอได้ยินชื่อแต่ไม่ได้ไปต่อไกลเกินกว่า 2 ซีซั่น (แม้จะมีการปูเรื่อง และปริศนารอไว้แล้วก็ตาม) เช่น Luke Cage, Sense8, The OA, Altered Carbon
3 สาเหตุหลักๆที่ทำให้ซีรี่ย์เหล่านั้นไม่ได้ไปต่อ
1. สภาพการเงินและการลงทุนต่อยอดของ Netflix
2. การประท้วง หรือ การวิจารณ์ต่างๆของผู้ชม
3. ชื่อเสียงของนักแสดงหลักและผู้กำกับในกรณีที่มีข่าวอื้อฉาว (จริงๆเปลี่ยนนักแสดงได้ แต่ Netflix เลือกที่จะ แบน ไปเลยมากกว่า)
ความคุ้มค่าในเรื่องของ จำนวนผู้ชม vs การลงทุนขยายต่อ 1 ซีซั่น
- เพื่อนจะเห็นได้ว่า ซีรี่ย์ใน Netflix ปัจจุบันนี้ทั้งหมดจะเป็นการเข้าไปลงทุนและการมีส่วนร่วมของ Netflix ทั้งนั้นเลย ไม่ใช่มีเพียงแค่ logo แดงๆที่ขอบจอเท่านั้น
- ผู้ผลิตหนังเอง ก็ต้องการเงินสนับสนุนจาก Netflix จำนวนไม่น้อย
- นั้นคือต่อให้เราจะชื่นชอบซีรี่ย์นั้นๆ มากเพียงใด หรือต่อให้มีการตั้งชมรมหรือคลับ บน Fandom หรือ Reddit
- แต่ถ้า Netflix คำนวนแล้วพบว่า Production cost ในซีซั่นแรก และการพัฒนาต่อในซีซั่นถัดไป มีมูลค่าที่สูงกว่ายอดวิวทั้งหมดของซีรี่ย์ที่คิดออกมาเป็นจำนวนเงินแล้ว (ในกรณีนี้ ดูแค่เรื่องตัวเลข ยังไม่ได้มองถึงเรื่องคำวิจารณ์หรือคำชมเลยนะเพื่อนๆ)
- Cindy Holland, Vice President เองก็ยังออกมายืนยันเช่นกัน ในเรื่องที่ Netflix ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าทางด้านกำไรและการเงิน มากกว่าความน่าติดตามของซีรี่ย์เสียอีกนะ (โดยเธอได้ออกมาเผยถึงจุดยืนตั้งแต่ปี 2018 แล้วละ)
- เลยเป็นสาเหตุว่า ต่อให้แฟนๆเรียกร้องมากเท่าไร แต่ถ้าเป็นเพียงแค่แฟนๆประเทศหนึ่งๆ หรือ กลุ่มหนึ่ง เท่านั้นเนี่ย........... โอกาสที่ Netflix เค้าจะเมินเกี่ยวกับความเห็นและความต้องการเหล่านั้น ก็มีสูงมากๆเลย (ไม่ต้องน้อยใจไปนะเพื่อนๆ ทุกอย่างมันเกี่ยวกับธุรกิจและเงินไปหมดแหละ เป็นธรรมดา)
1
"Stranger Things" ซีรี่ย์ที่ทำให้ Netflix ได้กำไรในเรื่องของการขยายฐานตลาดลูกค้าใหม่ๆ
- ถึงแม้ว่าคะแนนรีวิวจากสื่อต่างๆอย่าง IMDB หรือ Rotten tomatoes รวมถึงฐานแฟนๆที่มีอยู่ในทุกประเทศจะค่อนข้างออกมาในแง่บวก
- และต่อจะให้มีกระแสส่วนหนึ่งออกมาแย้งว่า ผู้คนต่างให้ความชอบกับซีรี่ย์นี้แบบเกินจริง (overrate)
- แต่ Netflix ไม่ได้สนใจมากนักกับคำวิจารณ์ และรวมถึงแฟนคลับกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง
- ฟังดูอาจจะเจ็บใจบ้างก็เถอะ... แต่ความจริงแล้ว ผู้บริหาร Netflix มองในเรื่องของตัวเลข ยอดผู้ติดตามและรายได้จากการทำซีรี่ย์เรื่องนี้มากกว่า
- โดย Netflix พบว่า การบอกปากต่อปากของซีรี่ย์เรื่องนี้ ทำให้พวกเค้ามีกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ สมัครเป็นสมาชิกจำนวนมาก และรวมถึงในทุกๆครั้งที่พวกเค้ามีการทำซีซั่นต่อไปด้วย
- เพื่อนๆจะสังเกตได้เลยว่า "Stranger Things" น่าจะเป็นซีรี่ย์เรื่องเดียว ที่มีการทำซีซั่นต่อไปออกมาได้ค่อนข้างรวดเร็ว และต่อเนื่อง
ตัวเลขบอกระยะเวลากับการคาดหวังผลลัพธ์ที่สำคัญของ Netflix คือ "28 วัน"
- ในมุมมองของผู้ชม เราอาจจะไม่ได้คิดอะไรมาก
- แต่มุมมองของผู้ผลิตภาพยนต์ซีรี่ย์เอง ก็คงกดดันไม่น้อย
- เพราะ Netflix ได้ใช้ตัวเลขกำหนดระยะเวลาว่า หลังจากที่ซีรี่ย์ทำการฉาย ผู้คนส่วนใหญ่จะใช้เวลาในการดูไม่เกิน 1 เดือน หรือเอาง่ายก็คือ ถ้าซีรี่ย์นี้ออกมาได้ดีและติดกระแส ภายใน 28 วันก็จะสามารถเห็นตัวเลขที่ชัดเจนได้แล้ว
- แต่ถ้าผู้ชมนั้นมีความเห่อ แค่เพียง ตอนแรกหรือ ตอนที่ 2 ใน 28 วันแรก (เค้าสามารถดึงตัวเลขเป็น heat map ออกมาได้น่ะเพื่อนๆ) ก็ถือว่าสอบตก.... ถึงแม้ว่า ภายใน 6 เดือน จะมียอดผู้ชมมากขึ้นก็ตาม แต่ Netflix เลือกที่จะไม่เสียเวลา และเดินหน้าผลิตหนังเรื่องอื่นต่อไป
เกร็ดความรู้สั้นๆ :
เพื่อนๆเคยสงสัยไหมว่า ทำไม Netflix ถึงได้ผลักดันคอนเท้นหนังของตัวเอง โดยเฉพาะ Netflix Original ?
ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่มีการซื้อลิขสิทธิ์หนังหรือซีรี่ย์มา on air ?
- เดาว่า เพื่อนๆหลายคนน่าจะตอบได้อยู่แล้ว
- นั้นก็เพราะว่า ถ้า Netflix ไม่มีการลงลายเซ็นว่าเป็นคอนเท้นของเค้าเองเนี่ย โอกาสที่ซีรี่ย์เรื่องนั้นๆ จะไปฉายทางช่องอื่น หรือแม้แต่สตรีมออนไลน์ ก็คงมีมากกว่าเดิม
- งานนี้คงมีเพียงแค่ผู้กำกับและนักแสดงที่รับประโยชน์ด้านเงิน และความโด่งดัง แต่ Netflix คงไม่ได้อะไรเลยนะสิ ทำมาฟรี แล้วดันให้เค้าไปปล่อยสตรีมฟรีๆอีกนะ
- เพราะฉะนั้นการทำ Original content ขึ้นมาเนี่ย มันเหมือนเป็นการที่พวกเค้าใส่ลายน้ำ ฝังไว้ในภาพนั้นเอง
ถึงแม้ว่าเราจะหาข้อมูลได้เพียงแค่ปี 2018 แต่เพื่อนๆก็สามารถเห็นได้ว่า Original content มีอัตราการเติบโตที่ไวมากๆเลยละ และนี่คือโอกาสที่ Netflix ไม่มองข้าม (จาก LATIMES.com)
ถึงแม้ว่าเราจะหาข้อมูลได้เพียงแค่ปี 2018 แต่เพื่อนๆก็สามารถเห็นได้ว่า Original content มีอัตราการเติบโตที่ไวมากๆเลยละ และนี่คือโอกาสที่ Netflix ไม่มองข้าม
จากการทำซีรี่ย์ติดต่อกันมาในหลายๆเรื่อง Netflix พบว่า ยอดค่าใช้จ่ายของพวกเค้าตั้งแต่ซีซั่นที่ 2 ค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในทุกๆเรื่อง
- เราสามารถอธิบายเพิ่มได้ว่า สาเหตุที่อาจทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในทุกๆซีซั่น
1. ความต้องการของผู้ชม ที่มีมากขึ้นกว่าเดิม เช่น สถานที่ใหม่ มีการจิ้นจับคู่กันในเรื่องของตัวละครหรือนักแสดง (เหล่านี้คือต้นทุนทั้งนั้นเลย)
2. ไอเดียใหม่ๆของผู้กำกับ ที่ต้องการทำให้ออกมาดีกว่าเดิม
3. ค่าใช้ในการถ่ายทำ ณ เวลาปัจจุบัน มีมูลค่ามากขึ้นกว่าอดีต
>> ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆเช่น นักแสดงที่มีชื่อเสียงเพิ่ม ค่าตัวก็ต้องเพิ่มขึ้น
>> มองให่ง่ายกว่าเดิมคือ พี่ Benedict ที่แสดงเป็น sherlock holmes ค่าตัวของพี่เค้าก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากหนังเรื่อง Doctor Strange หรือแม้แต่ Tesla
>> ถึงแม้จะมีแฟนๆมากมายอยากให้ Netflix เอามาทำภาคต่อๆไป แต่นั้นอาจเป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเองในสายตา Netflix .... ถ้าเทียบกับความคุ้มค่าแล้ว แค่ค่าตัวพี่ Benedict ก็อาจไม่คุ้ม (งั้นมาทำเรื่อง Enola Holmes ดีกว่าเนอะ แล้วเอาน้อง Millie Brown จาก "Stranger things" มา)
Netflix original Enola Holmes
การเข้ามาของ Disney+ ที่อาจเปลี่ยนแปลงคอนเท้นซีรี่ย์ของ Netflix ?
- อย่างที่เพื่อนๆทราบกันดีอยู่แล้วว่า Disney คือค่ายที่ถนัดในการทำหนัง Action-Fantasy
- และนั้นทำให้ Netflix ไม่อยากเข้าร่วมการแข่งขันแน่นอน ถ้าฝืนทำหนังที่มีเอกลักษณ์ความเป็นฮี่โร่เฉพาะ อย่าง Dare Devil, Jessica Jones หรือ Luke Cage ที่อยู่ในจักวาลเดียวกัน ก็คงจะ.... ไม่คุ้ม
- แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ Netflix ก็มีซีรี่ย์แนว Fantasy ต่อสู้อย่าง Lucifer และ The Witcher อยู่แล้ว
NETFLIX Marvel "The Defender"
สิ่งสุดท้ายคือ จำนวนของคนต่ออายุสมาชิกรายเดือน และจำนวนคนที่ยกเลิกหลังจากหมดระยะเวลาฟรี (Churn rate)
- บททดสอบที่สำคัญซึ่งแน่นอนว่า คงไม่ใช่แค่ Netflix แต่ Amazon, Hulu หรือ Disney+ ก็คงมองไปที่จุดนี้คือ จำนวนของคนต่ออายุสมาชิกรายเดือน กับและจำนวนคนที่ยกเลิกหลังจากหมดระยะเวลาฟรี (Churn rate) ซึ่งก็คือหลังจากที่หมดระยะเวลาดูฟรี 1-3 เดือนแรกเป็นต้นไปนั้นเอง
- ถ้าเพื่อนๆมองง่ายๆว่า ซีรี่ย์ 1 ซีซั่น ความยาวเฉลี่ย 12-16 ตอน โดยตอนนึงมีความยาว 1.45 ชั่วโมง
- นั้นคือถ้า Netflix ปล่อยตูมเดียวทั้ง 16 ตอนรวดเลย คอหนังหรือซีรี่ย์จริงๆก็คงใช้เวลาดูทั้งหมด ไม่เกิน 3-7 วัน
- และถ้าปล่อยสัปดาห์ละตอน (รวมถึง 2-3 ตอนแรกที่เป็น premier มา) ก็คงใช้เวลา 3 เดือนพอดิบพอดี
- แล้วถ้า Netflix สามารถเข้าถึงลูกค้า 1 คน เฉลี่ยแค่คนละ 1 เรื่อง.... นั้นเท่ากับว่า พวกเค้าไม่สามารถซื้อใจผู้ชมทั่วไป ให้กลายมาเป็ยลูกค้ารายเดือนได้เลยนะ
จบแล้วจ้า
นี่ก็คือเหตุผลสั้นๆที่สามารถอธิบายเพิ่มให้กับเพื่อนๆได้ว่า ทำไมบางทีการที่เรื่องที่เราชอบ ลำพังแค่เราชอบเนี่ย อาจจะไม่ได้ไปต่อ ?
เพราะงั้นถ้ามองในมุมมองของธุรกิจแล้ว มันคือเรื่องของขาดทุน-กำไร นะสิ
จริงๆก็แอบเสียดายหลายๆเรื่องเหมือนกันนะ อย่าง "Brooklyn 99" ที่เป็นซิทคอมที่เราชอบมาก เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้ไปต่อกับ Netflix แต่ก็ถือว่ามาได้ไกลมากๆแล้ว 7 ซีซั่น + 1 ซีซั่น(จากที่อื่น)เนอะ
หวังว่าคงเป็นการย่อยที่มีประโยชน์ให้เพื่อนๆอ่านกันเช่นเคยนะ ^^
โฆษณา