24 ก.ย. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #ยุคมืดกำลังเดินทางมา ]
20 นาทีของ ปาทริช เอวร่า ที่ไลฟ์ผ่านอินสตาแกรมเปิดโปงเรื่องภายในของแมนฯยูไนเต็ด ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างหนัก
อย่างที่เรารับรู้กันไปแล้วอดีตแบ็กซ้ายซึ่งปักหลักกับแมนฯยูไนเต็ดมายาวนานถึง 8 ปี อีกทั้งเคยมาเป็นโค้ชฝึกหัดเพื่อไปสอบโปรไลเซนส์ ย่อมเข้าถึงข้อมูลมากพอที่จะนำมาขยายความได้
แม้จะไม่ได้ตำหนิใครแบบตรงๆ แต่จากการที่ เอวร่า ว่ามานั้น เป้าโจมตีคือ แม็ตต์ จัดจ์ หัวหน้าผู้ประสานการซื้อขายผู้เล่น ซึ่งก็คือบุคคลที่มีบทบาทมากสุดในการเจรจานั่นแหล่ะ
รวมทั้ง เอ็ด วู้ดเวิร์ด ที่เหมือนจะไม่ได้รู้ซึ้งเกี่ยวกับต้นตอของปัญหา เพราะฟังคนอื่นมากเกินไป แทนที่จะเชื่อคนใน กลับไปไว้วางใจคนนอกที่ไม่ได้รู้จักสโมสรมากกว่า
เอวร่า เลือกที่จะไม่ตำหนิ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม ทั้งที่ความจริงของโลกฟุตบอลคือคนที่ต้องแสดงความรับผิดชอบมากที่สุด หากผลงานล้มเหลวหรือไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
เช่นเดียวกับเมินพูดถึงตระกูลเกลเซอร์ ซึ่งเป็นเจ้าของสโมสรมีอำนาจสูงสุดในการจัดการบริหารทุกอย่าง ตรงข้ามแฟนบอลที่หมายหัวนายทุนอเมริกันไว้เลยว่าเป็นส่วนสำคัญฉุดให้ทีมตกต่ำเช่นนี้
พูดง่ายๆคือ เอวร่า ยังรักษาน้ำใจ ทั้งที่อาจมองเห็นหรือรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ฝีมือของ โซลชา ดีพอแค่ไหนหากต้องนำแมนฯยูไนเต็ดกลับมาประสบความสำเร็จเหมือนในอดีต
หรือพวกเกลเซอร์มีความจริงจังจริงใจมากแค่ไหน ไม่ใช่เพียงแค่เดินเข้ามากอบโกยแล้วก็จากไป ไม่สนใจหรือแคร์ความรู้สึกแฟนบอลเลย
กระนั้นอย่างที่บอกไว้นั่นแหล่ะ ประเด็นของ เอวร่า คือการมองภาพรวมกว้างๆและโยนความผิดไปให้กับผู้บริหารโดยตรง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะยิ่งปลุกกระตุ้นให้เร้ด อาร์มี่ทั้งหลายยิ่งบันดาลโทสะอีก
จากเดิมที่โกรธแค้นไม่พอใจ วู้ดเวิร์ด อยู่แล้ว คราวนี้ชื่อของ แม็ตต์ จัดจ์ ตกอยู่ในโฟกัสด้วยอีกคน ในฐานะที่มีส่วนกับการซื้อขายนักเตะโดยตรง
เริ่มแรก เอวร่า อยากจะชี้นำไปที่ความล้มเหลวของการซื้อผู้เล่น คนทำหน้าที่นี้ขาดความรู้และความเข้าใจมากๆ นอกจากอ่อนหัดในการเจรจาต่อรองแล้ว ยังมักตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสมอ
ลองไล่ดูผู้เล่นหลายรายที่ย้ายมาในช่วงหลัง ล้วนแต่สอบตกกราวรูด เหมือนจัดการซื้อหาเอง แทบไม่ได้ปรึกษาพูดคุยกับกุนซือ ซึ่งต้องใช้งานโดยตรง
เคสหนักสุดคือ อเล็กซิส ซานเชซ ซึ่งเป็นการเดินหมากผิดพลาดอย่างไม่สมควรให้อภัยเลย
หากยังจำกันได้ก่อนถึงปีใหม่ 2018 แมนฯซิตี้โยงกับซูเปอร์สตาร์ชิลีมาตลอด ทุกคนแทบจะมั่นใจว่ายังไงก็ต้องย้ายจากอาร์เซน่อลมาอีสต์แลนด์แน่ๆ
แต่แล้วแมนฯยูไนเต็ดสอดมือที่สามแทรกเข้ามา สุดท้ายสมหวังปาดหน้าศัตรูคู่แค้นร่วมเมืองสำเร็จ
อย่างไรก็ตามกลายเป็นเรือใบสีฟ้าหัวเราะทีหลังดังกว่า อเล็กซิส ล้มเหลวไม่เป็นท่ากับปีศาจแดง ทั้งที่รับค่าจ้างไม่น้อยกว่า 500,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
เคสนี้ เอวร่า หยิบมายกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆเลย เพราะเอเยนต์และนักเตะร้องขอค่าเหนื่อยมหาศาล เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมซิตี้ยืนกรานว่าไม่สามารถให้ขนาดนั้นได้ จะเกิดความเหลื่อมล้ำกับแข้งเก่าที่อยู่ก่อนแล้วและมันจะส่งผลกระทบต่อทีมสปิริต รวมทั้งผลงานในสนามด้วย
เป๊ป แจ้งกับบอร์ดบริหารว่าอย่าไปรับข้อเสนอดังกล่าว แม้จะไม่ต้องจ่ายค่าตัวในเรตที่สูง เนื่องจากนักเตะเหลือสัญญาเพียงแค่ 6 เดือนก็ตาม
แต่ฝ่ายเจรจาของแมนฯยูไนเต็ด ไม่คิดอย่างนั้นเลย ยินดีประเคนค่าจ้างตามที่ อเล็กซิส ร้องขอให้ แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง
ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็รู้ว่า จัดจ์ คือคนที่ต้องรับผิดชอบโดยตรง เพราะเป็นฝ่ายที่ไปคุยกับนักเตะเอง
หรืออีกหลายเคสอย่าง เฮนริค มิคทาร์ยาน , โรเมลู ลูกากู , เฟร็ด หรือ ดีเอโก้ ดาโลต์ ล้วนแต่ถูกตั้งคำถามทั้งสิ้นว่า มีขั้นตอนในการพิจารณาซื้อผู้เล่นแบบไหน ถึงได้พลาดเป้ามาตลอด
ในความจริงแล้วแมนฯยูไนเต็ดมีเครือข่ายแมวมองกระจายอยู่ทั่วโลกและส่งข้อมูลมายังทีมงานของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อยู่เสมอ แต่หลายครั้งก็ถูกมองข้ามจากทีมเจรจาซื้อขาย
แทนที่จะได้นักเตะประเภทช้างเผือกเชือกสวยงามในป่า ราคาก็ไม่ต้องทุ่มแพงเกินจริง ก็ต้องไปควักให้พวกดาวดังซึ่งหลายทีมจ้องอยู่แล้ว อย่างนี้จะมีแมวมองมากมายไว้ทำประโยชน์อะไร
ลองดูอย่างสโมสรในระนาบเดียวกันอย่างลิเวอร์พูลหรืออาร์เซน่อล ที่ไม่ได้อิงแค่เรื่องกระแสผู้เล่น แต่ทบทวนศึกษาข้อมูลต่างๆของผู้เล่นที่สนใจอย่างละเอียด แล้วค่อยลงมือทาบทาม
ขณะเดียวกัน เอวร่า ยังระบุด้วยว่าแนวทางการทำงานของ จัดจ์ ถือว่าน่าผิดหวังอย่างแรง
ครั้งหนึ่งเคยมีผู้อำนวยการของสโมสรชั้นนำในยุโรปโทรหาเขา เพื่อจะฝากไปบอก จัดจ์ หน่อยว่าช่วยรับโทรศัพท์ด้วย มีเรื่องสำคัญจะพูดคุย ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แมนฯยูไนเต็ดโดยตรง
แทนที่ทีมเจรจาจะมีศิลปะในการทำงานแบบผูกมิตร หาคอนเน็กชั่นไปด้วยแล้วอีกทางก็คอยรักษาเอาไว้ด้วย นี่กลับหยิ่งยโสคิดว่าตัวเองคือสโมสรใหญ่ ซึ่งเป็นทัศนคติที่น่ากลัวมากๆ
เช่นเดียวกับกรณี แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่ไปต่อรองจนทางเลสเตอร์เสียความรู้สึก ไม่ใช่เป็นการต่อรองแบบเหมาะ แต่ไปกดราคาอย่างไม่ควรเลย เหมือนไม่ให้เกียรติกัน
แทนที่ไม่ต้องจ่ายแบบแพงๆกว่า 80 ล้านปอนด์ เซฟเงินได้บ้างเล็กน้อย แถมยังเป็นทีมพันธมิตรที่ดีต่อกัน เพราะทั้งสองสโมสรมีการเจรจาซื้อขายผู้เล่นกันต่อเนื่องในช่วงหลัง
ก็เป็นอันว่าเสียทั้งสองทาง จ่ายแพงเกินจริง อีกทั้งยังทำลายความสัมพันธ์ที่คนรุ่นก่อนๆสร้างไว้อีกต่างหาก
หากย้อนกลับไปดูสมัย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังนั่งเก้าอี้ผู้จัดการทีม ยามที่ต้องคุยกับนักเตะหรือเอเยนต์มักจะควง เดวิด กิลล์ ซีอีโอไปด้วยกันเสมอ นอกเหนือจากทีมทนายที่เตรียมพร้อมไว้ในเรื่องกฎหมายต่างๆ
อย่างน้อยการที่นักเตะได้เห็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ทรงอิทธิพลอย่าง เฟอร์กี้ ลงทุนเดินทางมาหาด้วยตัวเอง ย่อมซื้อใจได้ไปเกินครึ่งแล้ว นี่คือจิตวิทยาที่ช่วยในการโน้มน้าวอย่างดี แทบไม่ต้องลงทุนอะไรมาก
ว่าแล้วก็ยังไปยกเอา ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานของเรอัล มาดริดมาช่วยเสริมความจริงข้อนี้ ในช่วงหลังหาก ซีเนดีน ซีดาน อยากได้นักเตะคนไหน เปเรซ จะเจียดเวลาบินไปคุยเองเลย
ตอนที่ เฟอร์กี้ ให้ความสนใจ ราฟาแอล วาราน แล้วนั่งรถไฟยูโรสตาร์ข้ามไปฝรั่งเศส หวังรีบปิดดีลให้เร็วที่สุด ปรากฏว่า เปเรซ กับ ซีดาน เข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนจะได้ลายเซ็นนักเตะไปครอง
ปัจจุบันแมนฯยูไนเต็ดไม่มีอย่างนั้นเลย โซลชา เหมือนถูกกันออกไป ทั้งที่ในบทบาทการเป็นผู้จัดการทีมต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นแค่เฮดโค้ชที่ดูแลเรื่องการทำทีมและฝึกซ้อม
ทุกวันนี้ถามว่า จัดจ์ มีบารมีมากแค่ไหนกันที่จะช่วยดึงดูดผู้เล่นได้ ไม่นับการมอบหมายให้ทีมทนายมีส่วนกับการเจรจา ซึ่งคนเหล่านี้โฟกัสไปที่เรื่องเงินเป็นหลักเท่านั้นเอง
นอกจากนี้บางคราวเพื่อให้การเจรจาบรรลุตามเป้าประสงค์ ก็เสนอเงินค่าตัวสูงเกินเรตจริงมากๆด้วย ราคาผู้เล่นบางคนที่ย้ายมาช่างไม่สมเหตุผลเอาเลย
เมื่อรู้ความจริงอีกด้าน ได้ความกระจ่างมากยิ่งขึ้น สาวกแมนฯยูไนเต็ดจึงพุ่งเป้ามาที่ฝ่ายบริหารมากกว่าเดิมซะอีก
ในอีกมุม โซลชา ก็ได้รับความเห็นใจมากขึ้น แต่บางครั้งอาการนิ่งเงียบของเขาก็ไม่ใช่เป็นผลดีเสมอไป เพราะหากทำผลงานล้มเหลว ไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ ไม่ต้องบอกหรอกว่าใครจะต้องรับผิดชอบ
ลำพังความพยายามในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงที่ว่ามานั้น เรายังแทบไม่ได้เห็นความชัดเจนเลย จับต้นชนปลายไม่ถูกด้วยซ้ำว่าสโมสรจะเดินไปในทิศทางไหน
หากจะบอกว่ามันแย่ด้วยการเกือบทั้งองคาพยพก็ดูจะเกินไปหน่อย แต่บางทีแฟนแมนฯยูไนเต็ดก็หนีความจริงไม่พ้นหรอก
บทความย้อนหลังที่น่าสนใจ
[ #ในวันที่ฟ้าไม่เป็นใจ ] : จากที่ควรได้ไปยูเวนตุสเรียบร้อย ตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วปิดฉากใหม่ๆ สถานการณ์กลับพลิกผัน หลุยส์ ซัวเรซ ต้องเผชิญกับปัญหาสารพัดไล่ตั้งแต่ดีลกับยูเว่ล่ม เพราะติดขัดการทดสอบขอสัญชาติอิตาลีในเรื่องกรอบเวลา ตามด้วยพัวพันการทุจริตสอบที่เปรูจา โดยเจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนอย่างละเอียดล่าสุดโอกาสที่จะได้ซบแอตเลติโก้ มาดริดก็สะดุดอีก เมื่อทางบาร์เซโลน่าขวางเต็มตัว ทั้งที่มีการตกลงกันไว้ทุกอย่างจากนี้ไปอะไรจะเกิดขึ้นกับ ซัวเรซ โดยเฉพาะหากยังต้องอยู่กับบาร์ซ่าต่อไป
[ #ความเยือกเย็นที่ถูกทำลาย ] : สมัยค้าแข้งอยู่กับเบนฟิก้า วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ถูกยกย่องมากในความแข็งแกร่งและเยือกเย็นอันเป็นเอกลักษณ์เด่นสำคัญอย่างไรก็ตามพอย้ายมาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก คุณสมบัติเหล่านั้นค่อยๆถูกกลืนหายไป จนบางครั้งเราได้เห็นเขาระเบิดโทสะอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเกิดอะไรขึ้นกับ ลินเดอเลิฟ กันแน่และจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้อย่างไรกัน?
[ #ให้มันจบแค่ตรงนี้ ] : 2 ประตูของ วิลฟรีด ซาฮา ซึ่งตะบันใส่แมนฯยูไนเต็ดที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดเมื่อวันเสาร์ ทำให้มีการขุดอดีตขึ้นมาอีกครั้ง นั่นคือความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวระหว่างตัวเขากับ ลอเรน ลูกสาวของ เดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีมในช่วงดังกล่าว จนถูกดร็อปแบบลืมตายไร้ชื่อไปนาน ซาฮา เคยยืนกรานไปหลายครั้งว่าไม่จริง แต่ดูเหมือนว่าสังคมไม่ยอมเชื่อ ท่ามกลางปริศนาที่ซ่อนอยู่ว่าแท้จริงมันคืออะไร?
[ #ศักดิ์ศรีที่มีมากกว่า ] : ผ่าน 2 นัดในพรีเมียร์ลีก ฮาเมส โรดริเกซ ได้โชว์ให้เห็นแล้วว่าฝีเท้าเจ๋งขนาดไหน ตอกย้ำถึงความยอดเยี่ยมในอดีตได้อย่างดี มันอาจจะเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง กระนั้นหากเราย้อนเวลากลับไป จะเห็นเลยว่าผลงานของดาวเตะโคลอมเบียนสุดยอดแค่ไหน สำหรับ ฮาเมส การย้ายมาเอฟเวอร์ตัน ไม่ใช่เป็นการก้าวถอย แต่เพื่อปกป้องตัวตนและศักดิ์ศรีของเขาด้วย
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา