28 ก.ย. 2020 เวลา 13:00 • กีฬา
33 ปีที่ไม่มีใครไล่ทัน : เปิดเบื้องหลังการเป็น "ราชา 15 เมตร" ของ "เจมี่ วาร์ดี้" | MAIN STAND
หลังจากที่ เจมี่ วาร์ดี้ ระเบิดฟอร์มสุดยอดด้วยการยิงแฮตทริกพา เลสเตอร์ ซิตี้ บุกคว้าชัยเหนือแมนฯ ซิตี้ ถึงถิ่น หลายคนต่างเกิดความสงสัยว่าทำไมนักเตะในวัย 33 ปี ที่ควรจะอยู่ในช่วงบั้นปลายอาชีพถึงยังรวดเร็ว รุนแรง และหนักหน่วงได้ถึงขนาดนั้น
และนี่คือเรื่องราวที่ Main Stand สรรหามาให้คุณ… เปิดเบื้องหลังราชา 15 เมตร พร้อมกับเราได้ที่นี่
เป็นมาตั้งแต่อยู่ดิวิชั่น 8
ทุกคนรู้ดีอยู่เเล้วว่า เจมี่ วาร์ดี้ เป็นนักเตะที่ไม่ได้ผ่านอคาเดมี่ฟุตบอลของสโมสรใหญ่ๆมาก่อน เส้นทางของเขาคือเส้นทางนักสู้ตั้งแต่การเป็นพนักงานโรงงานผลิตขาเทียม และลงเล่นในให้กับทีมนอกลีกเพื่อช่วยหารายได้อีกทาง แต่สุดท้ายสิ่งที่ทำให้เขามาถึงทุกวันนี้ได้คือ "ทัศนคติ" และ "ผู้นำทาง" ที่ดีนั่นเอง
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อนสมัยที่ วาร์ดี้ ยังเล่นให้กับสโมสร สต็อคบริดจ์ ทีมในดิวิชั่น 8 ของประเทศอังกฤษ เรื่องเล่าของเขาผ่านปาก อัลเลน เบเธล ประธานสโมสรมีอยู่ว่า "คาแร็คเตอร์" การอยากเอาชนะ มุ่งมั่น และเป็นผู้นำ ของ วาร์ดี้ นั้นส่องแสงมาตั้งลงเล่นในลีกเล็กๆที่บางครั้งเพื่อนร่วมทีมยังเมาค้างมาเเข่งขันด้วยซ้ำ
ในขณะที่นักเตะนอกลีกมักจะมีทัศนคติที่เล่นฟุตบอลแบบไม่ได้จริงจังนักเพราะมีงานหลักทำกันอยู่แล้ว หลายครั้งจึงทำให้นักเตะเหล่านั้นไม่ค่อยตั้งใจและขาดวินัย รวมถึงไม่ค่อยพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น พวกเขาสนุกกับชีวิตแบบวันต่อวันมากกว่า ผิดกับ วาร์ดี้ ที่มุ่งมั่นเพื่ออนาคตข้างหน้าที่รออยู่
"ไม่มีใครเหมือนเขาตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาสู่ทีมของเรา เขามาจากไหนไม่รู้และแสดงทัศนคติเหมือนที่เขาเป็นอยู่ทุกวันนี้แหละ ผมจะบอกว่า เจมี่ วาร์ดี้ ที่เล่นให้กับ สต็อคบริดจ์ และ เลสเตอร์ คือ เจมี่ วาร์ดี้ คนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง" อดีตประธานสโมสรของ วาร์ดี้ อธิบาย
คำว่า “ทัศนคติเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้” ของท่านประธานสต็อคบริดจ์ หมายถึงการพยายามที่จะวิ่งไปข้างหน้า ใช้ความเร็วในการสปรินท์ตัวไปที่ว่างเพื่อให้เพื่อนจ่ายบอลให้ แม้บางครั้งเพื่อนจะมองข้ามหรือโดนคู่แข่งอัดร่วง แต่ วาร์ดี้ จะลุกขึ้นมาใหม่และพยายามหาทางเอาชนะกองหลังคู่แข่งด้วยความเร็วของเขาให้ได้
"วาร์ดี้ เคลื่อนไหวจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งอย่างมีเป้าหมาย เขาไปข้างหน้าเสมอ เขาโดนเตะอยู่หลายครั้ง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาหยุดไปข้างหน้าได้หรอก ในนามตัวแทนของทุกคนในสโมสรสต็อคบริดจ์ ผมคงต้องบอกว่าเขาคือนักเตะทีดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา"
การจะเป็นอันดับ 1 นั้นไม่มีทางลัด วาร์ดี้ เองอยู่ในระดับที่เหนือกว่าผู้เล่นคนอื่นๆในลีกสมัครเล่นมาโดยตลอด เขาจริงจังเกินมาตรฐาน และนั่นทำให้ลีกดิวิชั่น 8 มันเล็กเกินไปสำหรับเขา
"เราไม่ได้ฝึกอะไรเขานักหนาหรอกนะ เขามันพวกคลั่งฟุตบอล เขาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้เพราะเขาไม่เคยพลาดการฝึกซ้อมเลยซักครั้ง แถมยังทำงานหนักมาโดยตลอด" เบเธล ว่าไว้
อย่าลืมว่าถึงแม้เขาจะขยัน แต่ก็เป็นการขยันแบบทีมระดับดิวิชั่น 8 ที่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกไม่ได้ทันสมัยและครบครัน และยังขาดทั้งโค้ชฟิตเนส หรือโค้ชที่ออกแบบการฝึกซ้อมแบบทีมใหญ่ๆ วาร์ดี้ จึงต้องออกแบบการฝึกซ้อมเอง และเขาก็คิดวิธีง่ายๆขึ้นมาที่สุดคือการเหลาอาวุธของตัวเองให้เฉียบเเหลมตลอดเวลานั่นคือ "ความเร็ว" นั่นเอง
"ปกติแล้วผมจะออกกำลังกายที่สโมสรตลอดทั้งสัปดาห์ แต่พอแยกตัวออกมาเเล้วผมก็มีวิธีฝึกซ้อมด้วยตัวเองสัปดาห์ละสองครั้ง ไม่ว่าสภาพอากาศจะแย่แค่ไหน วิธีฝึกของผมก็เล่นกับบอลนิดๆ เข้าฟิตเนสหน่อยๆ จากนั้นก็ลงเกมเลย จากนั้นก็กลับบ้านเข้านอนเพื่อตื่นไปทำงานตอนเช้า"
"ส่วนสำคัญที่สุดคือการฝึกเรื่องการเพิ่มความเร็วในระยะสั้นหรือการสปรินท์ตัวผ่านไลน์แนวรับคู่ต่อสู้ มันคือการฝึกที่จะทำให้ผมได้เปรียบคนอื่นๆมากที่สุดสำหรับการเพิ่มขีดความเร็วระยะสั้นของตัวเอง ถ้าคุณลองไปให้ผมลงเเข่งฮาล์ฟ มาราธอน (21 กิโลเมตร) ผมก็คงแพ้คนอื่นขาดลอยเหมือนกัน" วาร์ดี้ บอกถึงการฝึกสปีดระยะสั้นของเขา
การหาจุดเด่นของตัวเองจนเจอ การเปลี่ยนวิธีการซ้อมที่เหมาะกับตัวเอง และทัศนคติของคนที่อยากจะเดินต่อไปข้างหน้า ทำให้ วาร์ดี้ แทบไม่ได้หยุดอยู่กับทีม เขาย้ายขยับยกระดับตัวเองขึ้นทุกๆปี จาก สต็อคบริดจ์ สู่ ฮาลิแฟ็กซ์ ทาวน์, ฟลีตวู้ด ทาวน์ และสุดท้ายก็มาสร้างตำนานกับ เลสเตอร์ ซิตี้ อย่างที่ทุกคนได้เห็นกัน
ปฎิเสธการขายวิญญาณ
เรื่องราวความพีคทั้งหมดของ เจมี่ วาร์ดี้ อาจจะไม่เกิดขึ้นเลยหากเขาไม่สามารถรับมือกับก้าวใหม่ของชีวิตได้ มีเรื่องเล่าจาก อัยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรคนปัจจุบันของ เลสเตอร์ ซิตี้ เล่าว่า วาร์ดี้ เกือบจะเสียคนไปตั้งแต่การเป็นนักเตะของ เลสเตอร์ ในเวลาไม่กี่เดือนเเล้วด้วยซ้ำ
"ผมเคยตั้งคำถามกับดีลของ เจมี่ วาร์ดี้ ผมถาม ไนเจล เพียร์สัน ทำไมเราถึงจะต้องซื้อกองหน้าจากทีมนอกลีกตั้ง 1 ล้านปอนด์ ... ผมเริ่มดูรายงานข้อมูลของ วาร์ดี้ และเริ่มคิดว่ามันชักเข้าท่า แต่ตอนนั้นผมยังต้องเตรียมคำตอบสำหรับแฟนบอลด้วยว่าทำไมนักเราต้องทุ่มเงินสำหรับนักเตะนอกลีก"
"ผมถาม ไนเจล เพียร์สัน อีกครั้งว่า ถ้าผมมีงบให้ใช้แค่ 1 ล้านปอนด์ คุณจะซื้อใคร? พวกเขาตอบผมว่า เจมี่ วาร์ดี้ จากนั้นผมก็ตอบได้แค่ว่า ‘งั้นเอาเลย’" คุณต๊อบ ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร A day เมื่อปี 2016
จากจุดนั้น วาร์ดี้ ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนหลังจากได้เงินมากมายแบบที่ตัวเองไม่เคยได้ เขารู้สึกว่านี่คือที่สุดของชีวิต เริ่มฉลองกับการเป็นนักเตะของ เลสเตอร์ ด้วยการเมาหนักทุกวัน ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้พิสูจน์ตัวเอง เรื่องนี้ไปถึงหูคุณต๊อบและทำให้เขาได้จับเข่าคุยกับ วาร์ดี้ เพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคตินี้ใหม่
"เขาไม่เคยมีเงินมากมายขนาดนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เขาดื่มหนักทุกวัน จนมีคนบอกให้ผมเข้าไปคุยกับเขาด้วยตัวเอง ผมเลยบอกกับเขาตรงๆว่า คุณจะจบอาชีพค้าแข้งตัวเองในตอนนี้เลยใช่ไหม? ถ้าเป็นแบบนั้นเราจะรอให้สัญญาของคุณหมดและปล่อยตัวคุณออกจากทีมไป และคุณลืมไปได้เลยว่าคุณจะไปได้ไกลยิ่งกว่านี้"
วาร์ดี้ ได้เจอคำถามที่กระแทกใจเขาเริ่มสารภาพถึงชีวิตที่ก้าวกระโดดจนรับมือไม่ทัน การเปิดใจทำให้ วาร์ดี้ ระลึกถึงหน้าที่และความฝันของตัวเอง เขาอุตส่าห์มาไกลจากลีกดิวิชั่น 8 ไต่มาจนหรืออีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงลีกอันดับ 1 อย่าง พรีเมียร์ลีกแล้ว ดังนั้นไม่สายเกินไปที่เขาจะกลับตัวกลับใจ
"ผมบอกว่าผมลงทุนกับคุณ คุณต้องทำอะไรตอบแทนกลับมาจริงไหม? .. จากนั้น วาร์ดี้ ก็เลิกดื่ม ซ้อมหนักขึ้นเรื่อยๆ บอกตรงๆเลยเราอาจจะเคยรู้ว่าเขามีสปีดที่ดีมาก แต่ไม่คิดว่าจะดีได้ขนาดนี้(หลังจากตั้งใจฝึกหนัก) เขาปรับตัว เข้าฟิตเนส และกลายเป็นคนใหม่เเล้ว" คุณต๊อบ ว่าต่อ
เขาปฎิเสธชีวิตที่แสนสบายและสนุกกับเงินที่ได้มา และกลับมาเป็น เจมี่ วาร์ดี้ เดอะโนเนม ที่มุ่งมั่นในการฝึกซ้อมอีกครั้ง ซึ่งอย่าลืมว่า ณ เวลานั้นเขาอายุ 28 ปีแล้ว และสำหรับนักเตะที่ใช้ความเร็วอย่างเขา...ว่ากันว่าเวลาในการใช้ความเร็วของเขาใกล้มาถึงจุดสิ้นสุด หากเขาอายุมากขึ้นกว่านี้อีกสัก 2-3 ปี... ดังนั้นเขาต้องทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากนักเตะกองหน้าทั่วไป
ฝึกแปลก ดื่มแปลก และดูแลเป็นพิเศษ
เจมี่ วาร์ดี้ ไม่ได้เล่นเวทแบบจริงจังเพราะเขาไม่อยากจะสร้างกล้ามเนื้อไปมากกว่านี้ เขาใช้การคาร์ดิโอเพื่อลีนไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายมากกว่า และเขาทำเช่นนั้นมายาวนานนั้บตั้งแต่ลงเล่นให้กับ เลสเตอร์ ปีแรกๆเเล้ว
"ถ้าผมเข้ายิมจริงจังมันจะทำให้ผมช้าลง ผมเลยพยายามไม่เล่นเวท แต่ก็ต้องอย่าลืมนะ สูตรสำเร็จการออกกำลังกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมมั่นใจเลยว่าถ้าคนอื่นลองมาฝึกวิ่งแบบผมอย่างเดียวก็อาจจะไม่ได้ผลสำหรับพวกเขาก็ได้" วาร์ดี้ กล่าว
"ส่วนถ้าให้ผมตอบว่าครั้งสุดท้ายที่ผมเล่นเวทเพิ่มกล้ามเนื้อเกิดขึ้นตอนไหน? ผมตอบเลยว่าเมื่อเช้านี่เอง ผมเพิ่งเวทด้วยการยกกระป๋องเร้ดบูลขึ้นมาดื่มนั่นแหละ"
เขาไม่ได้มุกแต่อย่างใด วาร์ดี้ ซัดเครื่องดื่มชูกำลัง Red Bull ครั้งละ 2 กระป๋องก่อนลงเเข่งราว 1-2 ชั่วโมง เรื่องนี้เคยมีการหาคำตอบอย่างจริงจังโดยเว็บไซต์ FourFourTwo ว่านอกจากการออกกำลังกายที่เพิ่มสปีดสำหรับ วาร์ดี้ แล้ว กระทิงแดงช่วยให้เขาวิ่งเร็วขึ้นจริงหรือไม่?
คำตอบที่ FourFourTwo หามาได้คือ Red Bull 1 กระป๋อง มีปริมาณคาเฟอีนเท่าๆกับกาแฟ 1แก้ว และในงานวิจัยเมื่อปี 2000 มีการระบุว่า Red Bull สามารถเพิ่มความทนทานในการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอได้ดี โดยมันจะสามารถรักษาอัตราาการเต้นของหัวใจที่ 60-65% ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดของมนุษย์ โดย แมตต์ ลอว์สัน นักโภชนาการได้ให้สัมภาษณ์กับ FourFourTwo เพิ่มเติมว่า
"วาร์ดี้ จะใช้ Red Bull ที่มีปริมาณ คาเฟอีน สูงมาก ซึ่งปกติแล้วนักกีฬาชนิดอื่นๆหรือคนอื่นๆจะไม่นิยมกันนักเพราะมันมีรสหวาน ย่อยยากเมื่ออยู่ในกระเพาะอาหาร มันไม่เหมาะในการดื่มระหว่างออกกำลังกาย”
“แต่สำหรับ วาร์ดี้ การใช้งานในช่วงก่อนแข่งราวๆ 1-2 ชั่วโมงนั้นถือว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่อยู่ในกระป๋องจะถูกย่อยจนหมด มันจะทำให้เซลล์ประสาทบางชนิดที่อยู่ในภายตื่นตัว ส่งผลต่อสมอง และช่วยชะลอความเหนื่อยล้าได้"
ทั้งการฝึกหนักเฉพาะทางเรื่องการออกตัว หรือวิธีแปลกๆอย่างการดื่ม Red Bull ก่อนแข่ง ล้วนสัมพันธ์กับวิธีการเล่นที่เขาถนัด และนั่นเองทำให้ เจมี่ วาร์ดี้ สามารถมีเรี่ยวแรงวิ่งฉีกกองหลังเพื่อหาพื้นที่ให้เพื่อนผ่านบอล หรือแม้แต่วิ่งไล่บอลยาวจากแนวลึกของเพื่อนร่วมทีมก็ตาม ซึ่งนอกจากวิธีการซ้อมและกินแล้ว เขายังต้องได้รับการดูแลจากนักเตะคนอื่นๆด้วย เพราะความแตกต่างทำให้เขาต้องพักฟื้นร่างกายมากกว่าปกติ
"เจมี่ เป็นผู้เล่นที่ใช้การสปรินท์ตัวเยอะมาก เขาใส่หมดหลอดแทบทุกเกม" แม็ตต์ รีฟส์ โค้ชด้านความแข็งแกร่งของ เลสเตอร์ ว่าไว้กับ active-edge.co.uk44
"ด้วยเหตุนี้ทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์การกีฬา รวมถึงโค้ชของเราต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า วาร์ดี้ จะได้เวลาพักฟื้นมากกว่าเพื่อนร่วมทีมคนอื่นเล็กน้อย ทันทีที่จบเกมเขาจะต้องกินอาหารเสริมทันทีทั้งนมและโปรตีน"
"เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี เขาจะถูกส่งไปยังห้องพักฟื้นรวมถึงเข้าเครื่อง Cherry Active เพื่อช่วยเสริมสร้างสารต่อต้านอนุมูลอิสระและ Leucine ที่ช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อได้ดีอีกด้วย"
"ทุกอย่างเรียบร้อยดีเขาจะกลับมาที่สนามฝึกซ้อมของทีมเริ่มมีการยืดเส้น อาบน้ำและนวด ก่อนจะเข้าเครื่อง Cryo Chamber เพื่อให้ผู้เล่นสัมผัสกับอุณหภูมิ -135 องศาเซลเซียส" แม็ตต์ รีฟส์ เผยข้อมูลทั้งหมด และนั่นไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม เจมี่ วาร์ดี้ ยังเป็นจอมสปรินท์แม้ทุกวันนี้เขาจะอายุ 33 ปีแล้วก็ตาม
ราชา 15 เมตร ...และสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง
เมื่อได้หันหน้าใส่คู่แข่งและมีพื้นที่ให้วิ่งไปข้างหน้า เจมี่ วาร์ดี้ คือเจ้าความเร็วตัวจริงเสียงจริง อย่างที่เขาได้กล่าวไว้คือเขาอาจจะไม่ใช่คนที่วิ่งฮาล์ฟมาราธอนได้ดี แต่ในการวิ่งระยะสั้นๆที่จำเป็นต่อการเล่นฟุตบอลในตำแหน่งนักเตะแบบเขา ก็ถือว่าหาตัวจับ วาร์ดี้ ยากจริงๆ
การระเบิดฝีเท้าของ วาร์ดี้ นั้นเร็วที่สุดในพรีเมียร์ลีกมาตั้งแต่ฤดูกาล 2015-2016 ที่เลสเตอร์ เป็นเเชมป์พรีเมียร์ลีก แม้จะมีการกางสถิติออกมาว่า วาร์ดี้ สามารถวิ่งร้อยเมตรได้เร็วมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก เหนือว่าหนุ่มๆอย่าง เอ็คตอร์ เบเยริน และ ไคล์ วอล์คเกอร์ ด้วยซ้ำ
แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ความสามารถด้านสปีดที่แท้จริงของเขาคือการวิ่ง 15 เมตรแรกต่างหาก หนึ่งในคนที่ยืนยันเรื่องนี้ได้คือ เบรนเเดน ร็อดเจอร์ส กุนซือของ เลสเตอร์ นั่นเอง
"ในระยะ 15 เมตร เจมี่ วาร์ดี้ เร็วที่สุดมากกว่านักเตะทุกคนที่ผมเคยเห็นและร่วมงานด้วย เขารู้ดีกว่าหากใครมีช่องว่างให้เขา เขาจะเล่นงานด้วยระยะ 15 เมตรนั้น การสปริ้นท์หรือสปีดต้นของเขาเหลือเชื่อมาก ผมว่ามันเหมือนข้อได้เปรียบทางพันธุกรรมหรืออะไรประมาณนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยคือเขาดูแลตัวเองดีมากจริงๆ ตอนนี้เขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และยังฝึกซ้อมหนักมากขึ้นในทุกๆวันอีกด้วย" ร็อดเจอร์ส กล่าว
และมันก็ทำให้ วาร์ดี้ คือ “ราชา 15 เมตร” ตัวจริง เขาเคยบอกว่าพื้นที่สั้นๆแค่นี้นี่แหละที่จำเป็นต่อความสามารถของเขา การออกตัวที่เร็วกว่าไวกว่าทำให้เขาสามารถเข้าถึงบอลได้ก่อนและไวกว่าคู่แข่ง 1 จังหวะ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะเห็นเขาหลุดเดี่ยวเข้าไปดวล 1-1 กับผู่รักษาประตูอยู่บ่อยๆ และชัดเจนคือในเกมกับ แมนฯ ซิตี้ ล่าสุด ที่ความเร็วของ วาร์ดี้ ฉีกกองหลังค่าตัวแพงของ ซิตี้ ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะเป็นการเรียกจุดโทษ 2 ลูก หรือการฉีกตัวประกบไปเข้าชาร์จที่จุดนัดพบ จนทำให้เขาสามารถทำแฮตทริกได้อย่างเหลือเชื่อ
เหนือสิ่งอื่นใดและท้ายที่สุดคือ เจมี่ วาร์ดี้ คือคนมีสภาพจิตใจแข็งแกร่ง กระหาย และมีความเป็นผู้นำสูงมาก เขาพร้อมจะออกวิ่งเต็มฝีเท้าเพื่อทีม ไม่ใช่แค่การวิ่งไปข้างหน้าเพื่อทำประตู แต่มันหมายถึงการไล่เพรสซิ่งคู่แข่งตั้งแต่หน้าปากประตูอีกด้วย
แกรี่ เนวิลล์ เคยบอกว่า วาร์ดี้ คือผู้กำหนดทิศทางการเล่นของ เลสเตอร์ อย่างแท้จริง เมื่อไหร่ที่เขาเริ่มออกวิ่ง ผู้เล่นคนอื่นจะตื่นตัวเเละเริ่มวิ่งตาม และเมื่อทุกคนเริ่มวิ่ง ทีมก็จะมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และนั่นคือคุณสมบัติที่ว่าทำไม เจมี่ วาร์ดี้ จึงเป็น “จิตวิญญาณของ เลสเตอร์ ซิตี้” อย่างแท้จริง
“ไม่มีเพื่อนร่วมทีมคนไหน ที่จะมีข้ออ้างในการไม่ยอมทำงานหนัก เพราะ เจมี่ วาร์ดี้ ไม่เคยหยุดวิ่ง เขามีพลังงานเหลือล้น และต้องการไล่ล่าทุกอย่างที่ขวางหน้า” แกรี่ เนวิลล์ กล่าวถึงการวิ่งของ เจมี่ วาร์ดี้ อย่างชื่นชม
ไม่ว่าจะใหญ่โตมาจากไหนทัศนคติยังคงเป็นเรื่องสำคัญ เจมี่ วาร์ดี้ ยังคงขยันฝึกซ้อม ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด และเป็นตัวอย่างให้เพื่อนร่วมทีม และนี่คือคุณสมบัติที่เขาสมควรได้รับการยกย่องไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตาม
บทความโดย ชยันธร ใจมูล
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา