3 ต.ค. 2020 เวลา 03:00 • นิยาย เรื่องสั้น
MovieTalk ภูมิใจเสนอ "บางบอกดิก 2" ตอนที่ 5
บ้านศรีสวัสดิ์ ย่านฝั่งธนบุรี
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในยามวิกาล มันดังอยู่พักหนึ่งแต่ก็ดังมากพอปลุกให้สารวัตรชอต้องลุกขึ้นเปิดประตูห้องนอนก่อนจะรีบเดินลงไปรับ ในขณะที่สุซึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ ผงกศีรษะขึ้นมองตาม สักพักหนึ่งเธอก็เห็นสามีของเธอกลับเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่เคร่งเครียด
“ใครโทร.มาเหรอคะพี่ชอ” สุเอ่ยถาม
“ไอ้ต้าโทร.มา เกิดเรื่องขึ้นที่วัดบางบอกดิก” สารวัตรชอนั่งลงข้าง ๆ สุ
พอสุได้ยินจึงรีบลุกขึ้นนั่ง ถามด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอพี่ชอ?”
สุ
“มีคนร้ายกลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปในงานวัด แล้วไล่ยิงชาวบ้านเจ็บตายกันเยอะมาก”
“คุณพระช่วย!” สุอุทานพร้อมสีหน้าตกใจ “พี่ชอ...พี่ชอ...แล้วแม่เจี๊ยบ...” สุไม่กล้าพูดต่อเพราะมันจุกในอกในคอ
“เท่าที่สำรวจความเสียหายเบื้องต้น ไอ้ต้ามันบอกว่า แม่ไม่ได้ไปเที่ยวงานวัดนะ”
“แล้วพ่อเสกล่ะคะ?” สุถามต่อ
“ก็น่าจะไม่ได้ไปเหมือนกันมั้ง” สารวัตรชอแบ่งรับแบ่งสู้
สุรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้ววิ่งลงไปโทรศัพท์หาแม่เจี๊ยบ
สารวัตรชอที่ตามลงมาภายหลังเพิ่งเห็นสุวางหูโทรศัพท์ไปหมาด ๆ โดยไม่ต้องรอให้ถามสุหันมาบอกกับสามีของเธอด้วยสีหน้าคลายกังวล
“โชคดีที่แม่ไม่ได้ไปเที่ยวงาน และที่ดีกว่านั้นคือ พ่อเสกอยู่เป็นเพื่อนแม่ด้วยล่ะพี่ชอ” สุพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ
สารวัตรชอ
“อ้าว...แม่เขาใจอ่อน ยกโทษให้พ่อเสกแล้วเหรอ?” สารวัตรชอรู้สึกประหลาดใจ
“น่าจะเป็นงั้นมั้งพี่” สุตอบอย่างไม่แน่ใจ
“แต่ที่แน่ ๆ พี่คงต้องกลับบางบอกดิกด่วนแล้ว พรุ่งนี้คงไปศิริราชเป็นเพื่อนสุไม่ได้แล้ว” สารวัตรชอมีสีหน้าลำบากใจ
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ชอ...สุเข้าใจ” สุยิ้มให้สามีของเธอ
สารวัตรชอมองเข้าไปในแววตาของภรรยา นี่คือผู้หญิงที่ทำให้เขาหยุดเจ้าชู้ และจริงจังกับการสร้างครอบครัว
สารวัตรชอดึงตัวสุมากอดด้วยความรักก่อนบรรจงจูบที่หน้าผากของสุ
สามวันมาแล้วหลังจากการเกิดเหตุ
ในแต่ละวันแม่ฉัตรเอาแต่นั่งจมจ่อมอยู่ที่ท่าน้ำท้ายบ้านดวงตาเหม่อลอยเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คือปิ๊กที่แววตาก็เต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจไม่แพ้แม่ของเธอ
ปิ๊กชำเลืองมองแม่ฉัตร เห็นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็ห่วงใยจับจิตจับใจ ปิ๊กยื่นมือตัวเองไปกุมมือของแม่ สองแม่ลูกโผเข้ากอดกัน
ปิ๊ก
ปิ๊กยังจำเรื่องเมื่อสองวันก่อนได้ มันเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่หลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็เหมือนจะแสนยาวนาน แต่ละวันแต่ละนาทีที่ผ่านไปได้อย่างยากลำบากใจ
เมื่อเธอกับพ่อข้าวกลับมาถึงวัด ที่แม่ฉัตรรอคอยอยู่ ปิ๊กโผเข้ากอดแม่ฉัตรแน่นพร้อมกับร้องไห้ แม่ฉัตรก็กอดลูกสาวของเธอไว้แน่น ก่อนจะถามปิ๊ก
“ปามล่ะ...ปามอยู่ไหนปิ๊ก?”
“เอ่อ...” ปิ๊กยากจะตอบคำถามนี้กับแม่ของเธอ
“ปามล่ะ ปามอยู่ไหน?” แม่ฉัตรถามย้ำอีกครั้ง
กำนันข้าวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เป็นคนตอบ
แม่ฉัตร กับ กำนันข้าว
“ยังไม่เจอตัวปามเลย สันนิษฐานว่าคงตกลงไปในลำธารและลอยไปตามน้ำ...”
“ไม่...ไม่จริงใช่ไหมพี่ข้าว...” แม่ฉัตรแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินคำตอบจากสามี
กำนันข้าวไม่ได้ตอบคำถามอีก เพราะเขาเองก็ไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร ในใจของเขาทั้งเสียใจ ทั้งห่วงใยลูกสาวคนเล็กไม่แพ้แม่ฉัตร
แม่ฉัตรร้องไห้เสียใจจนในที่สุดก็เป็นลมหมดสติ ดีว่ากำนันข้าวคว้าร่างของแม่ฉัตรไว้ทันก่อนจะล้มหงายลงไป
ผ่านมาถึงวันนี้ยังไม่มีใครพบศพของปามและคนขับสามล้อที่มาช่วย
ลึก ๆ ทั้งกำนันข้าว แม่ฉัตร และปิ๊ก ได้แต่หวังว่าปามจะปลอดภัยอยู่ที่ไหนสักแห่ง
....
ชายแปลกหน้า กำลังนั่งอยู่ในบ้านพัก เขากำลังครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสองคืนก่อน
ภาพที่รถบรรทุกวิ่งแหกรั้วกั้นก่อนจะวิ่งทะลวงป่าไปตามแนวเขา ปามกับเสือมุบยังอยู่ในรถคันนั้น
มีกลุ่มคนตามมาสมทบ แต่ในจำนวนนั้นมีกำนันข้าวอยู่ด้วย
ทันทีที่เห็นพ่อข้าว ปิ๊กก็โผเข้ากอดพ่อข้าว ร้องห่มร้องไห้จนพ่อข้าวพยายามปลอบใจ
กำนันข้าวถามไถ่เรื่องราวจากลูกสาวคนโตเมื่อทราบเรื่องก็ตกใจ ร้อนรนใจมาก
พ่อเลี้ยงสอนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จับบ่าเพื่อนไว้
“นี่ก็ใกล้รุ่งเช้าแล้ว เดี๋ยวพอสว่างเราจะออกตามหากัน บางทีอาจไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เป็นได้”
“คนดีพระคุ้มครองนะกำนันข้าว” มหาอิ่มเสริม
มหาอิ่ม
ผู้กองต้าหันมามองชายแปลกหน้า ดูจากการแต่งตัวแล้วชายตรงหน้าเขาไม่น่าจะใช่คนในพื้นที่ และจากที่ได้ฟังคำให้การของปิ๊ก ส่วนผู้ชายท่าทางดูชาวบ้านอีกคนก็ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเช่นกัน ทุก ๆ เบาะแส ทุก ๆ ความเกี่ยวข้องมีความสำคัญและไม่อาจมองข้ามได้ ผู้กองต้าจึงเดินดึงตัวกำนันข้าวออกมาจากกลุ่ม พลางเอ่ยถาม
“ผู้ชายสองคนที่ช่วยลูกสาวกำนันข้าวเป็นใครครับ?”
กำนันข้าวหันไปมองชายสองคน กำนันข้าวหันมาตอบ
“คนทางซ้ายชื่อไร้ ท่าแร้งครับ เป็นคนขับรถรับจ้างขนของในอำเภอเราครับ คนนี้อัธยาศัยครับ ส่วนคนทางขวา....เอ...ผมเองก็ไม่รู้จักมาก่อนครับ”
ผู้กองต้าจึงเดินเข้าไปหาชายแปลกหน้าคนนั้น เขาหยุดยืนตรงหน้าพร้อมกับยืนทำความเคารพ
“ขอโทษครับ ผมคือร้อยตำรวจโทตา พาเพลิน ครับ คุณคือ...”
ชายแปลกหน้ายิ้มให้ผู้กองต้า เขารู้ทันทีว่านายตำรวจตรงหน้าต้องการตรวจสอบตัวของเขา
“สวัสดีครับผมชื่อธรรค...ธรรค สยามประวัติ”
ชายคนนั้นแนะนำตัว “ขออนุญาตหยิบบัตรประจำตัวในกระเป๋านะครับ”
ธรรค สยามประวัติ
ธรรคบอกพร้อมกับล้วงมือไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะยื่นบัตรประจำตัวส่งให้ผู้กองต้า
ผู้กองต้าเองก็ทราบทันทีว่าชายตรงหน้ามีอะไรที่มากกว่าที่คิด ชายชื่อธรรครู้ว่าตนเองต้องการตรวจสอบ และก็เอ่ยขออนุญาตก่อนตามหลักปฏิบัติ และเมื่อผู้กองต้ารับบัตรประจำตัวของเขามาดู ผู้กองต้าถึงกับตกใจ แต่ชายคนนั้นก็พูดขึ้น
“เข้าใจแล้วนะครับ ตอนนี้ผมไม่สะดวกบางประการ ผู้กองคงเข้าใจในครับ เป็นเรื่องทางราชการ”
ผู้กองต้าผงกศีรษะ ยิ้ม และส่งบัตรประจำตัวคืนให้ ท่าทางผู้กองเปลี่ยนไปทันที ธรรคเก็บบัตรประจำตัวไว้ในกระเป๋าแล้วจึงเอ่ยต่อ
“ในความเห็นของผม ผมคิดว่าผู้กองต้าควรรีบกลับไปรายงานให้สารวัตรชอผู้บังคับบัญชารับทราบเหตุการณ์ และจะได้รายงานตามวิธีปฏิบัติเพื่อที่ ทางกรมฯ จะมีคำสั่งตามลงมา...” ธรรคหยุดครู่หนึ่งกวาดดูรอบ ๆ “ผมกับทุกคนที่เหลือจะอยู่ทางนี้จะเริ่มออกค้นหาล่วงหน้าไปก่อน แล้วผู้กองต้าก็แบ่งคนเป็นสองทีม ทีมแรกให้ปิดกั้นพื้นที่เกิดเหตุ ส่งหน่วยนิติเวชเข้าไปสำรวจความเสียหาย เบาะแส และแบ่งกำลังคนในพื้นที่อีกส่วนมาช่วยกันตามหาคนที่นี่”
ผู้กองต้า พาเพลิน
“รับทราบครับ ท่าน...” ผู้กองต้าเตรียมจะเอ่ย แต่ธรรคตัดบท
“ผมบอกแล้วนะครับ ตอนนี้ยังไม่สะดวก ขอเป็นตามนี้ ผู้กองเห็นว่าอย่างไร”
“ตามนั้นเลยครับ” ผู้กองต้าตอบพร้อมกับปลีกตัวไปปฏิบัติตาม
เมื่อฟ้าสาง แสงตะวันแรกสาดส่อง การค้นหาก็เริ่มต้นขึ้น
ปิ๊กกับกำนันข้าว เสี่ยอู๋, พ่อเลี้ยงสอน, มหาอิ่มบุญ. ไร้ ท่าแร้งและผชายต่างถิ่นชื่อธรรค ทั้งหมดค่อย ๆ เดินตามรอยรถบรรทุกที่ทะลวงป่าลงไปตามทางลาดลงเขา เห็นต้นไม้กิ่งไม้หักไปทางมองไปไกลเห็นเป็นทาง
แม้จะเดินด้วยความยากลำบากแต่ ปิ๊กและทุกคนก็พยายามที่จะลงไปข้างล่างด้วยความหวังว่าจะพบกับปามที่ด้านล่าง ทั้งหมดเดินไปตามทางที่ต้นไม้หักระเนระนาดเป็นทางจนกระทั่งได้ยินเสียงลำธาร
เบื้องหน้าของทุกคนคือลำธารที่มีกระแสน้ำเชี่ยวกราก รอยล้อรถลากยาวไปสิ้นสุดที่ริมตลิ่ง มีร่องรอยของความเสียหาย ธรรคสำรวจรอบ ๆ บริเวณ เขาเห็นร่องรอยคราบเลือดจาง ๆ ติดอยู่บนโขดหิน นอกเหนือจากนี้ก็ไม่พบอะไรเลย
ทั้งหมดเดินแยกย้ายกันสำรวจ กำนันข้าวกับปิ๊กสีหน้าไม่สู้จะดี เพราะเมื่อลงมาถึงที่เคยหวังว่าจะได้พบกับปาม ก็อันตรธานหายไปแล้ว ยิ่งทำให้ใจคอไม่ดีหนักขึ้นไปอีก
ธรรคกวาดตามองรอบ ๆ จนไปพบขอนไม้ใหญ่ เขายกขึ้นมาและโยนลงไปในลำธาร กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากพัดพาขอนไม้ที่ธรรคโยนลงไปมันลอยไปตามน้ำอย่างรวดเร็วไกลออกไปเรื่อย ๆ
ธรรคหันมาถามในกลุ่ม
“ลำธารสายนี้ไปสิ้นสุดที่ไหนครับ?”
พ่อเลี้ยงสอน
“สุดปลายจะเป็นน้ำตก...” พ่อเลี้ยงสอนพูดถึงตรงนี้ก็นิ่งอึ้ง หันมาดูที่กำนันข้าวกับปิ๊ก ในใจเกิดความกังวลไปต่าง ๆ นานาจนไม่กล้าพูดต่อ
ส่วนปิ๊กทำท่าจะร้องไห้อีกรอบ ธรรคเสนอ
“เราจะเดินลัดเลาะตามริมตลิ่งไปจนสุดดีไหมครับ อาจพบร่องรอยเบาะแสอะไรระหว่างที่เดิน”
ทั้งหมดเห็นพ้องกับความคิดของธรรค และเริ่มออกเดินลัดเลาะไปตามตลิ่งจนในที่สุดเบื้องหน้าคือน้ำตก เดินต่อไปไม่ได้แล้ว
ไร้ ท่าแร้งชะเง้อมองลงไปที่ด้านล่าง สายตาของเขาไปสะดุดที่บางอย่างเข้า เขารีบตะโกนบอกพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ด้านล่าง
“พวกเราครับ...ข้างล่างนั่น!”
ไร้ ท่าแร้ง
ทุกคนมองตามลงไป ที่เห็นด้านล่างคือบางอย่างคล้ายซากของรถบรรทุกที่ลอยไปติดอยู่ริมตลิ่งที่มีกิ่งไม้ท่อนใหญ่ดันไว้ทำให้ซากรถไหลตามกระแสน้ำไม่ได้
“มีทางลงไปไหม?” ธรรคถามขึ้น
“มีครับ แถวนี้ผมรู้จักดี ตามผมมาเลย” ไร้บอกกับทุกคน
หลังจากพยายามอยู่เกือบสองชั่วโมง ทั้งหมดก็สามารถลงมาถึงด้านล่างซึ่งก็เป็นเวลาสายมากแล้ว
ไร้ ท่าแร้งกับธรรค เข้าไปตรวจสอบที่ซากรถแต่มันก็มีแค่ความว่างเปล่า ไม่พบอะไร เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็มีแค่กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวที่น้อยกว่าด้านบน ป่าทีบสีเขียวสด
ธรรคชำเลืองมองปิ๊ก แววตาและสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของปิ๊กและพ่อของเธอ ทำให้เขารู้ดีว่า สองพ่อลูกคงใจเสียและเสียใจอยู่มิใช่น้อย ไร้ที่ยืนข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
“ลำธารสายนี้ไหลไปสิ้นสุดที่ชายแดนและไหลต่อเข้าไปในประเทศลาว ปลายสุดของลำธานไปบรรจบกับแม่น้ำโขงครับ”
ธรรคครุ่นคิดอย่างหนักใจ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับไร้ ท่าแร้ง
“ถ้าเป็นแบบนี้ เสือมุบกับผู้หญิงคนนั้นก็อาจจะ...” พูดได้เท่านั้นธรรคก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“แล้วแบบนี้ ข้อตกลงเดิมจะทำอย่างไรครับ?” ไร้ย้อนถาม
“ไม่เป็นไร” ธรรคยิ้มฝืน ๆ “ยังไงก็ตามนั้น เราคงต้องกลับไปตั้งหลักและปรึกษากับเสือหนัง มิติก่อน”
ไร้ผงกศีรษะ ในใจมีแต่ความห่วงใยเสือมุบ ไม่ต่างจากปิ๊กและกำนันข้าว
ธรรคเป็นใคร และทำไมถึงรู้จักกับเสือมุบ? เสือหนัง?
หรือธรรคเป็นพวกโจรป่าพยนต์?
....
ในตึกแถวหนึ่งสองคูหา ที่ห้องแรกเป็นร้านขายสินค้าจากต่างประเทศ
ส่วนอีกถูกจัดทำเหมือนสำนักงานเล็ก ๆ มีโต๊ะทำงานสองตัว และกั้นพื้นที่ด้านในส่วนหนึ่งเป็นห้องติดกระจก หน้าห้องเขียนตัวอักษร “ห้องผู้จัดการ”
ภายในห้องนั่งไว้ด้วยชายสามคน หญิงสาวหนึ่งคน
ผู้กองวีกิจ หลิว นั่นอยู่ด้านหลังของโต๊ะทำงาน เบื้องหน้าเขาด้านซ้ายคือหญิงสาวผิวขาว น่าจะเป็นสาวฮ่องกง ด้านซ้ายคือหมวดอติ พบสุข และที่ยืนพิงตู้อยู่คือหนุ่มหน้าตี๋รูปหล่ออีกคนหนึ่ง
ห้าปีที่ผ่านมา หลังจากวีกิจ หลิว และอติ พบสุขเข้ามาอยูในบางบอกดิก ก็ได้เปิดร้านจำหน่ายสินค้านำเข้าจากฮ่องกงบังหน้า แต่ที่จริงเป็นแหล่งข่าวของหน่วยงานตำรวจสากล
วีกิจ หลิว
ทันทีที่วีกิจเดินทางมาถึงบางบอกดิก พร้อมกับได้รับทราบเหตุการณ์สังหารหมู่จากหมวดอติที่ลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง เขาคิดตาม ก่อนจะเอ่ยถาม
“อติพบอะไรที่เป็นเงื่อนงำไหม?”
“ก็มีอยู่หลายจุดครับ” อติตอบ และอธิบายเพิ่ม “ผมว่าโจรพวกนี้มันแปลก การเข้าพื้นที่ของมันไม่เหมือนกับโจรป่า แต่มีรูปแบบเหมือนกองโจร หรือเข้าพื้นที่ของพวกทหารรับจ้าง นอกจากนี้ สำเนียงที่มันประกาศตัวว่าเป็นพวกเสือมุบก็ฟังดูแปลก”
“แปลกยังไง...” วีกิจย้อนถาม
อติ พบสุข
“มันไม่เหมือนสำเนียงคนไทยครับ...มันเหมือนคนที่พูดไทยไม่ชัด คล้าย ๆ พวกฝรั่งที่พยายามพูดภาษาไทยมากกว่า มิหนำซ้ำผมว่ามีอยู่หลายคนที่โครงสร้างทางรูปร่างไม่น่าใช่คนไทย”
“แต่เราก็ไม่มีศพของคนร้ายอยู่ในที่เกิดเหตุ เพราะมีทหารนำตัวไป” วีกิจเอ่ย
“ผมว่าเป็นทหารปลอมมากกว่า มันตั้งใจเข้าพื้นที่เพื่อนำศพทั้งหมดไป จะได้ไม่มีเบาะแสครับ” อติตอบ
วีกิจผงกศีรษะ “ผมก็คิดแบบนั้น...” พลางหันมาสบตากับหนุ่มตี๋ที่ยืนตรงหน้า “คุณคิดยังไงจีฮุน?”
หนุ่มตี๋ที่ชื่อจีฮุนยิ้ม ก่อนจะตอบเป็นภาษาอังกฤษที่แปลว่า “ผมไม่คิดว่าจะใช่โจรป่า แต่เป็นแผนที่ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเป็นกลุ่มโจรป่าพยนต์”
จีฮุน
วีกิจหันมาที่หญิงสาวชาวฮ่องกง “มินนี่ เมย์ มีความเห็นเพิ่มเติมไหม?”
“จากที่ฟังมาทั้งหมด น่าจะมีบางคนทำให้ทางการเข้าใจผิด และตามจับโจรป่าพยนต์”
“ที่ผ่านมา เรารู้ดีว่าหลายต่อหลายครั้งที่เกิดการปล้นของโจรป่าพยนต์ สินค้าที่ถูกปล้นคือของผิดกฎหมายของพ่อเลี้ยงก้อม และนายหัวกานต์ ซึ่งอันที่จริงสินค้าเหล่านั้นถูกเผาทำลายตั้งแต่การปล้น เราก็รู้ว่ามันคิดเฮโรอีน” วีกิจบรรยายเป็นฉาก ๆ
“และคนที่เสียประโยชน์มากที่สุดในระยะหลังช่วงสองปีมานี้ก็คือ นายหัวกานต์ ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับ เฮียส่ง สุดขอบฟ้า และนักธุรกิจฮ่องกงที่เราจับตาดู ท็อป เหลียง!”
“เมื่อเป็นแบบนี้ คนที่เสียประโยชน์มากที่สุดก็คือ ท็อป เหลียง และถ้าตำรวจตามล่าหรือจับตายโจรป่าพยนต์ ก็จะทำให้โจรป่าพยนต์เคลื่อนไหวลำบาก ประโยชน์ทั้งหมดก็กลับมาตกที่กลุ่มท็อป เหลียงอีกครั้ง”
วีกิจวิเคราะห์ และแยกแยะสถานการณ์ก่อนจะสั่งการทุกคน
“เมย์กับจีฮุน คุณสองคนเป็นคนหน้าใหม่ที่นี่ ทางอินเตอร์โพลทำประวัติปลอมของคุณไว้แล้ว ตอนนี้ถึงเวลาคุณสองคนต้องเล่นบทบาทนักธุรกิจนำเข้าส่งออกสินค้าไปฮ่องกง และเกาหลีใต้ เพื่อจะได้เข้าใกล้ตัวเฮียส่ง สุดขอบฟ้า คงต้องฝากทั้งสองคนด้วย นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะติดต่อกันที่นี่”
มินนี่ เมย์
จีฮุนกับเมย์ลุกขึ้นพร้อมกับรับคำ
“Yes sir!”
....
โรงพยาบาลบอกดิก
ภายในห้องพักฟื้นผู้ป่วยพิเศษ
หลังจากเหตุการณ์กราดยิงในวัดบางบอกดิก เข้าวันที่สามแล้วที่หมอเวทย์ยังไม่รู้สึกตัว หลังจากแพทย์ได้พยายามรักษา ส่วนเนิ๊ตที่หลังจากทราบข่าวก็อาสาของทำหน้าที่พยาบาลพิเศษ คอยดูแลหมอเวทย์
เช้าวันนี้หลังจากที่แพทย์เวรออกไปแล้ว ขณะที่เนิ้ตกำลังจัดดอกไม้อยู่ หูของเธอก็ได้ยินเสียงร้องครางมาจากเตียงที่หมอเวทย์นอนอยู่ เนิ้ตรีบหันกลับไปดู
หมอเวทย์รู้สึกตัวแล้ว เขาขยับตัวไปมา
“พี่เวทย์รู้สึกตัวแล้วเหรอคะ รอแป๊ปนะ”
เนิ๊ต
เนิ๊ตพูดด้วยน้ำเสียงดีใจก่อนจะรีบวิ่งออกไปตามแพทย์เวร ส่วนหมอเวทย์พยายามทรงกายลุกขึ้น ส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง
เนิ๊ตกลับเข้ามาอีกครั้งก็เห็นหมอเวทย์นั่งอยู่บนเตียงแล้ว เธอรีบเอ่ยขึ้น
“คุณหมอน้อยไปดูคนไข้ที่ห้องอื่น เดี๋ยวจะกลับมานะคะ พี่เวทย์เป็นไงบ้าง?”
“เนิ๊ตเปิดไฟหน่อยสิ ในห้องมันมืดมาก พี่ไม่เห็นอะไรเลย” หมอเวทย์ร้องขอ
“เปิดไฟ?” เนิ้ตทวนคำด้วยความสงสัย พลางมองไปรอบ ๆ แสงแดดอ่อน ๆ จากด้านนอกสาดส่องเข้ามาตรงด้านข้างของห้อง มองไปนอกกระจกหน้าต่างเห็นท้องฟ้าสีครามตัดกับเส้นขอบฟ้าแต่ไกล
“ตอนนี้มันแปดโมงเช้านะคะพี่เวทย์ ไม่ต้องเปิดไฟหรอก แสงแดดยังส่องเข้ามาเลย เนิ๊ตยังคิดจะเดินไปรูดม่านมาบังให้พี่เวทย์เลย” เนิ้ตพูดยิ้ม ๆ
หมอเวทย์
“แปดโมงเช้า? ทำไมมันยังมืดอยู่เลยล่ะ?” หมอเวทย์ถามด้วยความสงสัย
เนิ๊ตใจหายวาบ เธอลองเอาฝ่ามือไปโบกที่ด้านหน้าของหมอเวทย์ ดวงตาของหมอเวทย์มองตรงไปแต่เหมือนไม่เห็นฝ่ามือของเนิ๊ตที่โบกไปมาตรงหน้า
ประตูห้องคนไข้ถูกเปิดอีกครั้ง หมอน้อย แพทย์เวรเดินเข้ามาพลางใช้หูฟังแตะที่หน้าอกหมอเวทย์ หมอเวทย์เอ่ยถาม
“ใครน่ะครับที่กำลังตรวจผม”
“เวทย์ นี่พี่น้อยเอง” หมอน้อยประหลาดใจ หันมาทางเนิ๊ตเชิงถาม เนิ๊ตเล่าให้ฟังและเห็นได้ชัดว่าหมอน้อยมีสีหน้าเคร่งเครียด เธอหยิบไฟฉายในกระเป๋าเสื้อกราวด์ขึ้นมา และส่องไฟฉายไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของหมอเวย์
หมอเวทย์ไม่มีปฏิกริยาใด ๆ ม่านตาของเขาไม่เปลี่ยนแปลง และไม่หลับตาเมื่อโดนแสงไฟ
หมอน้อยชูนิ้วโป่งกับนิ้วชี้ขึ้น พลางถามว่า “เวทย์ พี่น้อยชูกี่นิ้ว”
หมอเวทย์มีสีหน้างุนงง พร้อมกับตอบ “ห้องนี้มันมืดมาก ผมมองไม่เห็นพี่เลยด้วยซ้ำไปครับ”
หมอน้อยหน้าเครียดลงกว่าเดิม เธอรวบรวมสติก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เวทย์ พี่สงสัยว่าเวทย์จะอยู่ในภาวะการมองไม่เห็นนะ”
“หา...” หมอเวทย์อุทาน “พี่น้อยจะบอกว่าผมตาบอดเหรอ?”
“ก็ยังไม่อาจชี้ชัดได้ ขอเอ็กซ์เรย์ก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกทีดีกว่า อย่าเพิ่งคิดมากนะ”
ความรู้สึกมากมายประดังเข้ามาที่หมอเวทย์ จนเขาเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่
“ไม่...ไม่...ต้องไม่เป็นแบบนี้” หมอเวทย์ร่ำร้องขึ้นมา
“เนิ๊ตพี่ขอยาระงับประสาทด้วย”
เนิ๊ตรีบวิ่งออกไปข้างนอกและกลับมาพร้อมพยายบาลอีกสองคน ในมือของเนิ๊ตมีถาด ในถาดมีเข็มฉีดยา
หมอน้อยรับเข็มฉีดยามา ในขณะที่เนิ๊ตและเพื่อนพยาบาลอีกสองคนช่วยกันกดตัวหมอเวทย์ไว้เพื่อให้หมอน้อยฉีดยา
หลังจากฉีดยาแล้ว หมอเวทย์ค่อย ๆ มีอาการสงบลงก่อนจะหลับไปในที่สุด
“พี่เวทย์จะเป็นอย่างไรบ้างคะ หมอน้อย?” เนิ๊ตเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
หมอน้อยไม่ตอบอะไร แต่สีหน้าที่เคร่งเครียดของหมอน้อยก็เป็นคำตอบบางอย่างให้แก่เนิ๊ต
....
ที่ทำการอำเภอบางบอกดิก
ที่ทำการอำเภอบางบอกดิก
สารวัตรชอและผู้กองต้าถูกเรียกตัวมาที่นี่ ทันทีที่ลงจากรถ ทั้งสองเดินขึ้นบันไดไปจนถึงหน้าห้องประชุม ก็พอดีกับที่สายตาของสารวัตรชอเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าห้อง
ส่วนชายคนนั้นหน้าตึงตั้งแต่เห็นสารวัตรขอเดินขึ้นมาแล้ว
สารวัตรชอถอดหมวกและยกมือไหว้ ก่อนจะกล่าว
“สวัสดีครับพ่อ”
สารวัตรชอ
ชายคนนั้นยกมือรับไหว้ ก่อนจะเอ่ยทัก “มาด้วยเหรอ?”
“ครับ...ถูกนายอำเภอเรียกมาครับ คุณพ่อเป็นไงบ้างครับ?” สารวัตรชอเอ่ยถามไถ่
“ก็ปกติสุขดี” ชายคนนั้นตอบ
“ทันทีที่ทราบเรื่อง สุเป็นห่วงมากนะครับ เธอนอนไม่หลับเลย กลัวว่าคุณพ่อกับคุณแม่จะอยู่ในงาน แต่พอดีผู้กองต้าบอกว่าคุณพ่ออยู่ค้างคืนกับคุณแม่ที่ร้าน สุเลยเบาใจ แถมยังรู้สึกดีใจและประหลาดใจที่คุณแม่ยอมให้คุณพ่อค้างคืนด้วย”
ชายคนนั้นคือ เสก ก้าวเล็ก ที่ตอนนี้เริ่มหน้าแดงขึ้นมาด้วยความเขิน แต่เพราะต้องไว้เชิงก็เลยพูดกลบเกลื่อน
“ก็มีกราดยิงกันตายขนาดนั้น แม่เจี๊ยบเขาก็กลัว พ่อเลยต้องอยู่เป็นเพื่อนเขา จะได้คอยระแวดระวังให้”
เสก ก้าวเล็ก
เสกทำทีเป็นอธิบายกลบเกลื่อน
สารวัตรชอไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่อดอมยิ้มในใจไม่ได้ พลางเอ่ยสั้น ๆ
“นี่...” และก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เสกปั้นหน้าเครียด พลางถามกลับ “นี่....นี่อะไร?” แกเป็นอะไรของแกวะชอ ชอบพูดคำเดียวแล้วก็หยุดไม่พูดต่อ”
สารวัตรชอไม่กล่าวอะไรอีก ในขณะที่ผู้กองต้ามองไปทางซ้ายทีขวาทีระหว่างเสกกับสารวัตรชอด้วยความงุนงง
“มากันแล้วเหรอ” เสียงดังมาจากด้านหลัง
ชายแปลกหน้าที่ชื่อธรรคเอ่ยทัก
นายอำเภอธรรค สยามประวัติ
วันนี้ที่แปลกตาคือ ธรรคอยู่ในชุดข้าราชการเต็มยศ
สารวัตรชอกับผู้กองต้ารีบวันทยาหัตถ์ทันที
“สวัสดีครับ ท่านนายอำเภอ!”
ธรรคเอ่ยขึ้นพร้อมกับเปิดประตู
“พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า ผมมีเรื่องสำคัญจะประชุม”
ธรรค สยามประวัติ คือนายอำเภอคนแรกของบางบอกดิกที่กรมการปกครองส่งมาประจำการ
เมื่อทั้งหมดเข้ามาภายในห้องประชุม มีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธานที่ประชุม
ธรรครีบยืนทำความเคารพ ในขณะที่สารวัตชอ ผู้กองต้า และ เสก ก้าวเล็ก ก็ยืนทำความเคารพอย่างแข็งขันเช่นกัน
ชายกลางคนลุกขึ้น ผายมือเชื้อเชิญให้ทุกคนนั่ง
สารวัตรชอรีบเอ่ยขึ้น
“พวกผมต้องขออภัยด้วยครับที่ทำให้ท่านธนาต้องรอ”
“ไม่เป็นไรหรอก” ชายที่ชื่อธนาเอ่ยขึ้น
“ผมเพิ่งลงจากฮ. ก็รีบตรงมาที่นี่เลย ไม่ทันได้บอกใคร เพราะครั้งนี้เป็นการประชุมวาระพิเศษ”
ชายคนนี้คือ ธนา สยามประวัติ รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย
รมต.มหาดไทย ธนา สยามประวัติ
ธรรค สยามประวัติคือลูกชายคนโตของธนา ที่จบหลักสูตรพิเศษจากงอังกฤษ มีทักษะความสามารถด้านนิติเวช การอารักขาบุคคลสำคัญ และความสามารถในด้านการต่อสู้จากยูเอส.นาวีซีล เมื่อกลับมาเมืองไทย ธรรคเข้ารับราชการและภารกิจแรกของเขาคือการไปประจำที่อำเภอบางบอกดิกในตำแหน่งนายอำเภอ
บางบอกดิกเติบโตเร็วเกินไป และกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่มคนไม่หวังดีต่อประเทศไทย ซึ่งหน่วยข่าวกรองทั้งของไทยและตำรวจสากลได้แลกเปลี่ยนข้อมูลต่อกัน
การเข้ามาของตำรวจสากลอย่างทีมวีกิจ หลิวก็เป็นส่วนหนึ่งของการสนธิกำลัง เพื่อต่อกรกับองค์การร้ายที่ชื่อ “FB” ที่มีวัตถุประสงค์บ่อนทำลายชาติ สร้างเครือข่ายมอมเมาเยาวชนไทยให้หลงผิด ผ่านอบายมุขและยาเสพติด
ทั้งหมดประชุมกันอย่างเคร่งเครียดอยู่ภายในห้องประชุมนั้น กระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
นายอำเภอธรรคเป็นคนแรกที่รีบลุกขึ้นไปเปิดประตู
ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา สารวัตรชอ, ผู้กองต้า ตกใจเมื่อเห็นชายคนนี้เดินเข้ามา เสก ก้าวเล็กขยี้ตาและมองอีกครั้งเหมือนไม่เชื่อสิ่งที่ตาเห็น
ทั้งสามคนประสานเสียงเรียกชื่อชายคนนั้นพร้อม ๆ กัน
“หลวงลุงทับ!”
....
วัดบางบอกดิก
วัดบางบอกดิก
หลวงลุงทับนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในโบสถน์ ต่อหน้าองค์พระประทาน
สายตาของพระประทานมองลงมาที่หลวงลุงทับ ในขณะที่หลวงลุงทับก็เงยหน้ามองพระประทาน ในใจมีความรู้สึกหนักอึ้งยากจะตัดสินใจ
ภาพการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นภายในวัด ต้องเป็นคนใจบาปหยาบช้าเพียงไหนถึงทำได้ขนาดนี้ แม้แต่พระสงฆ์ที่ละแล้วซึ่งทางโลกอย่างหลวงลุงทับ เมื่อหลับตาภาพเหล่านั้นก็ยังติดตา
1
ไอ้แม่วและไอ้ท่อนที่เคยเดินตามหลวงลุงบิณฑบาตรทุกเช้า แต่ไม่มีอีกแล้ว
หลังจากเกิดเหตุ หลวงลุงทับออกบิณฑบาตรเช้า เดินไปเมื่อเหลียวหลังกลับมาด้วยความเคยชิน ก็พบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีไอ้เด็กวัดตัวแสบสองคนเดินตามเหมือนเคย ทั้งหดหู่ใจ ทั้งสะเทือนใจ
หลวงตาทับก้มลงกราบพระประทานก่อนจะเดินออกจากวัด ท่านค่อย ๆ เดินไปที่ท้ายวัด บริเวณป่าช้าของวัด
หลวงลุงทับเดินไปหยุดที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ตรงโคนต้นไม้ปักป้ายหลุมศพที่ทำจากไม้ ขีดเขียนเป็นชื่อ
“ทับ ภูทับเบิก”
หลวงลุงทับหยิบจอบที่วางพิงอยู่ตรงโคนต้นไม้ใหญ่ แล้วหวดจอบลงขุดที่หลุมศพนั้น
หลังจากขุดอยู่พักหนึ่ง สิ่งที่ปรากฎใต้หลุมที่ขุดคือหีบเหล็กยาวขึ้นสนิมใบหนึ่ง หลวงลุงทับค่อย ๆ ลากหีบเหล็กนั้นขึ้นมา ท่านใช้มือเขี่ยดินที่เกรอะกรังอยู่บนหีบเหล็กใบนั้น ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในจีวร หยิบกุญแจดอกหนึ่งขึ้นมาเสียบที่รูกุญแจ
เมื่อปิดฝาหีบออก ภายในมีผ้าแพรที่ห่ออะไรบางอย่างไว้ หลวงลุงคลี่ผ้าแพรนั้นออก
สิ่งที่ผ้าแพรห่อไว้คือ ปืนลูกซอง ไม้ตะพด และชุดตำรวจ
สายตาของหลวงลุงทับมองไปที่สิ่งของทั้งสามที่อยู่ภายในหีบ ในแววตามีความแปรเปลี่ยนมากมายเกิดขึ้น ทั้งภูมิใจระคนปวดร้าวใจ
....
ท่านรมต.ธนาเอ่ยแนะนำ
“ทุก ๆ ท่าน ขอแนะนำให้รู้จักกับ พันตำรวจตรี ทับ ภูทับเบิก”
เสก ก้าวเล็ก, สารวัตรชอ และผู้กองดาต้าทวนคำพร้อม ๆ กัน
“พันตำรวจตรีทับ ภูทับเบิก!”
ตำรวจนอกเครื่องแบบอย่างเสก ก้าวเล็ก, ตำรวจสายตรงอย่างสารวัตรชอ และผู้กองดาต้าต่างก็รู้จักชื่อเสียง และกิติศัพท์ของนายตำรวจในตำนาน
“สารวัตรทับ จับตาย!”
นายตำรวจที่เด็ดหัวโจรร้ายมาแล้วนับไม่ถ้วน ไม่ว่าเสือซุ้มไหน โจรชั่วแค่ไหน ลองถ้าสารวัตรทับแกะรอยล่า ยังไงก็ต้องจับได้ ไม่จับเป็นก็จับตาย
แต่ไม่เคยมีใครเห็นหน้าสารวัตรปืนโหดในตำนานมาก่อน รู้แต่เพียงว่าหลังจากประดับยศพันตำรวจตรีแล้ว ท่านก็ขอลาออกจากราชการและหายสาบสูญไปจากวงการตำรวจ และไม่มีใครทราบข่าวอีกเลย
พวกเสก ก้าวเล็กมองหน้ากันเลิ่กลั่กเหมือนไม่อยากเชื่อ ในใจมีคำถามมากมายเกิดขึ้น อยากจะถามแต่ก็จนใจเมื่ออยู่ต่อหน้ารมต.ธนา กับนายอำเภอธรรค
ทับ ภูทับเบิก
หลวงลุงทับ หรือ ทับ ภูทับเบิกทรุดนั่งลงก่อนจะยิ้มให้ทุกคน และเอ่ยขึ้น
“ทุกคนคงมีคำถามจะถามอาต.. ถามผม ผมได้ตัดสินใจลากสึกเพราะไม่อาจทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ในเมื่อบ้านเมืองของเรามาถึงยุคที่คนชั่วช้าสามานย์สามารถทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้ได้ ผมก็ไม่สามารถทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป...”
ท่านรมต.ธนาผงกศรีษะ และอธิบายเพิ่ม
“หลวงลุงทับของทุกคนจึงได้โทรศัพท์สายตรงถึงผม เพื่อขอกลับเข้ารับราชการ และจะขอให้ความรู้ความสามารถที่มี รับใช้ชาติ และลากคอคนชั่วมารับอาญาบ้านเมือง”
ทับ ภูทับเบิกหันมาสบตาทุกคนในห้องประชุม สารวัตรชอกับผู้กองดาต้ารู้สึกฮึกเหิมมากเมื่อตำรวจรุ่นพี่ในตำนานปรากฎตัวขึ้นตรงหน้า
เสก ก้าวเล็กเองก็ไม่ต่างกัน สารวัตรทับ ภูทับเบิกคือแรงบันดาลใจให้เขาเข้าเป็นตำรวจ และออกมาเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบลงพื้นที่เพื่อเจริญรอยตามนายตำรวจรุ่นพี่คนนี้
....
หมู่บ้านแห่งหนึ่งริมชายแดนฝั่งลาว
ปามที่อยู่ในชุดชาวบ้าน ในมือของเธอหิ้วถังน้ำ ที่เดินข้าง ๆ เธอคือ เด็กสาวอายุอ่อนกว่าปามเล็กน้อยในมือก็หิ้วถังน้ำที่ตักน้ำมาจากลำธารเช่นกัน ทั้งสองเดินกำลังเดินจากลำธารกลับไปที่บ้าน
ปามจำได้ว่าเมื่อเธอรู้สึกตัวก็พบว่าตนเองนอนอยู่ในกระท่อมหลังหนึ่ง สิ่งแรกที่เธอเห็นคือดวงตาแป๋วแหววของ เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับปามนั่งเฝ้าอยู่ข้าง ๆ
พอเธอเห็นปามรู้สึกตัวจึงรีบวิ่งลงไปด้านล่าง ชั่วครู่มีชายกลางคนรูปร่างผอมดิเนขึ้นมา
ชายคนนั้นเอ่ยถามขึ้น
“รู้สึกเป็นไงบ้างครับ?”
ปามเหลียวมองไปรอบ ๆ ทั้งตกใจ ทั้งไม่แน่ใจว่าตนเองอยู่ที่ไหน เด็กสาวที่เพิ่งวิ่งลงไปตามจับมือของปามไว้
“พี่ ๆ ไม่ต้องกลัวนะคะ พี่อยู่บ้านพ่อหมออัฒ”
“ที่นี่ที่ไหนคะ?” ปามย้อนถาม
“ที่นี่คือ “บ้านป่างม่อม” หมู่บ้านเล็ก ๆ ชายแดนฝั่งลาวครับ
“หา...ชายแดนฝั่งลาว!” ปามตกใจ
หมออัฒ
“ผมชื่ออัฒ เป็นหมอสมุนไพร นี่ลูกสาวผมชื่อแก้วครับ เมื่อสองวันก่อนลูกสาวผมไปตักน้ำที่ลำธาร ไปพบคุณกับผู้ชายอีกคนมานอนเกยอยู่ตรงริมตลิ่ง เธอเลยรีบมาตามผม พวกเราเลยช่วยกันพาคุณสองคนกลับมา คุณน่าจะไม่เป็นอะไรมาก ส่วนผู้ชายอีกคนศีรษะเขาถูกกระแทก แต่ผมได้ทำแผลให้แล้ว จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้สึกตัวเลย”
“อ้อ...คงเป็นพี่สามล้อแน่เลย” ปามนึกขึ้นได้
หลังจากนั้นปามก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง หมออัฒกับลูกสาวถึงกับตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“คงต้องรอให้พี่ชายคนนั้นรู้สึกตัวก่อน พออาการเขาดีขึ้น ผมจะให้คนไปส่งพวกคุณที่ด่านไทย-ลาวที่ใกล้ที่สุดครับ”
นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ยามสายของวัน
ปามกับแก้วเดินมาจนถึงหน้ากระท่อม สีหน้าของเธอดีใจมากเมื่อเห็นเสือมุบ หรือที่เธอรู้จักในนามพี่สามล้อ นั่งอยู่หน้ากระท่อม
ปามวางถังน้ำลงแล้วรีบเดินเข้าไปทักเสือมุบทันที
“พี่สามล้อ รู้สึกตัวแล้วเหรอคะ?”
เสือมุบหันมามองหน้าหญิงสาวที่เอ่ยทัก เขาขมวดคิ้ว สายตาเหมือนไม่รู้จักปาม
“พี่สามล้อเป็นไงบ้างคะ” ปามถามด้วยความห่วงใย เธอไม่ทันได้สังเกตแววตาของเสือมุบ
เสือมุบ
“คุณเป็นใครเหรอครับ? ที่นี่คือที่ไหน?”
“ที่นี่คือบ้านป่างม่อม เป็นหมู่บ้านชายแดนลาวค่ะ ส่วนหนูคือปามไงคะ ที่พี่สามล้อเคยรับปามกับแม่ฉัตรบ่อย ๆ ที่ตลาด”
“ปาม? แม่ฉัตร?”
เสือมุบขมวดคิ้ว เขารู้สึกคุ้น ๆ กับคำว่า “ฉัตร”
“ขอบคุณพี่สามล้อนะคะที่ช่วยปามกับพี่ปิ๊กไว้จากโจร เลยทำให้พี่สามล้อต้องมาเจ็บตัวเพราะเราสองคน ว่าแต่ปามยังไม่รู้เลยว่าพี่สามล้อชื่ออะไร จะเรียกพี่สามล้อก็ดูจะไม่เหมาะมั้งคะ” ปามพูดไปหัวเราะไป
เสือมุบพยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ผมทำอะไรเหรอครับ? แล้วผมเป็นใคร?” เสือมุบย้อนถาม
“หา!!!” ปามอุทาน
หลังจากหมออัฒมาถึงและตรวจอาการของเสือมุบเสร็จ หน้าของหมออัฒก็ดูเครียด แก้วกับปามที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รอฟังอยู่ หมออัฒมองหน้าปามและเอ่ยขึ้น
“ดูท่าศีรษะของเขาจะได้รับความกระทบกระเทือนจนน่าจะมีอาการความจำเสื่อมครับ”
“หา...ความจำเสื่อม!” ปามอุทาน “ล้อเล่นใช่ไหมคะ?”
ปาม
“ไม่ล้อเล่นล่ะครับ เท่าที่ดูจากอาการ และสอบถาม เขาน่าจะความจำเสื่อมจริง ๆ อาจจะมีอาการความจำเสื่อมบางช่วงเวลา ผมเคยอ่านศึกษาตำราแพทย์ของอังกฤษ ได้ยินว่า มันเป็นภาวะสูญเสียความทรงจำชั่วคราว หรือ ความจำเสื่อมชั่วคราวครับ เพราะมีบางอย่างที่เขาจดจำได้ และเล่าให้ผมฟังได้ แต่เขาจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันไม่ได้ กระทั่งคุณปามเองเขาก็จำไม่ได้ครับ”
ปามหน้าซีดเธอรีบถามหมออัฒ “แล้วจะมีทางรักษา หรือหายไหมคะ?”
“อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจครับ คงต้องรอกลับไปที่บางบอกดิก ให้แพทย์แผนปัจจุบันเขาตรวจอีกครั้งน่าจะดีกว่าครับ”
“อีกนานไหมคะ กว่าพวกเราจะกลับฝั่งไทยได้”
หมออัฒตอบว่า
“มะรืนนี้ผมจะให้ชาวบ้านไปส่งคุณสองคนที่ด่านไทย-ลาวนะครับ”
สีหน้าของปามดีขึ้นบ้าง ในใจเธอเร่งเวลารอที่จะถึงมะรืนนี้
เธอจะได้กลับไปหาพ่อข้าว แม่ฉัตร พี่ปิ๊ก และพาพี่สามล้อไปรักษาที่รพ.บางบอกดิก
....
โปรดติดตามตอนต่อไป
คุยกันหลังกอง "บางบอกดิก"
ในที่สุดก็เปิดเผยกันเสียทีว่า "ชายแปลกหน้า" คือใคร
มีคนทายถูกด้วย คนที่ทายถูกคือ พี่แมน เมืองชล อินดี้แมนคนนี้นี่เอง
ในนิยายตอนที่ 5 มีตัวละครใหม่ปรากฎหลายคนเลย
นายอำเภอธรรค สยามประวัติ "บั๊ค เจาะเวลาหาอดีต"
เริ่มตั้งแต่ "ชายแปลกหน้า" ซึ่งก็คือ น้องบั๊คจากเพจ "เจาะเวลาหาอดีต"
ผมว่าเขาเหมาะกับการเป็นนายอำเภอคนแรกของบางบอกดิก
แต่มีการปรับชื่อจาก "บั๊ค" เป็น "ธรรค" เพื่อให้เข้ากับนักเขียนอีกคนที่มารับบทเป็นพ่อของเขา
ซึ่งก็คือนักเขียนที่บั๊คเคารพนับถือมาก ๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือ "พี่ธนา เพจ Spirits of Siam" นั่นเอง
รมต.มหาดไทย ธนา สยามประวัติ "พี่ธนา Spirit of Siam"
ผมก็เลยให้พี่ธนารับบทเป็น ธนา สยามประวัติ รมต.มหาดไทย ผู้รักชาติยิ่งชีพ
ผมเลือก "อนันดา" เป็นร่างอวตารของ "ธรรค"
และเลือก "พี่นกฉัตรชัย" เป็นร่างอวตารของ "ธนา"
ไอเดียนี้มาจากที่ผมได้ฟัง Podcast ของผู้ช่วยผู้กำกับ "น้องกู๊ด" เมื่อครั้งที่คุณเธอพูดคุยกับบั๊ค แล้วพี่ธนาแอบมาเซอร์ไพร์ส ผมก็เลยจับทั้งคู่มาเป็นพ่อลูกกันในนิยายเลย ถ้าสังเกตจะเห็นว่านามสกุล "สยามประวัติ" ของตัวละครทั้งสองมีความเชื่อมโยงกับเพจของทั้งสองคนเช่นเดียวกัน
มินนี่ เมย์ "เมย์ My May Travel"
ยังมีนักเขียนน้องใหม่ที่ถูกนำมาเป็นตัวละครใหม่ ในกลุ่มของทีมตำรวจสากล คือ
น้องเมย์ เพจ My May Travel ผมให้เธอเป็นตำรวจสากลชื่อ มินนี่ เมย์ ส่วนร่างอวตารควรจะออกหมวย ๆ ผมเลยเลือก น้องใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ตอนผมเขียนผมไม่รู้ว่าเมย์ทำงานเกี่ยวกับประสานงานกับต่างประเทศ แต่พอดีตัวละครนี้จะต้องปลอมตัวเข้าไปทำหน้าที่ประสานงานกับพวกคนร้ายกลุ่มท็อปเหลียง-เฮียส่งพอดี
จีฮุน
ตอนเขียนภาคแรก ผมมีไอเดียที่จะนำไอดอลสุดเลิฟของน้องโน่ นกไดโนสคูลมาใช้ และผมก็เลยนำเอา "จีฮุน" คนโปรดของน้องโน่ มาร่วมแสดงและเป็นพระเอกของโน่ จะได้มีอารมณ์แบบ "เจ้าฮะ" เวอร์ชั่นเกาหลีหน่อย
ผมคิดถึง "หมออัฒ" เพจหมอยาท่าบีดี และ "น้องแก้ว" เพจลูกชาวนา ที่หายไป แต่เหมือนกระแสจิตผมคงไปถึง ช่วงนี้พี่หมออัฒกลับมาโพสต์อีกครั้งพอดี ผมเลยให้พี่เขาเป็นหมอยาสมุนไพรที่อยู่ในลาว และผมเลือก "โจอี้ บอย" เป็นร่างอวตารของพี่หมอ มีลูกสาวคือน้องแก้ว แต่ผมไม่ได้ใช่ร่างอวตารของใคร ทั้งคู่เป็น Guest ที่ทำให้คนเก่า ๆ ได้คิดถึงพวกเขา
อีกคนที่กลับมาในบีดี "น้องสุ" ผมเลยเพิ่มบทให้น้องสุ ในฉากแรกของนิยายตอนนี้ ผมเชื่อว่า ผู้หญิงแบบน้องสุนี่ล่ะ ที่จะทำให้ผู้ชายเจ้าชู้อย่าง....สารวัตรชอกลายเป็นลูกแมวเชื่อง ๆ ได้
ใครที่อ่านนิยายตอนนี้จนจบ จะเห็นว่า ผมยังสนุกที่จะพลิกตัวละครเดิม ๆ ที่เขารู้จัก ติดตามมาตั้งแต่ภาคแรก
สารวัตรชอ "ชอตระกูล"
ผมให้คนเจ้าชู้สองคนอย่าง "เสก ก้าวเล็ก" ต้องมากลายเป็นพ่อตาคนเจ้าชู้อย่าง "สารวัตรชอ" มันจะเป็นอะไรที่น่าสนุก เพราะสองคนนี้จะเท่าทันกัน โดยมีคนที่ตนรักอยู่ตรงกลางความสัมพันธ์ในครั้งนี้
ผมให้หมอเวทย์ตาบอด ผมได้ไอเดียนี้มาจากนิยายเรื่องหนึ่ง (จำชื่อเรื่องไม่ได้) ที่พระเอกตาบอดแน่นอนว่ามันจะทำให้ชีวิตรักสามเส้า เวทย์ เนิ๊ต ใจดี มีสีสันมากขึ้น และจะมีเส้าที่สี่เพิ่มขึ้น
ผมยังแอบใส่ Guest นักเขียนอีกคนในบท หมอน้อย แพทย์เจ้าของไข้หมอเวทย์ ซึ่งก็คือ พี่หนอนน๊อยซ์ของเรานี่เอง
ทับ ภูทับเบิก "ลุงทัฟฟี่"
ผมยังให้หลวงลุงทับต้องสึกจากผ้าเหลืองมาจับปืน และเผยอดีตของหลวงลุงทับ ซึ่งมาถึงตรงนี้ ตั้งแต่ตอนหน้าผมขอปรับเปลี่ยนร่างอวตารของหลวงลุงทับจาก พี่เอก สรพงศ์ ชาตรี ในช่วงเป็นพระมาเป็น ผู้พันเบิร์ด ในช่วงที่สึกออกมาสู้คนร้ายแทนนะครับ เพราะผมมีภาพหลวงลุงทับตอนหนุ่มออกไปล่าคนร้ายเป็นผู้พันเบิร์ด และแน่นอนว่าเราจะได้เห็นอดีตบางอย่างของ "ทับ ภูทับเบิก" ในตอนต่อ ๆ ไป
ผมให้เสือมุบกลายเป็นคนความจำเสื่อม เพราะมันน่าสนุก ถ้าคนที่มีความแค้นต้องไปตกอยู่ในสถานการณ์ที่เขาต้องเจอกับคนที่เขาแค้นจะเป็นอย่างไร และเช่นเดียวกันถ้าเขาต้องมาตกในสถานะถูกเข้าใจผิด มีคนคิดล้างแค้น เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเขาก็เคยเป็นแบบนั้นกับกำนันข้าวมาแล้ว
จริง ๆ ไอเดียให้เสือมุบความจำเสื่อม ผมได้แรงบันดาลใจมาจาก Jason Bourne นั่นเอง
ในตอนต่อ ๆ ไป ยังจะมีตัวละครไหนที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีก และเนื้อเรื่องจะพาคนอ่านไปสู่ทิศทางใด ผมคิดว่าหลายคนคงจะติดตามอ่านในตอนต่อไปนะครับ
สามารถติชมเสนอแนะไอเดียหรือความเห็นได้ตามอัธยาศัยนะครับ
แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปครับ
มูฟวี่
ขอบคุณที่มาภาพประกอบจาก: Google

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา