5 ต.ค. 2020 เวลา 10:30 • การศึกษา
..ปลอดภัยเพราะอาศัยผู้รู้...
#เกาะตัมพปัณณิทวีป #สิริสวัตถุ
การปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านผู้รู้ ถือเป็นทางรอดปลอดภัยของชีวิต และเป็นหนทางสู่ความเจริญรุ่งเรือง ทันทีที่เราลืมตาขึ้นมาดูโลก เราเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ จึงจำเป็นต้องแสวงหาผู้รู้มาแนะนำสั่งสอน เราเข้าศึกษาในโรงเรียน เรียนรู้จากพ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือคนรอบข้าง ได้เป็นผู้รู้กับเขาบ้าง บางครั้งผู้รู้ได้แนะนำให้เราปฏิบัติในสิ่งต่างๆ แต่เมื่อยังตรองตามไม่ทัน เนื่องจากเรายังไม่ใช่ผู้รู้จริง จึงไม่ปฏิบัติตาม ต่อมาเมื่อไตร่ตรองใคร่ครวญดีแล้วเห็นว่า การปฏิบัติตามไม่มีผลเสียอะไร น่าจะลองทำตามไปก่อน ถึงไม่เชื่อให้เผื่อเหนียวไว้ ถ้าสิ่งที่ท่านแนะไว้เกิดผลดีจริง เราย่อมได้กำไร ถ้าไม่เป็นจริงตามนั้น เราก็ไม่เสียหายอะไร ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิต แต่เราไม่ปฏิบัติตามให้ถูกต้อง เราอาจต้องทุกข์ทรมานไปอีกยาวนาน ทุกข์ทั้งในภพชาตินี้ และในปรโลกอีกด้วย
ในสมัยพุทธกาล พระบรมศาสดาทรงประทานโอวาทแก่ภิกษุผู้บวชใหม่รูปหนึ่ง ที่เกิดความกระสันอยากสึก เพราะหลงใหลในหญิงสาวที่แต่งตัวงดงามคนหนึ่ง ทรงสอนว่า "ดูก่อน ภิกษุ ธรรมดาหญิงเหล่านี้ เล้าโลมชายด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และมายาหญิง กระทำให้อยู่ในอำนาจของตน เขาเรียกว่ายักษิณี ครั้นรู้ว่าชายตกอยู่ในอำนาจแล้ว ก็จะทำให้ศีลวิบัติ ดังนั้นเธออย่าหลงใหลและยินดีในกิริยาที่ยักษิณีกำลังทำกับเธอเลย" จากนั้นทรงนำอดีตนิทาน มาตรัสเล่าให้ภิกษุรูปนั้นฟัง
ในอดีตกาล ที่เกาะตัมพปัณณิทวีป มีเมืองยักษ์ชื่อ สิริสวัตถุ เป็นที่อยู่อาศัยของพวกนางยักษิณี เมื่อเรือของพ่อค้าอับปางลง พวกนางยักษิณีรู้ว่า เหยื่ออันโอชะกำลังมาถึง จึงพากันประดับตกแต่งร่างกาย ถือของขบเคี้ยวของบริโภค มีหมู่ข้าทาสแวดล้อม อุ้มทารกเข้าไปหาพวกพ่อค้า เพื่อให้คนเหล่านั้นทราบว่า พวกเราก็มาจากที่อยู่ของมนุษย์ เพียงแต่อาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว แล้วกล่าวเชื้อเชิญว่า "ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ หมู่บ้านสิริสวัตถุของพวกเรา" พวกพ่อค้าขาดไหวพริบปฏิภาณจึงไม่เฉลียวใจ บริโภคข้าวปลาอาหารที่พวกนางยักษิณีจัดหามาให้ เมื่อกินอาหาร และพักผ่อนจนสบายใจแล้ว ยักษิณีจึงถามว่า "พวกท่านอยู่ที่ไหน มาจากไหน จะไปไหน มาทำอะไรที่นี่"
เมื่อพวกพ่อค้าตอบว่า "เรือของพวกเราอับปางลง ไม่รู้ทางกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน ขอพวกนางได้ช่วยชี้ทางกลับแก่พวกเราด้วยเถิด"
นางยักษิณีจะแสร้งกุเรื่องขึ้นมากล่าวว่า "แม้สามีของพวกเราก็ขึ้นเรือไป ล่วงไปสามเดือนแล้ว เห็นทีคงถูกพายุใหญ่พัดเรืออับปาง และจมน้ำตายกันหมด พวกท่านก็เป็นพ่อค้าเหมือนกัน พวกเราขอเป็นหญิงรับใช้พวกท่าน ขอเชิญ ท่านพักอาศัยอยู่ที่นี่นานๆ" จากนั้นพวกนางต่างเล้าโลมเหล่าพ่อค้าด้วยมารยาหญิง และพาพ่อค้าไปเมืองยักษ์ทันที
วันหนึ่ง พ่อค้าเรืออับปาง ๕๐๐ คน พากันเข้าไปใกล้เมืองของยักษิณี พวกยักษิณีจึงไปหาพวกพ่อค้า ดำเนินตามกลอุบายที่เคยทำมาตามปกติ ที่ผ่านมาไม่เคยมีพ่อค้ากลุ่มไหนรอดพ้นจากเงื้อมมือของนางยักษ์เหล่านี้ไปได้ ทุกครั้งที่ได้พวกมนุษย์ใหม่มา ยักษิณีเหล่านั้นจะเอาโซ่กายสิทธิ์ล่ามพวกมนุษย์ที่จับไว้ตั้งแต่ครั้งก่อนๆ ขังไว้ในห้องคุมขัง แล้วกระทำมนุษย์ที่จับได้ภายหลังให้เป็นสามี ครั้งนี้ก็เช่นกันหัวหน้ายักษิณีให้หัวหน้าพ่อค้าเป็นสามี ส่วนบริวารได้พ่อค้าที่เหลือเป็นสามีของตน
ในเวลากลางคืน เมื่อพ่อค้าหลับ นางยักษิณีหัวหน้าจะลุกขึ้นไปฆ่ามนุษย์ในเรือนคุมขัง กัดฉีกกินเนื้อด้วยความเอร็ดอร่อย แล้วกลับมานอนกับหัวหน้าพ่อค้าเหมือนเดิม ส่วนยักษิณีที่เหลือก็ทำเช่นเดียวกัน เมื่ออยู่ไปได้ไม่กี่วัน หัวหน้าพ่อค้าเป็นผู้มีไหวพริบปฏิภาณ คอยสังเกตว่า ยักษิณีออกไปข้างนอกทำไม และแปลกใจว่า เมื่อกลับเข้ามานอนอีกครั้ง ร่างกายของยักษิณีจะมีความเย็นกว่าปกติ ครั้นรู้ว่าหญิงงามนี้เป็นยักษิณีจำแลง จึงคิดต่อไปว่า หญิงอีก ๕๐๐ คนที่เหลือคงเป็นยักษิณีเช่นเดียวกัน เฝ้าสังเกตอยู่ ๒ - ๓ วัน เมื่อรู้แน่ชัดว่า ตนเองอยู่ในอันตราย โดยที่พวกพ่อค้าทั้งหลายไม่รู้ว่ามัจจุราชอยู่ข้างตัว จึงคิดหาทางที่จะหลบหนีทันที
รุ่งเช้าหัวหน้าพ่อค้าได้เดินไปอาบน้ำล้างหน้ากับพวกบริวาร และบอกให้บริวารของตนรู้ว่า "หญิงเหล่านี้เป็นยักษิณี มิใช่หญิงมนุษย์ พวกมันกำลังจะหักคอพวกเราเคี้ยวกินเป็นอาหาร พวกเราควรพากันหาทางหลบหนีไปเถิด" พวกพ่อค้าครึ่งหนึ่งเชื่อถ้อยคำของหัวหน้า แต่อีกครึ่งหนึ่ง หลงใหลในภรรยาคนใหม่ ไม่เชื่อว่าพวกนางจะเป็นยักษิณี จึงไม่ยอมไปกับหัวหน้า
ในสมัยนั้น พระโพธิสัตว์ของเราบังเกิดเป็นม้าวลาหก เป็นม้าสีขาวปลอด มีศีรษะเหมือนกา ผมเป็นปอย มีฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศได้ ม้าวลาหกเหาะจากป่าหิมพานต์มาที่เกาะตัมพปัณณิ เพื่อบริโภคข้าวสาลีที่เกิดขึ้นเองในเปือกตม จากนั้นจึงเหาะกลับป่าหิมพานต์ตามเดิม โดยก่อนจะกลับม้าจะร้องขึ้น ๓ ครั้ง พูดเป็นภาษามนุษย์ว่า "มีผู้ประสงค์จะไปชนบทไหม ๆ ๆ" พวกพ่อค้าได้ยินเสียงม้าพูดภาษามนุษย์ได้ มีความยินดีจึงเข้าไปขอความช่วยเหลือโดยกล่าวว่า "พวกเราจะกลับไปชมพูทวีป ขอพญาม้าได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วยเถิด"
ด้วยความกรุณาของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จึงให้พ่อค้าบางพวกขึ้นขี่หลัง บางพวกให้จับหาง บางพวกยืนประคอง อัญชลี แล้วเหาะข้ามมหาสมุทรกลับไปสู่บ้านเกิดของตน ด้วยอานุภาพของม้าโพธิสัตว์ ทำให้พ่อค้าทั้ง ๒๕๐ คน สามารถรอดพ้นจากการถูกจับกินเป็นอาหาร ส่วนพ่อค้าที่เหลือซึ่งไม่เชื่อ คำแนะนำของหัวหน้า เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ก็ถูกนางยักษิณี จับฆ่าเคี้ยวกินจนหมดสิ้น
เมื่อพระบรมศาสดาตรัสเล่าเรื่องนางยักษิณีจบแล้ว ทรงสรุปว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกพ่อค้าที่ตกอยู่ในอำนาจของยักษิณีต่างสิ้นชีวิตลงหมด พวกที่เชื่อคำของพญาม้าวลาหก ได้กลับไปอยู่ในที่อยู่ของตนอย่างปลอดภัยฉันใด พุทธบริษัทผู้ไม่ทำตามโอวาทของพระพุทธเจ้าก็ฉันนั้น ย่อมถึงความทุกข์ใหญ่ ในอบายภูมิ ๔ ส่วนผู้ที่เชื่อฟังโอวาท ย่อมได้รับสมบัติทั้งสาม คือ มนุษยสมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติ" จากนั้นทรงแสดงอริยสัจ ๔ ในท่ามกลางมหาสังฆสมาคม เมื่อสิ้นสุดพระธรรมเทศนา ภิกษุผู้กระสันอยากสึกก็สามารถตัดใจจากหญิงที่ตนเองหลงรัก ในที่สุดได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
เราจะเห็นว่า การทำตามคำแนะนำของผู้รู้นั้น เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความปลอดภัย และความสวัสดีมีชัยเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเหตุการณ์บางอย่าง ลำพังตัวของเราเอง ไม่อาจพิจารณาแยกแยะได้ว่า สิ่งนั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือไม่ เป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ จำต้องอาศัยบัณฑิตคอยชี้แนะแนวทางให้ โดยเฉพาะหนทางไปสู่สวรรค์และนิพพานนั้น ต้องอาศัยผู้รู้แจ้ง คอยแนะนำพร่ำสอน เพราะหากดำเนินชีวิตผิดพลาด ย่อมมีแต่อบายภูมิเป็นที่ไป หากปฏิบัติถูกก็ไปสู่สุคติภูมิ ถ้าปฏิบัติผิดย่อมไปสู่อบายภูมิ
พวกเราทั้งหลายนับว่าเป็นผู้โชคดี ที่ได้ผู้รู้อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแสงสว่าง คอยส่องทางให้เดินไปบนหนทางที่ถูกต้อง พระองค์ทรงสอนให้ละชั่วทุกชนิด ทำความดีทุกอย่าง และหมั่นทำใจให้ใสบริสุทธิ์เสมอ ให้มีสุคติโลกสวรรค์ เป็นที่ไป ดังนั้นจงหมั่นทำตามพระพุทธโอวาท เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย และมีสุคติภูมิเป็นที่ไปกันทุกคน
คัดบางส่วนมาจากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับมงคลชีวิต ๒ หน้า ๑๕๙ -๑๖๓
อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
วลาหกัสสชาดก เล่ม ๕๗ หน้า ๒๕๑
โฆษณา