30 ก.ย. 2020 เวลา 13:51 • ไลฟ์สไตล์
ตอนที่ 5 ได้เวลาไปเรียนแล้วจ้า
🙏🏼 วันเปิดเทอมวันแรกเราตื่นแต่เช้า เพราะต้องเผื่อเวลาเดินไปมหาวิทยาลัย ท่ามกลางความติดลบ 20 กว่าๆเหมือนเคย พวกเราเดินกันด้วยความเงียบ เพราะอากาศมันหนาวเกินกว่าจะเดินไปคุยกันไป แต่ละคนสภาพคือปากชา หน้าชา และเกือบทุกคนคือเอาผ้าพันรอบหน้าเหลือแต่ตา เลยคุยกันไม่ได้ เราไปเรียนวันแรกแบบสมองโปร่งๆ ไม่ได้เตรียมอะไรไปล่วงหน้าเลย เดินไปคิดไปว่าคนอายุขนาดเรา มีความรู้เป็ดๆ จะเรียนรู้เรื่องมั้ยนะ ไอ้ภาษาจีนที่เค้าบอกว่ายากนักยากหนาเนี่ย เราจะพูดกับเค้าเป็นแล้วจริงๆหรอ เดินไปสั่นไปเป็นระยะๆ ยิ่งเวลามีลมมาพัดตึง ใส่หน้าทุกคนจะหยุดแป๊บนึง แต่หยุดนานไม่ได้ เพราะยิ่งช้า มันยิ่งหนาว เลยต้องรีบจ้ำให้เร็วที่สุด ประมาณ 15 นาทีก็ถึงห้องเรียน เราและน้องๆก็แยกย้ายกันเข้าห้องของตัวเอง
🎂 ในห้องเราคือ A2 班 มีนักเรียนทั้งหมด 18 คน มีทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น เดนมาร์ก และดีใจมากที่เจอคนไทย ซึ่งตอนแรก เราเตรียมใจไปแล้วแหล่ะ ว่าเราจะเป็นนักเรียนที่อายุเยอะที่สุดในห้องแน่ๆ แต่กลับกลายเป็นว่ามีคนเดนมาร์กอีกคนที่อายุ 40 นั่งข้างหน้าเรา แค่นี้เราก็อุ่นใจละที่เราไม่ใช่คนที่แก่ที่สุดในห้อง 5555 เหล่าซือของเรา อายุมากกว่าเรา เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เสียงดังมาก ชื่อว่า หลิวเหล่าซือ
🙏🏼 เราเลือกนั่งกับคนไทยด้วยกันเพราะคิดว่ามันน่าจะอุ่นใจกว่า เผื่อเราตามไม่ทันจะได้มีคนอธิบายเพิ่มเติมได้ซึ่งเราต้องยอมรับว่าสมองของคนอายุ 32 มันช้ากว่าเด็ก ๆ อยู่แล้วแหล่ะ โดยการเรียนที่นี่ แบ่งเป็น 4 วิชา คือวิชาหลัก(รวมมิตรทุกทักษะเน้นแกรมม่าและศัพท์) วิชาฟัง วิชาพูด และวิชาเขียน
⌚️กฎการเรียนที่จีนจะตรงเวลามากๆ พอเสียงกริ่งบอกสัญญาณ 8 โมงดังปุ๊บ เหล่าซือจะเช็คชื่อคนแรกทันที ฉะนั้นใครมาไม่ทันเช็คชื่อจะถือว่ามาสาย สาย 3 ครั้งถือว่าขาดเรียนหนึ่งคาบ หนึ่งวิชามีสิทธิ์หยุดแค่ 3 ครั้ง หากขาดเรียนมากกว่านั้นจะต้องถูกอัญเชิญกลับประเทศทันที เพราะจะถือว่ามีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝง ดังนั้นมันถือเป็นการบังคับตัวเองไปในตัวให้ตรงต่อเวลา จากคนเรื่อยๆ ยังไงก็ได้ กลายเป็นต้องตรงต่อเวลาซะอย่างงั้น
💪 การเช็คชื่อวันแรก จะโกลาหลหน่อยเพราะแต่ละคนจำชื่อจีนของตัวเองไม่ค่อยได้ หนึ่งในนั้นคือเราจ้าาาา เหล่าซือเรียก ถาย่า เราก็เงียบ เรียกถาย่า อีกรอบ ก็เงียบ น้องข้างๆถามใช่ชื่อเจ้มั้ยอ่ะ เราก็บอกจำไม่ได้ว่ะ ~ ~” ซักพักเหล่าซือเดินมาเคาะที่โต๊ะว่าเราคือคนไทยชื่อนี้หรือเปล่า เอาใบเซนต์ชื่อมาให้ดู พอเราตอบว่าใช่ เหล่าซือเลยย้ำว่าเธอชื่อ ถาย่า นะจำไว้ 5555555
🏡 หลิวเหล่าซือ เป็นเหล่าซือที่น่ารักมาก ใส่ใจนักเรียนทุกคน คอยดูเรื่องวีซ่า ใครจะเจ็บป่วย มีปัญหาอะไร หลิวเหล่าซือจะช่วยจัดการให้ทุกอย่าง แต่ในห้องเรียนหลิวเหล่าซือจะค่อนข้างแคร่งมากๆ การเรียนวันแรกเป็นการสอนการออกเสียงเหมือนเมืองไทยสอนสะกด ก อา กา - ข อา ขา นั่นแหละ ซึ่งสอนไปได้สักพักก็มีคำศัพท์มาให้ท้ายบท โดยจะให้เวลาจำและแข่งกันตอบ ซึ่งทีมเกาหลีชนะขาดลอยค่ะ เพราะรากศัพท์เค้าจะเหมือนๆกัน สำหรับคนอื่นอาจสนุกและง่าย แต่สำหรับคนสมองช้าแบบเรา มันยากกกกกกอ่าาาา
😘 พอเรียนจบหนึ่งวัน พวกเราจะมีการบ้านทันทีคือไปคัดศัพท์ที่เรียนมาวันนี้ 10 จบ และพรุ่งนี้จะมีการสอบเขียนศัพท์ของวันนี้ที่เรียนไป โดยห้ามเปิดหนังสือเป็นแบบนี้ทุกวัน นอกจากนี้ยังต้องอ่านของศัพท์วันพรุ่งนี้เตรียมตัวมาด้วยมิฉะนั้นเราจะไม่ทันในห้องเรียน จากบทแรกแรกศัพท์ วันนึง 5-6 คำยิ่งเรียนไปศัพท์ยิ่งเยอะขึ้น เรื่อยๆ และเขียนยากขึ้นด้วย ไปๆมามาบทท้ายๆ มีคำศัพท์มากถึง 40 คำต่อวัน ด้วยซ้ำ ซึ่งเราก็จะจำได้มั่ง ไม่ได้มั่งตามประสาคนเป็นเป็ด นั่นแหล่ะ เครียดก็เครียด แต่ทำอะไรไม่ได้ เลยทำได้แค่ อ่าน อ่าน อ่าน และก็อ่าน คัดไป คัดมาอยู่อย่างนั้น ซึ่ง2 อาทิตย์แรกเราเองปรับตัวไม่ทัน มันเครียดมากกกกกกกกกกกกกกก
🎁 โชคดีอย่าง เราจะมีเพื่อนคนไทยคนนึงที่อายุเท่ากัน เรามักจะเจอกันที่โรงอาหารเป็นประจำ เวลาเจอกันทีไรก็จะ กินข้าว พูดคุย ปรับทุกข์กันไปเรื่อยเปื่อย เพราะเรา2คนจะค่อนข้างเข้าใจหัวอกเดียวกันตามประสาคนที่เรียนตามคนอื่นไม่ค่อยทัน หลังๆ เราหาติดต่อเค้าไม่ได้ และเห็นคนไทยในกลุ่มตามหาเค้าเหมือนกัน เราก็เริ่มรู้สึกไม่ดีแล้ว ว่านางหายไปไหน กลัวว่าขาดเรียนบ่อยๆจะมีปัญหาเรื่องวีซ่าตามมา และก็จริงๆค่ะ เพราะเค้าเครียดจนหนีกลับไทยซะแล้ว มันยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่ขึ้นไปอีก อ้าวเริ่มสับสน แต่มาคิดว่าถ้ากลับตามเค้าไปตอนนี้ มันยังไม่ได้อะไรเลยแล้วเราจะมาทำไมล่ะ ฮึดดสู้เถอะเรา เป็นไงเป็นกัน !!!
✨✨✨✨โปรดติดตามตอนต่อไป✨✨✨✨
โฆษณา