1 ต.ค. 2020 เวลา 13:29 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Jim Rickards: The Layoffs Are Just Beginning (08/09/2020)
อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้นในเดือนมีนาคมและเมษายน
ในช่วงเวลานั้นมีการระบาดของไวรัสเเละตามมาด้วยการ lockdowns
อัตราการว่างงานระดับ 15% ในเดือนเมษายนเเละมีการเคลมเงิน (unemployment benefits) ยอดสูงกว่า 59 ล้านดอลล่าร์ในช่วงระหว่างเดือนมีนาคมถึงสิงหาคม
นี่เป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของการว่างงานนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่
(The Great Depression)
นับตั้งเเต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1930s
อัตราการว่างงานเริ่มดียิ่งขึ้น
การว่างงานลดลงเหลือประมาณ 11%
ในเดือนกรกฎาคมและตามมาด้วยตัวเลขการว่างงานในเดือนสิงหาคมที่ดีขึ้นไปอีก
นี่หมายความว่าสิ่งที่เลวร้ายสิ้นสุดลงแล้ว
และเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็วงั้นหรอ?..
Not exactly.
No More Payroll Protection Plan
time.com
อัตราการว่างงานในช่วงระหว่างเดือนเมษายนและพฤษภาคมจะยิ่งเลวร้ายกว่านี้
หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากสภาคองเกรส
(Payroll Protection Plan)
Plan นี้มีการเตรียมเเละจัดสรรเงินกู้เกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง
เงินกู้ยืมนี้สามารถพักชำระได้เป็นเวลาสองเดือนครึ่ง
หากผู้กู้นำเงินที่ได้ไปใช้เพื่อรักษาบัญชีเงินเดือน
(จ่ายเงินเดือน)หรือจ่ายค่าเช่า
โปรเเกรมนี้มันก็คือเงินกู้ชั่วคราวสำหรับช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม
อย่างน้อยก็ช่วยให้ลูกจ้างมีงานทำ
มันได้ผล..
แต่ตอนนี้เงินเหล่านั้นกำลังจะหมดลงและการ lockdowns ก็ยังคงดำเนินอยู่ในหลายๆที่ ธุรกิจที่คาดว่าจะเปิดตัวเเละเศรษฐกิจจะกลับมาเเบบ V-shaped จะพบได้ว่าการเปิดตัวนี้จะล่าช้าออกไป จริงอยู่ว่ามีการฟื้นตัวขึ้นจริง เเต่มันเป็นการฟื้นตัวที่น้อยมากๆ
เราเริ่มเห็นการปลดพนักงานระลอกที่สองเเล้ว เมื่อเงินของ Payroll Protection Plan หมดลงและเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวอย่างที่หลายๆคนหวัง ในขณะเดียวกันรัฐและเมืองต่างๆก็วางแผนปลดพนักงานจำนวนมากในอีก
ไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ เนื่องจากรายได้จากภาษีที่ลดลงและค่าใช้จ่ายสำหรับเหตุการณ์จลาจลและการปล้นสะดมเพิ่มสูงขึ้น
usatoday
เมื่อนำปัจจัยเหล่านี้มารวมกันแสดงให้เห็นว่าการว่างงานกำลังจะเพิ่มขึ้น
โดยเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป..
Digging Out of a Deep Hole
newsclick
ความจริงก็คือเศรษฐกิจอยู่ในสภาพแย่มาก ความคิดที่ว่าเราจะย้อนกลับไปเป็นเหมือนช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เศรษฐกิจจะดีขึ้น
มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ..
ข้อมูลต่างๆที่ออกมากำลังบ่งชี้ว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น
ใช่ มันก็จริงอยู่
แต่ถ้าคุณตกลงไปในหลุม 50 ฟุตและปีนขึ้นไป 10 ฟุต
คุณก็ยังคงต้องปีนขึ้นมาอีก 40 ฟุต ถึงจะออกจากหลุมนี้ได้
เราจะไม่ได้เห็น Out put ระดับเดียวกันกับปี 2019 จนกว่าจะถึงปี 2023 (เร็วที่สุด)
เราจะไม่เห็นการว่างงานในระดับต่ำเหมือนดั่งปี 2019 จนถึงปี 2025
มันจะต้องใช้เวลาสามหรือสี่หรืออาจจะห้าปี
มันจะเป็นการฟื้นตัวที่ช้าเเละยาวนาน
(a long, slow recovery)
เเต่นี้คือเราต้องอยู่ situation นี้นะ
เเน่นอนมันจะเเย่ยิ่งขึ้น
หากมีการระบาดของไวรัสรอบที่ 2
เรากำลังปีนออกจากหลุมได้ 10 ฟุตเเล้ว
เเต่เราต้องรู้ไว้ เราอาจจะตกกลับไปที่เดิมได้เสมอ..
The Powerless Fed
foxbusiness
ในสุนทรพจน์เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2020 ในการประชุมที่ Jackson Hole ประธาน Fed Jay Powell ได้ประกาศนโยบายการเงินรูปแบบใหม่
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาFed ดำเนินนโยบายกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ 2% เเละพวกเขาล้มเหลวในเรื่องนี้มาโดยตลอด อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นเพียง2%ในช่วงสั้นๆเท่านั้น
ตั้งแต่ปี 2007 เราทำได้เพียงเข้าใกล้เงินเฟ้อที่ 1.5%
ตอนนี้Fedกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่ 2% ซึ่งหมายความว่าหากอัตราเงินเฟ้อต่ำกว่า 2% ในระยะเวลานึง Fedจะปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงกว่า 2%
เพื่อที่ค่าเฉลี่ยของช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อสูงและต่ำจะเข้าใกล้เป้าหมาย
แต่มันมีจุดบอด เเละ
ข้อบกพร่องอยู่มากมายจากการกระทำเเบบนี้
เเละ Fed ยังไม่เข้าใจ..
ปัญหาแรกคือหากFedไม่สามารถทำให้เงินเฟ้อไปอยู่ในระดับ 2% ได้เลย
เเล้วพวกเขาจะทำให้เงินเฟ้อไปอยู่ในระดับ 2.5% หรือมากกว่าได้อย่างไร
ช่วงเวลาระหว่างปี 2008 ถึง 2014 Fed ทำ quantitative easing (QE)นับหลายล้านล้านดอลลาร์ (which actually seems like small potatoes compared to what we’re seeing now)
นักวิเคราะห์หลายคนเตือนเกี่ยวกับ“ เงินเฟ้อ” ซึ่งเป็นผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการที่Fedพิมพ์เงินมากเกินไป รู้อะไรมั้ย คำเตือนนั้นดูเหมือนเป็นคำเตือนที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่งในเวลานั้น
เเต่สุดท้าย ถึงกลัวเเค่ไหนมันก็ไม่เกิดขึ้น
อัตราเงินเฟ้อลดลง ไม่มีภัยคุกคามจากเงินเฟ้อเลย
อัตราดอกเบี้ยก็ลดลง ไม่มี“ ฟองสบู่พันธบัตร”
ไม่เกิดความเสียหายอะไรในตลาดตราสารหนี้
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่มีการต่อต้านโปรแกรมการเงินทั้งหมดที่เราเห็นในตอนนี้
มันก็เหมือนกับเด็กเลี้ยงเเกะ นักวิเคราะห์ร้องเรียกบอกว่ามีหมาป่าแต่หมาป่ากลับไม่เคยปรากฏตัว
เเล้วทำไมเราควรฟังพวกเขาตอนนี้หล่ะ?
It’s About the Velocity, Stupid
thestreet
ก็เป็นอย่างที่ผมเคยบอกมาตลอด
เงินเฟ้อไม่ได้เกิดจากการพิมพ์เงินเพียงอย่างเดียว มันเกิดจากความเร็วหรือการหมุนเวียนของเงิน (It’s caused by the velocity, or turnover, of money)
Velocity มันเป็นจิตวิทยาที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับFed
(อันที่จริงFedไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันทำงานอย่างไร)
Fed สามารถ "พิมพ์" เงินได้ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าผู้คนไม่ใช้จ่ายจริงแต่กลับประหยัด ออมเงิน เก็บเงินไว้
มันจะไม่สร้างเงินเฟ้อเพราะมันไม่มี Velocity
แล้วพอยิ่งเกิดการว่างงานกันมากขึ้น ธุรกิจล้มละลาย
ผู้คนก็ยิ่งออมเงินมากขึ้นถึงแม้ว่าจะมีการปลด Lockdowns เเล้วก็ตาม
การออมนั้นเป็นผลดีในระยะยาว เเต่มันจะทำร้ายการบริโภค ซึ่งเป็นตัวที่จะผลักดันเศรษฐกิจ
มันมีเงินจำนวนน้อยที่กำลังถูกเปลี่ยนมือ
เนื่องจากการบริโภคคิดเป็น 70% ของเศรษฐกิจสหรัฐฯผลที่ตามมาของการระบาดคือ
การเติบโตที่ช้าลงและภาวะเงินฝืด
(disinflation and deflation aren’t the same)
ดังนั้นตอนนี้เราจึงมองไปที่การลดลงของเงินเฟ้อและภาวะเงินฝืดก่อน ถึงแม้จะมีการพิมพ์เงินออกมามากมายดั่งที่เราเห็นในตอนนี้
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าอัตราเงินเฟ้อจะไม่ปรับตัวขึ้น
เงินเฟ้อจะมา
แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้..
When You’ll See Inflation
อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเมื่อผู้คนสูญเสียความเชื่อมั่นในดอลลาร์และทันใดนั้นพวกเขาก็จะทิ้งดอลลาร์เพื่อไปถือสินทรัพย์อื่นๆ
ความเร็วของเงินจะเร่งสูงขึ้น แต่มันจะไม่เกิดที่สินค้าอุปโภคบริโภค มันจะไปเกิดที่สินทรัพย์ที่คงคุณค่าเอาไว้ คำตอบนั้นคือทองคำ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือตัวบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อที่ดีที่สุด เราจะไม่ได้พบในร้านขายของชำหรือปั้มน้ำมันหรอกนะ
เราจะพบได้ในราคาทองคำ (dollar price of gold)
แน่นอนว่าราคาทองคำที่สูง เเสดงให้เห็นว่าดอลล่าร์กำลังอ่อนค่า จะต้องใช้เงินจำนวนมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าในปริมาณเท่าเดิม
เห็นได้ชัดว่าFedไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดเงินเฟ้อได้อย่างไร พวกเขาเเค่บอกเป้าหมาย นโยบายของเงินเฟ้อ มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถทำได้..
“What’s So Great About 2% Inflation?”
ปัญหาที่สองของ Fed คือจะเกิดอะไรขึ้น หากเราต้องอยู่ในสภาวะเงินเฟ้อ 2% ทุกปี
ถ้าเกิดเงินเฟ้อต่อเนื่อง 2% มูลค่าของดอลลาร์จะหายไปครึ่งหนึ่งใน 35 ปี
และอีกครึ่งใน 35 ปี หนึ่งชั่วอายุคน มูลค่าของมันจะสูญเสียไปถึง 75%
หากอัตราเงินเฟ้อ 3% มูลค่าดอลล่าร์จะหายไป75%ในเวลาประมาณเพียง 45 ปี
อัตราเงินเฟ้อที่เป็นศูนย์เป็นเป้าหมายเดียวที่เหมาะสมที่สุด
การกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยจากการใช้ข้อผิดพลาดในอดีตเป็นพื้นฐานการตัดสินใจมันก็
เหมือนมองเอาเเต่มองกระจกมองหลังนั่นเเหละ
มันเห็นได้ชัดมานานหลายทศวรรษเเล้ว
Fed ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรในเรื่องนโยบายการเงินต่างๆ
นโยบายใหม่ที่ Powell ประกาศออกมายิ่งทำให้เห็นได้ว่าพวกเขากำลังสับสนเเละจนหนทาง
Safe haven ในช่วงเวลาที่การเติบโตช้าเเบบนี้ คือ
เงินสดเเละทองคำ..
แน่นอนว่าทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่จะจำเป็นต้องถือไว้ในช่วงเวลาที่เงินเฟ้อ
เมื่อทองคำพุ่งทะลุ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไปสู่ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์นั่นเป็นสัญญาณของเงินเฟ้อ
Don’t wait until that happens. Buy your gold now while it’s still affordable.
coinweek.com
เพราะความรู้คือของขวัญที่ดีที่สุด📚
ติดตามบังผ่านทาง Fcaebook Fanpage
ตอนนี้บังได้สร้างซีรีส์อัลบั้มของบทความไว้เเล้ว
สำหรับคนที่สนใจสามารถติดตามอ่าน
ย้อนหลังได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลยนะครับ
ถ้าตลาดหุ้นกำลังจะถล่ม
เราอยู่ในจุดที่ต่ำสุดเเล้วหรือยัง ?

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา