6 ต.ค. 2020 เวลา 14:28 • ไลฟ์สไตล์
เคยอ่านผ่านๆ ว่าสมองมนุษย์ มี 2 Mode
Mode 1 เร็ว แต่ไม่ละเอียด
Mode2 ช้า แต่ละเอียดกว่า
เช่น สมมติเราเดินเข้ามาในห้องแห่งหนึ่ง
Mode 1 จะทำงานเลย ทันที ว่า
ห้องนี้ ร้อน เย็น อับ ชื้น เหม็น หอม สว่าง มืด
คนเยอะ คนน้อย
แต่ถ้าเราถามต่อ แล้วที่ Mode 1 บอก มันจริงๆ เท่าไหร่
เช่น ร้อน ร้อนประมาณไหน ได้กลิ่นมันคือกลิ่นอะไร คนเยอะ น่าจะประมาณกี่คน ....
1
Mode 2 ก็จะประมวลผล แล้วค่อยตอบออกมา
บางครั้ง Mode 1 ก็ทำงานได้ยาวนานในสภาวะบางอย่าง
เช่น ความรัก ....
นั่งฟังเพลงที่ว่า ถ้าเค้าจะรักยืนเฉยๆ เค้าก็รัก ....
จริง มนุษย์เป็นแบบนั้นแหละ ถ้าอยู่ใน Mode 1
เราบอกไม่ได้ทำไมชอบคนนี่ ทำไมชอบแบบนี้
บางคนเรียกอาการนี้ว่าแพ้ทาง ...
กลับไปคิดไปค้นใคร่ครวญมากมายไม่เจอคำตอบ
ที่ผ่านมานั้นไม่คิดอยากรู้ที่มา และไม่เคยหาเหตุผลใดๆ
แค่ตัวฉันเพียงรู้ ว่าเป็นสุขใจเมื่ออยู่เคียงกัน ~*
แต่เมื่อเวลาผ่านไป Mode 1 มันยืนระยะไม่ได้นาน
มนุษย์จะเริ่มเข้า Mode 2 คือวัดปริมาณและเหตุผล
เมื่อนั้นคนที่เคยๆ รักกันมากๆ
วันหนึ่งก็อาจจะไม่รักกันแล้วก็ได้
ตอนที่ดาราคนหนึ่งออกมาพูดว่า หมด Passion
มันจึงไม่ได้เป็นคำพูดเล่นๆ มันมีโอกาสที่จะเป็นได้
เมื่อ Mode 1 บอกว่ารัก
พอ Mode 2 ถามว่ารักเท่าไหร่หละ
พอที่จะเสียสละสิ่งนี้ได้ไหม เค้ามีคุณค่ามากพอหรือเปล่า
บางครั้งการหาคำตอบของ Mode 2 ก็ใช้เวลา
งานวิจัยหนึ่งของ ต่างประเทศเรื่องการตกหลุมรักบอกว่า
Mode 1 อาจจะอยู่ได้นานถึง 6 เดือน ถึง 2 ปีเลยทีเดียว
หลังจากนั้น Mode 2 ล้วนๆ
และเหตุผลหลักที่ Mode 2 มักจะบอกว่าทำไมเลือกคนนี้
คือ การที่เราเปลี่ยนความรัก เป็นความผูกพัน ไม่ได้สำคัญมากที่สุด จนทิ้งทุกอย่างได้แบบ Mode 1 แต่การมีเธออยู่ข้างๆ มันก็ดีกว่าที่เราต้องแยกจากกัน
การทำงานของสมองอาจจะไม่โรแมนติกเหมือนนิยายที่เราดู หรือหนังสือที่เราอ่าน ว่ามนุษย์จะรักกันแบบสุดหัวใจ โดยไม่มีเงื่อนไข ...
แต่ในโลกความเป็นจริงคือ
มนุษย์ชั่งตวงวัดอยู่ตลอดเวลาแบบไม่รู้ตัว ...
แต่ถ้า Mode 2 ยังยืนยันว่าเรายังคงต้องอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเหตุผลใดๆ ก็ตาม มันก็แปลได้ว่า เรายังสำคัญ โดยที่ทั้ง 2 คนได้ไตร่ตรองมาดีแล้ว แบบมีสติครบถ้วนสมบูรณ์
ไม่โรแมนติกเท่าไหร่ แต่ก็ยังสำคัญแหละเนอะ ...
โฆษณา