8 ต.ค. 2020 เวลา 06:32 • การตลาด
ส่วนผสม 4 อย่าง ที่คุณต้องย้ายจาก Mass Communication
แบรนด์ต้องสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นคำพูดง่ายๆ แต่สร้างแรงกดดันเพื่อผลักดันการเจริญเติบโตที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลที่เศรษฐกิจหยุดชะงักและมีความไม่แน่นอน
ผู้บริโภคมีความคาดหวังสูง พวกเขาเข้าใจการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่มีคุณค่ากับแบรนด์ และพวกเขากระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมในการแลกเปลี่ยน เพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่ดีขึ้นของลูกค้าเอง นักการตลาดถูกขอให้ผลักดันการเติบโตให้กับแบรนด์ของตน ในขณะที่ต้องลดต้นทุน และพิสูจน์ ROI (Return On Invesment) ทางการตลาดในระยะเวลาอันสั้น ทุกสิ่งเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรม ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค
ที่ Epsilon ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเอเจนซี่ Publicis Groupe เราเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่า นักการตลาดจะต้องก้าวไปข้างหน้า เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนประสิทธิภาพของแบรนด์ โดยไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มหรือผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่งมากนัก และเปลี่ยนจากการใช้ Mass Communication ไปเป็นการปรับสื่อให้เข้ากับบุคคลจำนวนมาก (Mass Personalization) ด้วยส่วนผสมหลัก 4 ประการ ได้แก่
1. Knowledge (Data)
ไม่ว่าข้อมูลของ First-Party Data จะมีมากมายเพียงใด นักการตลาดส่วนใหญ่ก็ยังมีมุมมองที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับลูกค้าของตน ตัวอย่างเช่น กลุ่มโรงแรมจะรู้ว่า มีคนเข้าพักที่โรงแรมของตนเมื่อใด พวกเขาพักด้วยแบรนด์ใด และเข้าพักบ่อยเพียงใด แบรนด์สามารถทราบถึงความชอบส่วนตัวของแขก และวิธีที่พวกเขาโต้ตอบกับแบรนด์ผ่านช่องทางและอุปกรณ์ต่างๆ
แม้จะมีข้อมูลจาก First-Party Data ทั้งหมดนี้ แต่โรงแรมก็สามารถดูชีวิตของแขกคนนั้นได้เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น เพื่อให้เกิดความเกี่ยวพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แบรนด์ต้องมีมุมมองของแต่ละบุคคล ที่เชื่อมโยงข้อมูลของ First-Party Data และ Third-Party Data ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาเห็นกิจกรรมของแต่ละบุคคลที่ไม่เกี่ยวกับแบรนด์ สิ่งสำคัญคือ แบรนด์ไม่เพียงแต่ได้รับมุมมองที่มีความละเอียดสูงของลูกค้าและทุกคนที่มีความสำคัญต่อแบรนด์ของตนเท่านั้น แต่ข้อมูลจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแหล่งที่มา และได้รับการปกป้องอย่างมีจริยธรรม
2. Identity
เรามอบหมายให้ Forrester Consulting ทำการศึกษาเกี่ยวกับการแก้ปัญหาของการสร้างอัตลักษณ์ และพบว่า นักการตลาดที่สร้างอัตลักษณ์ของแบรนด์ไม่ชัดเจน ตัวตนไม่ชัด ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ เช่น การเข้าหาลูกค้าที่ไม่ถูกต้อง (45%) ถ้าเราไม่รู้จักตัวเองก็ไม่รู้ว่าใครคือลูกค้าของเรา การสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายทางการตลาด (42%) และการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ไม่เกี่ยวข้อง (38%) พื้นฐานอัตลักษณ์ที่แข็งแกร่ง สามารถช่วยให้แบรนด์หลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ได้
นอกจากนี้ ยังช่วยให้นักการตลาดทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวลูกค้าและผู้ที่มีโอกาสจะเป็นลูกค้าในระดับส่วนบุคคลได้ดีที่สุด และรักษาข้อมูลไว้ตลอดเวลาเพื่อใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการตอบวัตถุประสงค์ทางการตลาด ความแข็งแกร่งทางด้านอัตลักษณ์ ยังช่วยให้คุณสามารถทำนาย เรียนรู้ คาดการณ์สัญญาณของผู้บริโภค ที่นำไปสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจ
3. Machine Learning
แบรนด์ต้องสามารถคิดและทำ เพื่อให้ประโยชน์และแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ด้วยตัวเอง พวกเขาต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากดำเนินการแบบเรียลไทม์ ปรับเทียบใหม่อย่างต่อเนื่อง และอัปเดตข่าวสารตามรูปแบบของพฤติกรรมที่ผู้คนทำในปัจจุบัน ความคิดสร้างสรรค์จะต้องเป็นแบบไดนามิกตามขนาดของกลุ่มเป้าหมาย ยิ่งเป็นกลุ่มเล็กมากเท่าไหร่การทำตลาดก็ยิ่งได้ผลดีมากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งขับเคลื่อนโดย Machine Learning ช่วยขจัดสิ่งที่ไม่น่าสนใจ และช่วยให้แบรนด์ต่างๆ ได้เรียนรู้สิ่งที่สำคัญ และนำกลับเข้าสู่กระบวนการสร้างสรรค์
ไม่มีเรื่องอะไรที่ตรงประเด็นมากไปกว่า การได้รับข้อความส่งเสริมการขายเกี่ยวกับโรงแรมที่คุณเพิ่งจอง หรือการท่องเที่ยวที่เพิ่งสิ้นสุดลง อันที่จริงไม่มีอะไรจะสร้างความเสียหายให้กับแบรนด์ได้มากไปกว่าที่ลูกค้ามารู้ที่หลัง ว่าได้รับข้อเสนอในราคาที่ถูกกว่า นั่นเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีของลูกค้า หากแบรนด์ไม่มีความสามารถในการปรับเปลี่ยน เปรียบเทียบข้อความใหม่แบบเรียลไทม์ให้ตรงตามความต้องการ ประสบการณ์ของลูกค้าได้รับ ก็จะพังทลายลง
4. Activation
แบรนด์ต้องมีความสามารถที่จะสื่อสารได้ในทุกช่องทาง และสื่อที่เข้าถึงแต่ละบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างชัดเจน มองหาพันธมิตรที่ช่วยแก้ปัญหาเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังกำหนดให้พวกเขามีแนวคิดด้านการบริหารจัดการเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพ ให้เกิดผลลัพธ์ ซึ่งทำหน้าที่ได้มากกว่าเป็นแค่ผู้ขายบริการ
ท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถของแบรนด์ในการควบคุมความสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพนั้น เป็นสมการง่ายๆ นั่นคือ Data + Identity + Machine Learning + Activation เป็นวิธีที่คุณเปลี่ยนจากการ Mass Communication ไปสู่ Mass Personalization แม้ว่าจะเป็นสูตรง่ายๆ แต่ปริมาณข้อมูลที่จำเป็นในการทำอย่างถูกต้องเช่นนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดและความซับซ้อนของเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม เมื่อแบรนด์ได้รับความสมดุลที่เหมาะสม จะไม่มีกำแพงระหว่างแบรนด์กับลูกค้า
หมายเหตุ :
First-Party Data คือข้อมูลที่บริษัทนั้นจัดเก็บโดยตรงจากลูกค้า
Second-Party Data เป็นข้อมูลที่บริษัทได้มาจากบริษัทที่จัดเก็บข้อมูล เพื่อขายให้เป็นข้อมูลในการซื้อสื่อโฆษณา
Third-Party Data เป็นการเก็บข้อมูลทางอ้อม หรือรวบรวมมาจากแหล่งต่าง เพื่อนำขายให้คนซื้อสื่อโฆษณาเพื่อทำการโฆษณาต่อไป
Source :
Create : NokCB - Branding, Corporate Branding, Communications Branding & Consultant
============================
ติดตามทุกเรื่องเกี่ยวกับ การสร้างแบรนด์ การตลาด การโฆษณา ธุรกิจ ดีไซน์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ แบบลึกซึ้ง สนุกสนานได้ที่...
Facebook : BirdBrand
Blockdit : BirdBrand & Nok Creative Branding
โฆษณา