8 ต.ค. 2020 เวลา 11:12 • หุ้น & เศรษฐกิจ
WEALTH : ชาวอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุด 50 คนแรกมีทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่าเท่ากับ 165 ล้านคนที่ยากจนที่สุด ขณะที่ชาวอเมริกัน 10% แรกที่ร่ำรวยที่สุดถือหุ้นในตลาดอยู่ถึง 88% ของทั้งหมด และคิดเป็น 69% ของทรัพย์สินทั้งประเทศ
ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าชาวอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุด 50 คนแรกถือครองความมั่งคั่งเกือบเท่ากับ 50% ของสหรัฐฯ เนื่องจาก COVID-19 ได้เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจไปสู่รูปแบบที่ให้รางวัลกับมหาเศรษฐีกลุ่มเล็ก ๆ อย่างไม่สมส่วนเมื่อเทียบกับคนยากจน
ข้อมูลใหม่จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งเป็นข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับความมั่งคั่งของสหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงตามแต่ละเชื้อชาติอายุและชนชั้น ในขณะที่คนอเมริกัน 1% แรกมีความมั่งคั่งสุทธิรวมกันถึง 34.2 ล้านล้านดอลลาร์ แต่คนที่ยากจนที่สุด 50% ของประเทศ (ประมาณ 165 ล้านคน) มีความมั่งคั่งสุทธิรวมกันเพียง 2.08 ล้านล้านดอลลาร์หรือ 1.9% ของความมั่งคั่งในภาคครัวเรือนทั้งหมด
ขณะเดียวกัน 50 คนที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศมีมูลค่าเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์ตามดัชนี Bloomberg Billionaires Index ซึ่งเพิ่มขึ้น 3.39 แสนล้านดอลลาร์จากต้นปี 2020
COVID-19 ทำให้ความไม่เท่าเทียมในสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้นโดยการสูญเสียงานเกิดขึ้นอย่างมากในกลุ่มพนักงานภาคบริการที่มีค่าจ้างต่ำ ส่วนไวรัสก็ได้แพร่กระจายและคร่าชีวิตคนผิวสีอย่างไม่สมส่วนเมื่อเทียบกับคนผิวขาว และในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญระดับกลางขึ้นไปจำนวนมากกำลังทำงานจากที่บ้านของพวกเขาพร้อมกับเฝ้าดูบัญชีการเกษียณอายุของตนเองที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น หลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และ FED ได้ทำการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาด
1
สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งของความไม่เท่าเทียมกันของความมั่งคั่งก็คือ : คนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ได้รับประโยชน์จากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น โดย 90% ของพอร์ตการลงทุนที่มีมูลค่าน้อยที่สุดในตลาดหุ้นได้มีมูลค่าลดลงมาเกือบ 2 ทศวรรษแล้ว เทียบกับ 21.4% ที่มีมูลค่าลดลงในปี 2002 ขณะที่พอร์ตการลงทุนของชาวอเมริกันชนชั้นกลางขึ้นไปมีเพียง 10% เท่านั้นที่มีมูลค่าลดลง ขณะที่อีก 50% ในครึ่งล่างก็เช่นกัน
(กล่าวคือ ยิ่งจนเท่าไหร่ก็ยิ่งได้รับผลกระทบมากขึ้นเท่านั้น)
บุคคลเพียง 1% ที่ร่ำรวยที่สุดกำลังเป็นเจ้าของหุ้นมากกว่า 50% ในบริษัทและกองทุนรวมทั้งหมดในประเทศ ขณะที่ข้อมูลของ FED แสดงให้เห็นว่า 9% ถัดไปของคนที่ร่ำรวยที่สุดกำลังเป็นเจ้าของมากกว่า 1 ใน 3 ของ Position ในตลาดที่ถือหุ้นอยู่ ซึ่งทั้งหมดนี้หมายความว่า 10% แรกของคนอเมริกันที่รวยที่สุดถือหุ้นอยู่มากกว่า 88% ของทั้งประเทศ
นอกจากนี้ ข้อมูลของ FED ยังแสดงให้เห็นว่าคน Millennial ซึ่งเกิดระหว่างปี 1981 ถึง 1996 ควบคุมความมั่งคั่งอยู่เพียง 4.6% ของสหรัฐฯ แม้ว่าจะเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ที่มีจำนวนแรงงานประมาณ 72 ล้านคน และส่วนแบ่งของหุ้นที่ถือครองโดยคนอเมริกันผิวดำมีขนาดไม่เติบโตขึ้นเลยจากเมื่อ 30 ปีก่อน
เช่นเดียวกับภาพรวมของทั้งประเทศ ความมั่งคั่งของหนุ่มสาวชาวอเมริกันกระจุกตัวอยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ขณะที่ 3 คนซึ่งเกิดในยุค Millennial คือ Mark Zuckerberg ผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook Inc. รวมถึง Dustin Moskovitz และ Lukas Walton ซึ่งเป็นทายาทของ Walmart Inc. กำลังควบคุมเงิน 1 ในทุก ๆ 40 ดอลลาร์ที่ถือครองโดยกลุ่มคนรุ่นเดียวกันทั้งหมด
"The pandemic is further widening divides in wealth and economic mobility," Fed Chair Jerome Powell said Tuesday, warning that the country’s recovery will weaken without more government aid. "A long period of unnecessarily slow progress could continue to exacerbate existing disparities in our economy."
"การแพร่ระบาดของโรคกำลังขยายวงกว้างขึ้นในการแบ่งความมั่งคั่งและความคล่องตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมเตือนว่าการฟื้นตัวของประเทศจะอ่อนแอลงหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลมากขึ้น ขณะที่ความก้าวหน้าที่ล่าช้าโดยไม่จำเป็นในระยะเวลานาน อาจทำให้ความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ในระบบเศรษฐกิจของเรารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ" Jerome Powell ประธาน FED กล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
แต่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากคำกล่าวของ Powell ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็ได้ประกาศว่าเขาสั่งให้ผู้เจรจาของทำเนียบขาวยุติการเจรจากับสมาชิกพรรค Democrat เกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่จนกว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน
ผู้ที่ถือครองหุ้นของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งได้รับผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน การช็อปปิ้ง ความบันเทิง และการเข้าสังคมออนไลน์ กำลังเป็น 1 ในกลุ่มคนได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากเศรษฐกิจในช่วงการระบาดของ COVID-19 โดยผู้นำในกลุ่มนี้ก็คือ Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon.com โดยความมั่งคั่งของเขาที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอยู่แล้วได้เพิ่มขึ้นถึง 64% ในปีนี้เป็น 1.885 แสนล้านดอลลาร์
คนอเมริกันผิวขาวถือครองทรัพย์สิน 83.9% ของประเทศเทียบกับการถือครองเพียง 4.1% ในคนผิวดำ ขณะที่ส่วนแบ่งของชาวอเมริกันผิวขาวลดลงบ้างเล็กน้อยเนื่องจากประเทศมีความหลากหลายทางเชื้อชาติมากขึ้น แต่โดยรวมแล้วคนผิวดำก็ยังมีสัดส่วนการถือครองไม่เพิ่มขึ้นเลยนับตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา
ในบรรดาชาวอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุด 25 คนแรก มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ใช่คนผิวขาวซึ่งก็คือ : Eric Yuan ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Zoom Video Communications Inc. ซึ่งมีความมั่งคั่งสุทธิเพิ่มขึ้นเกือบ 7 เท่าในปีนี้เป็น 2.42 หมื่นล้านดอลลาร์
ผู้คนในยุค Baby Boomers คือผู้ที่ถือครองความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ด้วยเงิน 59.6 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งคิดเป็น 2 ของ Generation X ที่ถือครองอยู่ 28.5 ล้านล้านดอลลาร์และคิดเป็นมากกว่า 10 เท่าของคนรุ่น Millennial ที่ถือครองอยู่ 5.2 ล้านล้านดอลลาร์
ข้อมูลของ FED แสดงให้เห็นว่า Gen X ซึ่งเกิดระหว่างปี 1965 ถึง 1980 มีความก้าวหน้าในการสร้างความมั่งคั่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยพวกเขาได้เพิ่มมูลค่าสุทธิโดยรวมเป็น 2 เท่าตั้งแต่กลางปี ​​2016
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่กลุ่มอายุน้อยจะมีฐานะยากจนกว่าผู้สูงอายุอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถึงกระนั้นคนรุ่น Millennial ก็ยังคงล้าหลังกว่าที่คนรุ่นก่อน ๆ อยู่ในวัยเดียวกัน โดยในปี 1989 ที่อายุเฉลี่ยของคนรุ่น Baby Boomer คือ 34 ปี แต่ในตอนนั้นกลับพบว่าคนรุ่นนี้ควบคุมความมั่งคั่งมากกว่า 21% ของสหรัฐอเมริกา และเมื่อเทียบกับคนรุ่น Millennial ซึ่งปัจจุบันนี้มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 32 ปี ก็พบว่าพวกเขาจะต้องเพิ่มความมั่งคั่งของตนเองขึ้นอีก 4 เท่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าหากต้องการมีความมั่งคั่งโดยรวมเท่ากับคนรุ่น Boomer ในช่วงอายุเดียวกัน
คนงานอายุน้อยและรายได้ต่ำมีความหวังอันริบหรี่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อค่าจ้างเฉลี่ยเริ่มสูงขึ้นเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ แต่อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ได้เกิดการว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งคุกคามความก้าวหน้านี้ และทำให้สหรัฐฯ กลับไปสู่แนวโน้มเดิมในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อความมั่งคั่งไหลเข้าสู่กลุ่มคนในจุดสูงสุดอย่างต่อเนื่องโดยไม่สมสัดส่วน
FED ประเมินว่าครัวเรือนในสหรัฐฯ 10% แรกถือครองทรัพย์สิน 69% ของความมั่งคั่งของประเทศหรือ 77.3 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเพิ่มขึ้นจาก 60.9% ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ขณะที่ 1% แรกถือครองอยู่ 30.5% ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 23.7% ในปลายปี 1989 ขณะที่ส่วนแบ่งของคนครึ่งล่างลดลงจาก 3.6% เป็น 1.9%
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่
อยากลงทุน อยากมีเงินเก็บอย่างจริงจัง แต่ไม่มีพื้นฐาน World Maker มีคอร์สเรียนดี ๆ มาแนะนำให้ครับ รายละเอียดคลิกเลย !!
โฆษณา