14 ต.ค. 2020 เวลา 05:30 • การเมือง
ย้อนดูจุดเริ่มต้นสู่นักเคลื่อนไหว “เพนกวิน-พริษฐ์” ไม่มีอะไรใหญ่กว่าเจตจำนงประชาชน
- เริ่มต้นจากการศึกษา สู่การเรียกร้องประชาธิปไตย
- ไม่เคยกลัวทุกครั้งที่เคลื่อนไหว ครอบครัวเคารพการตัดสินใจ
- ต่อสู้อย่างมีหวัง ชัยชนะอยู่อีกไม่ไกล ขอให้รอดูเซอร์ไพรส์
วันนี้ (14 ตุลาคม) แล้ว ที่จะมีการรวมตัวชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ซึ่งพวกเขาเหล่าแกนนำและผู้ปราศรัยเรียกการรวมตัวครั้งนี้ว่า “คณะราษฎร” ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นอีกครั้งหลังมีการแถลงข่าวไปเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยวันนั้นมีแถลงการณ์ย้ำข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี, ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ และสุดท้ายคือการปฏิรูปสถาบัน รวมถึงย้ำว่าจะมีการทวงคืนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยซึ่งเป็นของประชาชน
ในวันนั้น เราไม่ได้เห็น เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งเจ้าตัวเป็นหนึ่งในแกนนำคนสำคัญที่เรามักเห็นหน้าค่าตาในเวทีเสมอ เนื่องจากอยู่ระหว่างเดินสายไปตามเวทีต่างๆ ในพื้นที่ต่างจังหวัด แต่เราได้ติดต่อพูดคุยกับ เพนกวิน เพื่อสอบถามตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเขาว่า เป็นมาอย่างไรก่อนที่จะเข้าสู่เส้นทางการเรียกร้องประชาธิปไตยเฉกเช่นทุกวันนี้
เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์
ตัวตนของ “เพนกวิน” จุดเริ่มต้นวันนั้นสู่แกนนำในวันนี้
เพนกวิน เล่าว่า เป็นคนสนใจการเมืองมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แต่เรื่องที่ชอบจริงๆ เป็นชีวิตจิตใจคงจะไม่พ้นวิชาประวัติศาสตร์ ชอบศึกษาประวัติศาสตร์ไทย และชอบท่องเที่ยวในเมืองเก่าโบราณสถาน เริ่มทำกิจกรรมตั้งแต่สมัยยังเรียนมัธยม ซึ่งในความเป็นนักเรียนก็ถูกสังคมกดขี่แทบจะรอบด้านอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการโดนผู้ใหญ่รอบตัว ครูบาอาจารย์ต่างๆ ในการที่จะปิดกั้นครอบงำเรา จึงรู้สึกว่าต้องการที่จะแสดงจุดยืนและต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของเรา พอเริ่มตัดสินใจเริ่มทำกิจกรรมตอนนั้นมาเรื่อยๆ จนถึงช่วงการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ได้เห็นภาพมากขึ้นว่าการเมืองมันเชื่อมโยงกับชีวิตเราอย่างไร เดิมทีเราเคลื่อนไหวในประเด็นการศึกษา จึงทำให้สนใจและเคลื่อนไหวเรื่องการเมืองมาจนถึงทุกวันนี้
จุดเปลี่ยนที่ตัดสินใจออกมาเคลื่อนไหว
เชื่อว่าทุกคนก็คงจะเคยผ่านมา ทั้งเรื่องการแต่งกาย ตัดผม เถียงครูอาจารย์ไม่ได้ แต่ถามว่าจุดเปลี่ยนเหตุการณ์ไหนที่เป็นไกปืนเลย คือ เราเรียนในห้องเรียนก็ควรจะมีการแลกเปลี่ยนถกเถียงกัน ตอนนั้นผมอยู่ ม.4 ขณะเรียนวิชาภาษาไทย ถกเถียงกับอาจารย์เรื่องการตีความกวีบทหนึ่ง ซึ่งก็ดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คนเราก็ถกเถียงกันได้ ตีความต่างกันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าประเด็นคืออาจารย์ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องปกติ อาจารย์แกเป็นคนเก่าแก่ มองว่าเด็กมีหน้าที่นั่งฟังอย่างเดียว ก็เลยชี้หน้าด่าเรากลางห้องเรียน ใช้คำว่า เด็กสมัยนี้ใจต่ำเถียงครูบาอาจารย์ จึงทำให้รู้สึกว่าต้องออกมาเคลื่อนไหว
เรื่องแรกที่เรียกร้อง ชูป้ายต่อหน้า “บิ๊กตู่”
ตอนนั้นออกมารณรงค์ต่อต้านค่านิยม 12 ประการ วิชาหน้าที่พลเมืองแบบ คสช. ซึ่งสมัยก่อนรัฐประหารก็จะสอนกฎหมายเบื้องต้น การเมืองการปกครองเบื้องต้น ประเทศไทยปกครองแบบไหน อย่างไร รัฐสภาคืออะไร ทีนี้พอเป็นสมัย คสช. กลับมาให้ท่องค่านิยม 12 ประการ ซึ่งไม่มีประโยชน์ และเรามองว่าคือการล้างสมองเด็ก ก็เลยออกมาต่อต้าน โดยตอนนั้นอยู่ในกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท มีสมาชิกหลายคน และขยายกลุ่มออกไปเรื่อยๆ จนกระบวนการเคลื่อนไหวมีคนจำนวนมากขึ้นเหมือนเช่นตอนนี้
หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2558 หรือ 5 ปีก่อน เป็นวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มาปาฐกถาในงานวันต่อต้านคอร์รัปชันแห่งชาติ ซึ่งนายกฯ เปิดโอกาสให้ซักถาม เพนกวิน ซึ่งขณะนั้นยังศึกษาอยู่ในระดับ ม.ปลาย และเป็นเลขาธิการกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ได้ลุกขึ้นเดินไปหน้าเวทีชูป้ายพร้อมกับตะโกนถามนายกฯ เพื่อขอคำอธิบาย เรียกร้องให้ลดการเรียนการสอนเรื่องหน้าที่พลเมืองลง และขอให้เพิ่มการสอนวิชาปรัชญาแนวคิด รวมถึงเสนอให้สอนวิชาประวัติศาสตร์ด้วยเนื้อหาที่หลากหลาย ไม่เน้นชาตินิยม ขณะนั้นทีม รปภ.รีบเข้าไปล็อกตัวเอาไว้ทันที ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ก็พูดบนเวทีบอกกับทีม รปภ.ว่า “ให้ใจเย็นๆ เขายังเด็กอยู่ ดูแลเขาด้วย” พร้อมกับถามว่า เขาร้องเรื่องอะไรให้รับเรื่องไว้
ครอบครัวว่าอย่างไร กลัวไหมทุกครั้งที่ออกมาเคลื่อนไหว
ครอบครัวก็เป็นห่วงตามปกติของคนเป็นพ่อเป็นแม่ แต่ว่าเขาก็เข้าใจ สนับสนุนสิ่งที่เราทำและเคารพการตัดสินใจ ขณะที่เรื่องการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ มองว่าการใช้กฎหมายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ใครจะใช้ก็ใช้ไป เพราะส่วนตัวก็ทราบดีว่าการใช้กฎหมายไม่ได้เป็นไปด้วยความยุติธรรม ทุกครั้งที่ถูกกลั่นแกล้งด้วยกฎหมายก็ขอให้เป็นประจักษ์พยานเป็นหลักฐานว่าระบบความยุติธรรมไทยสูญสิ้นไปแล้ว และตนเองไม่ได้รู้สึกกลัว
ส่วนเรื่องเจ้าหน้าที่ก็มาถึงที่พักย่านรังสิตตลอด ยิ่งช่วงนี้ใกล้การชุมนุม 14 ตุลา ก็มารายวัน มีการเข้ามาแสดงตัวบ้างว่าเป็นตำรวจ แต่ก็ไม่ได้เข้ามาค้นบ้านหรืออะไร ส่วนตัวมองว่าที่มาแสดงตัวกะให้เรากลัว ซึ่งเราจะเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อ เป้าหมายของเขาต้องการทำให้เราหยุด และถ้าเราหยุดเขาจะชนะ จะได้ตามสิ่งที่เขาต้องการ เราจะไม่ยอม ยืนยันว่าไม่มีผู้มีอำนาจติดต่อมาปรามเป็นการส่วนตัว และถึงต่อให้มีก็คงจะไม่รับโทรศัพท์
ตั้งเป้าชัยชนะ ต้องไม่มีอำนาจนอกระบบแทรกแซงได้อีก
ชัยชนะที่คาดหวัง ก็จนกว่าเราจะมีประชาธิปไตยที่ไม่มีอำนาจนอกระบบแทรกแซงได้อีก ซึ่งในการชุมนุมวันที่ 14 ตุลาคมนี้ จะร่วมปราศรัยบนเวทีอย่างแน่นอน โดยยังย้ำจุดยืนเดิมตามที่ตนเองและทนายอานนท์ นำภา เคยประกาศไว้ ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบัน เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก ส่วนที่หลายคนมองว่าเป็นการล้มล้างสถาบันนั้น เพนกวิน ตอบว่า เราไม่ได้ล้มล้างแน่นอน แล้วก็ชัดเจนว่าเป็นการปฏิรูป ปฏิรูปก็คือปฏิรูป ปฏิรูปแปลว่าแก้ไขให้ดีขึ้น
“อยากให้ทุกคนต่อสู้อย่างมีความหวัง ชัยชนะของเรายังอยู่ ถึงแม้จะยังมาไม่ถึง แต่ก็อีกไม่ไกล ไม่มีอะไรที่จะใหญ่เกินกว่าเจตจำนงของประชาชน และถ้าการแก้รัฐธรรมนูญไม่เป็นดังหวัง ก็จะเป็นเงื่อนไขให้มีการชุมนุมเคลื่อนไหวที่ใหญ่ขึ้นไปอีก ยิ่งฝ่ายรัฐบาลตีมึนไม่ยอมรับฟังเสียงประชาชน ประชาชนก็ยิ่งเคลื่อนไหวมากขึ้นเป็นธรรมดา” จะมีเซอร์ไพรส์หรือไม่? “รอดูเลยครับ”
ขณะที่ต่อมาทางแกนนำกลุ่มคณะราษฎรก็ออกมาประกาศว่า ในเวลา 14.00 น. วันที่ 14 ตุลาคม จะมีการรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากนั้น 16.00 น. จะเคลื่อนมวลชนออกจากจุดดังกล่าวโดยมีเป้าหมายคือทำเนียบรัฐบาล หากเคลื่อนผ่านไปได้ด้วยดีก็จะตั้งเวทีปราศรัยและค้างคืนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยรวมถึงขับไล่นายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม ในช่วงก่อนถึงวันชุมนุมพบว่ามีการเรียกร้องให้สถานศึกษาประกาศหยุดเรียนในวันที่ 14-16 ตุลาคม เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพแสดงออกด้วย
ทางด้าน บิ๊กตู่ ก็ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องนี้ให้ไปถามตำรวจ และส่วนตัวไม่ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อยากให้เกิดความเสียหายและทำลายความเชื่อมั่นประเทศ เพราะถ้าเสียหายตอนนี้คงจะเรียกคืนกลับมายาก ส่วน บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็บอกกะเกณฑ์เอาเอง เชื่อว่าคนจะมาไม่มาก และฝ่ายความมั่นคงก็ดูแลอยู่แล้วตามแผนเดิม
ล่าสุดสดๆ ร้อนๆ เมื่อวานที่ผ่านมา ไผ่ ดาวดิน ตั้งเต็นท์และปราศรัยบนรถเครื่องขยายเสียงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยหวังว่าจะค้างคืนมาจนถึงกิจกรรมในวันนี้ แต่แล้วก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนเข้ารวบตัว รวมถึง แอมมี่ The Bottom Blues และผู้ชุมนุมคนอื่นๆ ไปที่ ตชด.ภาค 1 รวมถึงแจ้งหลายข้อหา จนกระทั่ง เพนกวิน นั้นออกมาเคลื่อนไหวนำมวลชนมาขอคำตอบจากตำรวจที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเรียกร้องให้ปล่อยตัวทุกคนที่ถูกจับตัวไป และบางส่วนมีการสาดสีใส่ป้าย รวมถึงพ่นสีใส่ประตูรั้วของสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย โดยระบุว่าเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ก่อนจะประกาศช่วงกลางดึกว่า คณะราษฎร เลื่อนเวลานัดรวมพลเป็น 08.00 น. หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพื่อช่วงชิงพื้นที่คืน
ในท้ายที่สุด ม็อบที่เรียกตัวเองว่า “คณะราษฎร” จะเดินเกมไปอย่างไร จะยืดเยื้อไหม จะมีเซอร์ไพรส์อะไร จะเดินหน้าบนถนนสายประชาธิปไตยไปสู่จุดมุ่งหมายที่เรียกร้องได้หรือไม่ การแก้รัฐธรรมนูญในส่วนของรัฐสภาจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้า คงต้องติดตามถนนเส้นนี้ไปพร้อมๆ กัน...
ผู้เขียน : กิณรีสีงอังกาบ
กราฟิก : Supassara Taiyansuwan
👇 อ่านบทความต้นฉบับ 👇
โฆษณา