19 ต.ค. 2020 เวลา 12:25 • การเมือง
ข้อเสนอทางออกประเทศ เปิดเวทีฟังม็อบ ก่อนสายเกินแก้ ยิ่งเด็ดดอกไม้ยิ่งบาน
การออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล กระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ของประเทศและเมืองกรุง เกรงว่าไฟขัดแย้งจะลุกลามบานปลาย และสายเกินแก้ ผู้เกี่ยวข้องต้องเร่งทำทุกวิถีทาง หาทางออกประเทศให้ได้อย่างสันติวิธี หนึ่งในนั้นต้องใช้เวทีสภา ในการแก้ปัญหาประเทศ ด้วยการเปิดประชุมวิสามัญเป็นการเร่งด่วน ตามข้อเสนอของหลายฝ่าย
ในการเปิดประชุมสมัยวิสามัญ สามารถทำได้ 2 กรณี 1. คณะรัฐมนตรี เสนอพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมตามมาตรา 122 และ 2. ส.ส.หรือ ส.ว. จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 เข้าชื่อเสนอเปิดประชุมวิสามัญ ตามมาตรา 123 ซึ่งประธานสภาฯ จะเตรียมความพร้อมในทันที หากมีการเรียกประชุมสมัยวิสามัญ
เพราะปัญหาบ้านเมืองรอช้าไม่ได้ และในส่วนข้อเสนอมุมมองของนักวิชาการ “รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส” คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก กล่าวกับ “ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์” ว่า ณ ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤติแล้ว เพราะมีประชาชน นักเรียน นักศึกษา และเยาวชน ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส
เพราะฉะนั้นต้องหาทางคลี่คลาย เริ่มจากประการแรก เมื่อเราอยู่ในกลไกระบอบประชาธิปไตย จะต้องเปิดสภาฯ รับฟังปัญหาของทุกฝ่าย โดย ส.ส. ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ยึดโยงจากประชาชน จะเข้าใจความรู้สึกของผู้คน จะสามารถเสนอแนวทางแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากกว่า ส.ว. ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน ต้องรีบดำเนินการ ไม่ต้องรออีก 10 วัน ในการเปิดสภาฯ หากมีการสูญเสีย รัฐบาลต้องรับผิดชอบ
“ทำไมเปิดประชุมสภาฯ ต้องใช้เวลาอีก 10 วัน มองว่าเป็นการยื้อเวลามากกว่า ทั้งๆ ที่สถานการณ์มันรอไม่ได้แล้ว ทำไมต้องอ้างวันหยุด ทำไมเปิดสภาฯ จะเปิดไม่ได้ ทั้งที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน ในการให้ ส.ส. เข้ามาแก้ปัญหา แสดงออกในฐานะตัวแทนประชาชน แล้วค่อยๆ มาว่ากัน ไม่เช่นนั้นอาจสายเกินแก้ ทำให้สงสัยว่า ทำไมรัฐบาลออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตอนตี 4 ได้อย่างรวดเร็ว”
ข้อเสนอต่อไป เมื่อมีการเปิดสภาฯ แล้ว และผู้ชุมนุมมีข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก จะต้องพึงกระทำตามด้วยการลาออก ไม่ควรเล่นเกม และปล่อยให้ที่ประชุมสภาฯ ลงมติเลือกให้กลับมาใหม่ โดยร่วมกับ ส.ว.ลงมติโหวต ให้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง ซึ่งจะไม่มีความชอบธรรม จึงขอแนะนำตัดไฟตั้งแต่ต้นลมด้วยการลาออก และใช้กลไกสภาฯ เลือกบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ตามแคนดิเดตเดิม โดยไม่ให้ ส.ว.ร่วมโหวต เนื่องจากประชาชนไม่พอใจที่จะให้ ส.ว.ร่วมโหวต ควรเป็นกระบวนการเฉพาะ ส.ส.เท่านั้น และ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ควรได้รับสิทธิ์ให้มีการโหวตเข้ามาอีก
ขั้นตอนจากนั้นเมื่อได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ควรตั้ง ส.ส.ร. เพื่อแก้รัฐธรรมนูญอย่างเร่งด่วน หากเริ่มต้นจากศูนย์ จะช้าเกินไป โดยให้นำรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งเป็นฉบับประชาชน มาเป็นต้นแบบ หากมีประเด็นอะไรต้องปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยก็ต้องดำเนินการ และเมื่อแก้รัฐธรรมนูญเสร็จ ให้ยุบสภา นำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ตามวิถีสากล นอกจากนี้ระหว่างเปิดเวทีให้ ส.ส.แก้ปัญหา ต้องหยุดการสลายการชุมนุม โดยคนเป็นผู้ใหญ่ ควรเปิดใจให้โอกาสเยาวชนแสดงออก อย่ามีการสลายม็อบ และใช้ความรุนแรง
“ไม่ควรทำอะไรเค้า เพราะเมื่อเด็กมาชุมนุมแล้ว พวกเขารู้เวลา และยุติชุมนุมในเวลาอันเหมาะสม เป็นการชุมนุมอย่างสงบ ไม่มีอาวุธ ผู้ใหญ่ควรเปิดใจให้เด็ก และประชาชน ได้ออกมาแสดงออก และระหว่างนี้ให้สภาฯ ดำเนินการไปตามข้อเสนอเรียกร้อง อย่าลืมว่าตอนนี้ทั่วโลกมองไทยอยู่ เพราะมีผู้ชุมนุมอายุน้อยที่สุดในโลก ใส่กระโปรง กางเกงขาสั้น เป็นนักเรียนมัธยม มาร่วมชุมนุม จนมีความเข้าใจ และรู้สึกว่านักเรียนไทยตื่นตัวทางการเมือง แต่กลับถูกสลายการชุมนุม จนรัฐบาลถูกประณาม จึงขอให้เป็นบทเรียน ยิ่งม็อบอายุน้อย ก็ควรเปิดโอกาสให้การชุมนุมเป็นไปอย่างสวยงาม ดังนั้นรัฐบาลอย่าทำให้ตัวเอง ต้องตกเป็นผู้ต้องหาของโลก จากการใช้ความรุนแรงอีกเลย”
สุดท้ายนี้อยากให้มองว่า เมื่อเด็กๆ เยาวชนและประชาชน พยายามตะเกียกตะกายมาชุมนุม แม้มีการปิดบริการรถไฟฟ้าก็ตาม ถามว่าทำไมรัฐบาลไม่เข้าใจ เพราะหากเป็นรัฐบาลของประชาชน ควรต้องฟังประชาชน และที่ต้องออกมาย้ำ ขีดเส้นใต้ ขอร้องทหารอย่าฉวยโอกาสมายึดอำนาจอย่างเด็ดขาด ต้องปล่อยกลไกประชาธิปไตยให้เดินไป เปิดทางให้ ส.ส.เข้ามาแก้ปัญหาประชาชน โดยทหารอย่าได้ออกมายึดอำนาจ ต้องให้เสียงประชาชนเป็นใหญ่ในการเปิดเวทีรับฟังข้อเรียกร้อง โดยไม่ใช้ความรุนแรงอีกต่อไป
โฆษณา