21 ต.ค. 2020 เวลา 06:19 • กีฬา
สิ้นสุดตำนานเมซุต โอซิล จากเพลย์เมกเกอร์ระดับโลก แต่กลายเป็นส่วนเกินของอาร์เซน่อล มันเกิดอะไรกันแน่ วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง
คงไม่มีใครคาดคิดว่า อาร์เซน่อลจะโหดกับเมซุต โอซิล ขนาดตัดชื่อทิ้งไม่ให้ลงเล่นทุกรายการในตลอดสัญญา 1 ซีซั่นที่เหลือ
บอลยุโรปไม่ส่งชื่อ , พรีเมียร์ลีกไม่ให้เล่น รายการอะไรก็ไม่ให้บทบาททั้งนั้น ทั้งๆที่ นี่คือนักเตะที่มีค่าเหนื่อยแพงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร 350,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ แต่ทีมปืนใหญ่ยังยินดีจ่ายฟรีๆ ดีกว่าให้มีส่วนร่วมกับทีม
คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมต้องตัดรอนกันขนาดนั้น ถ้าวัดกันที่ฝีเท้าเพียวๆ ยังไงโอซิลก็มีดีกรีแชมป์โลก เซนส์บอลของเขาก็ยังดีอยู่ สภาพร่างกายก็ใช้ได้ อายุแค่ 32 ปีเท่านั้น สามารถลงเล่นได้สบายๆในเกมระดับสูง
ยิ่งไปกว่านั้นในทีมชุดนี้ ถ้าไม่นับเอคเตอร์ เบเยริน ไม่มีใครอยู่กับทีมมานานเท่าโอซิลอีกแล้ว (7 ปี) ถ้านับเป็นจำนวนปี เขาอยู่ทีมปืนใหญ่มานานกว่า ตำนานอย่างโรแบร์ ปิแรส เสียอีก
การตัดสินใจของสโมสรที่จะหั่นโอซิลครั้งนี้ แปลว่าจนถึงเดือนมิถุนายนปีหน้า โอซิลก็จะมีหน้าที่ แค่มาซ้อมแล้วก็กลับบ้าน จากนั้นก็รับเงินค่าจ้างแค่นั้น แล้วพอหมดสัญญาค่อยย้ายทีมออกไปแบบไม่มีค่าตัว
ประเด็นคือ ทำไมต้องทำกันขนาดนั้น เราลองมาไล่เรียงสาเหตุ ที่พอจะอยู่ในข่ายความเป็นไปได้กัน
1
[ เรื่องในสนาม ]
แน่นอน ต่อให้มีนิสัยอย่างไรก็เถอะ ถ้าหากคุณเป็นผู้เล่นที่ขาดไม่ได้ในสนาม ยังไงสโมสรก็ไม่มีทางเลือกมากนัก ต้องส่งลงเล่นอยู่ดี แต่ปัญหาคือสไตล์ของโอซิล ณ เวลานี้ ไม่ได้ตอบโจทย์ของอาร์เซน่อลอีกแล้ว
1
คนที่อธิบายได้ดีที่สุด คือคนที่ซื้อโอซิลมาจากเรอัล มาดริดเอง นั่นคืออาร์แซน เวนเกอร์ อดีตผู้จัดการทีมอาร์เซน่อล
"โอซิลไม่ใช่นักเตะที่ขยันที่สุดในทีม และการยืนตำแหน่งตอนที่ไม่ได้บอล ก็ไม่ใช่จุดเด่นของเขา เขาเป็นนักเตะสายเกมรุก วิธีที่คุณจะใช้งานนักเตะแบบนี้ได้ คุณต้องใส่มิดฟิลด์สายเกมรับโดยเฉพาะ 1 คน ลงในสนาม เพื่อช่วยซัพพอร์ทเขา วิธีที่จะใช้เพลย์เมกเกอร์แบบโอซิลได้ผล คือต้องสร้างความสมดุลให้เกมรับด้วย"
สิ่งที่เวนเกอร์อธิบายคือ โอซิลจะเล่นได้ดี ถ้ามีมิดฟิลด์อีกคน คอยทำหน้าที่เก็บกวาด และคอยทำ Dirty Job ให้
ในซีซั่น 2011-12 ปีที่เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ลาลีกา และเป็นปีที่โอซิลโดดเด่นที่สุด เขาทำไปถึง 17 แอสซิสต์ ป้อนบอลสวยๆให้เพื่อนได้จบสกอร์ตลอด การที่โอซิลเล่นได้ดีขนาดนั้น เพราะมีซามี เคดิร่า และ ชาบี อลอนโซ่ คอยเล่นเกมรับ และช่วยไล่แย่งบอลมาให้ โดยโอซิลไม่ต้องถอยต่ำลงมาล้วงบอลเอง คือมีอิสระในการเล่นเกมรุกอย่างเดียว
ถ้าเขามีอิสระมากขนาดนั้น โอซิลจะเปล่งประกายที่สุด แต่อาร์เซน่อลในยุคนี้ ไม่ได้เล่นฟุตบอลแบบนั้นอีกแล้ว แนวทางของมิเกล อาร์เตต้า จะไม่มีใครมาเล่นเพื่อซัพพอร์ทใคร แต่ทุกคนต้องช่วยเหลือกันหมด
เกมล่าสุดที่แพ้แมนฯซิตี้ อาร์เซน่อลใช้สามกองกลางคือ ดานี่ เซบายอส, กรานิต ชาคา และ บูกาโย่ ซาก้า ซึ่งก็ไม่มีใครต้องเล่นเพื่อใคร แต่ทุกคนในทีมเล่นแบบช่วยกันหมด หรือกองกลางตัวใหม่ โทมัส ปาร์เตย์ ก็เป็นกองกลางบ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ พร้อมวิ่งขึ้นลงตลอดเวลาอยู่แล้ว
ไม่ใช่ว่าโอซิลขี้เกียจ เวลาเขาลงก็วิ่งเยอะมาก หลายๆเกม วิ่งเยอะสุดเป็นอันดับ 1 ของทีม แต่ปัญหาคือ ถ้าหากเขาวิ่งเยอะ จุดเด่นเรื่องการสร้างสรรค์เกมก็จะหายไปอีก ดังนั้น อาร์เตต้าก็ไม่รู้จะใช้งานโอซิลอย่างไร ถึงจะเวิร์กเหมือนกัน
พอล เมอร์สัน อดีตตำนานของทีมปืนใหญ่กล่าวว่า "โอซิลในช่วงพีกที่สุด เขาระเบิดฟอร์มได้ดี เพราะได้เล่นอยู่กับทีมใหญ่ที่ไล่ยำคู่แข่ง ผมคิดว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีบอลอยู่ในเท้าของเขา เขาจะเป็นนักเตะที่อันตรายมากๆ แต่เมื่อไหร่ที่เขาไม่ได้ครองบอล เขาจะกลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่แย่ที่สุดในโลก"
"อาร์เซน่อลไม่สามารถสร้างทีมโดยยึดเขาเป็นจุดศูนย์กลางได้ คุณจะเปลี่ยนทั้งทีมเพื่อคนคนเดียวไม่ได้หรอก"
"โอซิลอยากเล่นฟุตบอล ทุกคนรู้ ถ้าเขาย้ายทีม เขาจะได้ลงแน่ แต่ไม่มีใครอยากเสียรายได้มหาศาลของตัวเองหรอก เป็นคุณจะกล้าทิ้งเงินหลายแสนปอนด์ต่อสัปดาห์ไหมล่ะ ในเมื่อนี่อาจเป็นสัญญาราคาแพงฉบับสุดท้ายในอาชีพนักเตะของคุณแล้ว"
ดังนั้น สาเหตุพื้นฐานข้อแรกที่โอซิลโดนตัดออกจากทีมก็คือ แนวทางการเล่นของทีมปืนใหญ่ ณ เวลานี้ ไม่จำเป็นต้องใช้เขาอีกแล้ว
ระบบ 3-4-3 แผนหลักของอาร์เซน่อล จะเอาโอซิลยืนปีกซ้าย-ขวา เขาก็ไม่เร็วพอ จะเอามายืนเป็น 2 มิดฟิลด์ตัวกลาง เขาก็ไม่มีพลังขับเคลื่อนเท่าชาคา หรือปาร์เตย์ ว่ากันแฟร์ๆ ถ้าใช้โอซิล อาร์เซน่อลก็ต้องเปลี่ยนแผนด้วย ซึ่งจะให้เปลี่ยนทุกอย่างเพื่อคนที่เหลือสัญญาอีก 1 ปี ว่ากันตรงๆอาร์เตต้าเองก็คงทำยากเหมือนกัน
[ ไม่ยอมลดเงินเดือนช่วงโควิด ]
ตอนแรกที่มิเกล อาร์เตต้ามาคุมอาร์เซน่อล เขาชอบใช้งานเมซุต โอซิลมาก ก่อนที่จะเบรกโควิด อาร์เตต้าส่งโอซิลลงเล่น เป็นตัวจริง 18 เกมติดต่อกัน ซึ่งโอซิลก็ตอบแทนความไว้ใจของอาร์เตต้าได้ดี ด้วยการคว้าแมนออฟเดอะแมตช์ ตั้งแต่นัดแรกของอาร์เตต้า เกมเสมอบอร์นมัธ 1-1 ในศึกบ็อกซิ่งเดย์ ปี 2019
แต่หลังจากเบรกโควิดกลับมาลงเล่นได้ปั๊บ โอซิลไม่เคยได้ลงเล่นอีกเลยแม้แต่นาทีเดียว
จากความรัก ความชื่นชอบ อยู่ๆทำไม อาร์เตต้าถึงตัดสินใจได้ว่า โอเค ไม่เอาแล้วดีกว่า ไม่ใช้งานอีกเลยดีกว่า น่าคิด ว่าทำไมเป็นแบบนั้น
แฟนอาร์เซน่อลที่อังกฤษ เชื่อมโยงกับประเด็นที่โอซิลประกาศจะไม่ลดเงินเดือนของตัวเอง เพื่อช่วยเหลือสโมสร ว่าอาจเป็นจุดสำคัญที่อาร์เตต้าคิดว่า นักเตะคนนี้ไม่มีใจให้สโมสรสักเท่าไหร่หรือเปล่า
ย้อนกลับไปในช่วงเดือนเมษายน ที่โควิดระบาดหนักๆ เฮดโค้ช สตาฟฟ์ทั้งหมด รวมถึงนักเตะเกือบทุกคน เซ็นสัญญาโดยสมัครใจ ว่าจะยอมลดค่าจ้างของตัวเองลง 12.5% ของรายได้ทั้งปี
ขณะที่กลุ่มผู้บริหาร ประกาศลดเงินเดือนตัวเอง 30% เป็นเวลา 12 เดือนเต็ม
โดยเงินก้อนส่วนที่ถูกตัดออกไป อาร์เซน่อลจะบริจาคให้การกุศลเพื่อช่วยสู้ศึกโควิดส่วนหนึ่ง และอีกส่วนเป็นการประหยัดเงินให้สโมสรมีกระแสเงินสดอยู่ในมือเพื่อรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่คาดเดาไม่ได้
อย่างไรก็ตาม มีนักเตะ 3 คน ที่ไม่ยอมลดเงินเดือน โดยหนึ่งในนั้น คือโอซิล ซึ่งแน่นอน สโมสรไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะในสัญญา คุณไม่มีสิทธิ์บังคับให้นักเตะต้องยอมลดรายได้ ถ้าเขาไม่ยอมเอง สโมสรก็ต้องจ่ายตามสัญญาให้ครบทุกปอนด์
เอเยนต์ของโอซิล ออกมาตอบโต้ว่า นักเตะพร้อมลดเงินมากกว่า 12.5% แน่ ถ้าสโมสรออกมาโชว์ตัวเลขทางการเงิน ว่าขาดทุนในช่วงโควิดจริงๆ คือสโมสรเองก็รวยจะตาย ทำกำไรทุกปีอยู่แล้ว ต่อให้รายได้หายไปบ้างในช่วงโควิด แต่ก็ไม่เชื่อหรอก ว่าจะลำบากถึงขนาดขาดทุน
จุดนี้เอง เชื่อว่าทำให้อาร์เตต้ามีความไม่พอใจเกิดขึ้น คือโอซิลก็มีสิทธิ์ที่จะทำได้ แต่ถ้ามองอีกมุม มันทำให้ทีมดูไม่มีความเป็นเอกภาพกันนัก นักเตะคนอื่นยอมลดรายได้มหาศาลของตัวเองเพื่อส่วนรวม แต่เขาซึ่งเป็นคนที่ได้เงินมากที่สุด กลับปฏิเสธส่วนแบ่งแค่ 12.5%
ในช่วงโควิด อาร์เซน่อลประกาศปลดพนักงาน 55 คน ออกจากตำแหน่ง เพื่อลดค่าใช้จ่าย โดย 55 คนดังกล่าว สโมสรต้องจ่ายค่าจ้าง รวมแล้วสัปดาห์ละ 50,000 ปอนด์ ซึ่งแฟนบอลบางส่วนก็เริ่มโมโหใส่โอซิล ว่าถ้าเขายอมเฉือน 12.5% จากรายได้ 350,000 ปอนด์ ต่อสัปดาห์ของตัวเอง สโมสรก็สามารถเอาเงินที่โอซิลเฉือนมานี้ ไปจ่ายให้พนักงานทั้ง 55 คนได้สบายๆเลย
จริงอยู่ว่ามันก็ไม่เกี่ยวกัน การปลดคนมันก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของโอซิลซะหน่อย แต่เวลาคนโมโหก็โยงเรื่องราวกันได้หมด และนั่นทำให้กระแสความนิยมของโอซิลดลงเรื่อยๆ ทั้งโค้ช ทั้งแฟนบอล รู้สึกว่าเขาไม่ให้ใจกับทีมเลย ทั้งๆที่คุณเป็นซีเนียร์ของทีมแท้ๆ
[ อาร์เตต้าใช้โอซิลเป็นเครื่องมือแสดงความเด็ดขาด ]
ตามปกติแล้ว สมมติเราเล่นเกม football manager ถ้าหากมีนักเตะเก่งๆ ค่าเหนื่อยแพงๆ ต่อให้มีพฤติกรรม โวยวายอะไรบ้าง แต่เราก็จะส่งลงสนามอยู่ดี เพราะเห็นชัยชนะสำคัญที่สุด การมีตัวเปลี่ยนเกมในสนามได้ ก็ย่อมดีกว่าไม่มี
แต่สำหรับมิเกล อาร์เตต้า เขาไม่ได้คิดแบบนั้น เป้าหมายของเขาใหญ่กว่าชนะแค่เกมต่อเกม
แม้เราจะได้ยินชื่อเสียงของอาร์เตต้ามานาน แต่การคุมอาร์เซน่อล คือการคุมทีมสโมสรครั้งแรกของเขาในชีวิต ดังนั้นว่ากันตรงๆ เขาก็คือ Rookie เป็นมือใหม่นั่นแหละ ซึ่งความเป็นมือใหม่ตรงนี้ มันไม่ง่ายนัก ที่จะทำให้คนยอมรับคุณทันที
ดังนั้น การที่คุณจะสร้างความน่าเชื่อถือขึ้นมา จำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยการดีลกับปัญหา ซึ่งอาร์เตต้าจึงทำให้เห็นว่า ต่อให้เป็นโอซิลที่อยู่กับทีมมานานก็เถอะ แต่ถ้าทัศนคติไม่ได้ไปในทางเดียวกับทีม เขาก็พร้อมจะตัดได้เหมือนกัน
ก่อนหน้านี้เคยมีเคสของ มัตเตโอ เก็นดูซี่ ที่ไปบีบคอแล้วด่านีล โมเปย์ นักเตะไบรท์ตันว่า "ต่อให้มึงเล่นแทบตายก็ไม่มีวันได้เงินเดือนเท่าพวกกูไปทั้งชีวิต" ซึ่งอาร์เตต้าสั่งให้นักเตะขอโทษ และเปลี่ยนแปลงนิสัย แต่เก็นดูซี่ไม่เห็นว่าที่ตัวเองทำมันผิดตรงไหน ทำให้อาร์เตต้าสั่งแยกไปซ้อมเดี่ยว แต่นักเตะเองก็ไม่ได้แคร์อะไรนัก
หรือถ้าย้อนกลับไปดูก่อนหน้านั้น ตอนอาร์เซน่อลมีแคมป์มิดซีซั่นที่ดูไบ รุ่นพี่ในทีมอย่างดาวิด ลุยซ์ เคยมาเตือนให้เก็นดูซี่ปรับพฤติกรรมก่อนจะสายเกินไป แต่เก็นดูซี่ก็ไปด่าลุยซ์อีก แสดงให้เห็นถึงความไม่มีสัมมาคารวะอะไรเลย
จากเหตุผลทุกอย่างรวมกัน นั่นทำให้อาร์เตต้าตัดสินใจว่า โอเค ต่อให้เก็นดูซี่จะเป็นกองกลางอนาคตของทีมแค่ไหน จะเป็นว่าที่กองกลางทีมชาติฝรั่งเศสในอนาคตหรือไม่ เขาก็ไม่สน อาร์เตต้า ส่งให้แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ยืมตัว 1 ฤดูกาล เรียกได้ว่าจากที่การันตีตัวจริงแทบทุกเกม กลายเป็นว่า เก็นดูซี่ไม่อยู่ในแผนการทำทีมอีกต่อไป
4
การจัดการเคสของเก็นดูซี่ ทำให้อาร์เตต้าได้รับคำชื่นชมมาก ดังนั้นในเคสของโอซิล เขาก็จำเป็นต้องเด็ดขาดเช่นกัน เพื่อสร้างการยอมรับให้เกิดขึ้นว่าเขาเห็นความสำคัญของทีมมาก่อน
คือถ้านักเตะเก็บไว้แล้วจะมีโทษมากกว่าประโยชน์ มันก็ต้องกล้าหั่นทิ้ง แม้จะดูใจร้ายมากๆก็ตามที
[ ดราม่านอกสนาม อาจทำให้ปืนใหญ่เจ็บตัว ]
การแสดงออกเรื่องการเมือง แม้จะเป็นสิทธิ์อันเสรี แต่ฝั่งสโมสรเองก็ต้องเจ็บตัวไปแล้วหลายครั้ง
ในปี 2018 ตอนที่เยอรมัน มีความขัดแย้งทางการเมืองอย่างหนักกับตุรกี เมซุต โอซิลซึ่งเป็นคนเยอรมัน และเล่นให้ทีมชาติเยอรมัน กลับแสดงออกชัดเจนว่าอยู่ฝั่งตุรกี โดยเอาเสื้อแข่งขันของอาร์เซน่อล มอบให้ประธานาธิบดีตุรกี ทายยิป เออร์โดกัน พร้อมถ่ายรูปคู่กันที่ลอนดอน ซึ่งเรื่องนี้สร้างความโกรธแค้นให้ชาวเยอรมันมากๆ
สิ่งที่อาร์เซน่อลได้รับผลกระทบคือ แฟนอาร์เซน่อลในประเทศเยอรมันลดลงจากเดิมฮวบฮาบ เอาจริงๆ คนเยอรมันที่มีความชาตินิยมก็มีอยู่เยอะ ในเมื่อนักเตะอาร์เซน่อลแสดงจุดยืนจะซัพพอร์ทตุรกี ดังนั้นชาวเยอรมันส่วนหนึ่ง ก็ทำใจเชียร์อาร์เซน่อลไม่ลงจริงๆ
จากนั้นธันวาคมปี 2019 โอซิลออกมาโพสต์ในไอจีและทวิตเตอร์ โจมตีประเทศจีน ว่าสั่งเผาอัลกุรอ่าน สั่งปิดมัสยิด และมีการสร้างค่ายกักกันชาวอุยกูร์ ที่แคว้นซินเจียง
ก่อนอื่นเชื่อว่าทุกท่านน่าจะเคยได้ยินว่า รัฐบาลจีน มีปัญหาขัดแย้งกับชาวอุยกูร์ ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศ สาเหตุเพราะอุยกูร์เป็นมุสลิม แต่เมื่อโลกนี้มีการลากเส้นแบ่งประเทศแล้ว อุยกูร์จึงถูกตีเข้ามาอยู่ร่วมในการปกครองของจีนด้วย
อุยกูร์ อยากแยกประเทศออกมา เพราะวัฒนธรรมต่างๆ ของตัวเองกับจีน ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย ทำไมต้องโดนจีนปกครอง แต่จีนไม่ยอมเพราะในทางกฎหมายนี่คือดินแดนของพวกเขา มันเลยกลายเป็นเรื่องคาราคาซังอยู่อย่างนี้หลายปี
โอซิล ลงทวีตซัพพอร์ตฝั่งอุยกูร์ ทำให้เขาได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นจากชาวมุสลิมทั่วโลก ที่แสดงจุดยืนปกป้องเพื่อนร่วมศาสนา แต่ทว่า กลับสร้างความโกรธเคืองให้ฝั่งรัฐบาลจีน และชาวจีนฮั่น
ตอนเห็นทวีตของโอซิล อาร์เซน่อลพยายามแก้เกม ด้วยการโพสต์ว่า "มุมมองของนักเตะ เป็นของนักเตะเท่านั้น สโมสรไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองของชาติใด" แต่มันสายเกินไปแล้ว เพราะจีนไล่สั่งแบนกระจุย ห้ามช่อง CCTV ถ่ายทอดสดเกมอาร์เซน่อล นอกจากนั้น ยังลบชื่อโอซิลออกจากการค้นหาในเสิร์ชเอ็นจิ้น
ความนิยมของอาร์เซน่อลในเมืองจีนพุ่งดิ่งลงอย่างน่าตกใจ และมีผลต่อการขยายตลาดในจีนเป็นอย่างมาก ซึ่งสำหรับอาร์เซน่อลก็นับว่าเสียหาย เพราะจีนคือตลาดใหญ่มากที่เป็นบ่อเงินบ่อทอง แต่กลับต้องมาสูญเงิน เพราะโพสต์จากนักเตะในทีมตัวเองแบบนี้
จีนก็ใช้หลักการคือ "คุณมีสิทธิ์ของคุณที่จะโพสต์อะไรก็ได้ แต่เราก็มีสิทธิ์ของเราที่จะไม่สนับสนุนคุณ" ซึ่งเรื่องนี้โอซิลอาจไม่แคร์ เพราะเขามีแฟนๆนับสิบล้านคอยซัพพอร์ทอยู่แล้ว แต่สโมสรเองนี่แหละ ที่ต้องเจ็บตัวหนัก แบบไม่สามารถทำอะไรได้เลย
หรืออย่างล่าสุด 2 ประเทศในทวีปยุโรปคือ อาเซอร์ไบจัน กับ อาร์เมเนีย มีข้อพิพาทเรื่องจังหวัดชื่อนากอร์โน่-คาราบักอยู่
นากอร์โน่-คาราบัก มีประชากร 98% เป็นคริสเตียน แต่ภูมิประเทศพวกเขาอยู่ "ใน" ประเทศอาเซอร์ไบจันซึ่งนับถืออิสลาม ปรากฎว่าในปี 1988 สหภาพโซเวียต ประกาศให้นากอร์โน่-คาราบัคเป็นของอาเซอร์ไบจัน สร้างความโกรธแค้นให้ฝั่งอาร์เมเนียเป็นอย่างมาก
ปัจจุบัน อาร์เมเนียกับอาเซอร์ไบจัน ไม่มีความสัมพันธ์การทูตระหว่างกัน แม้จะพรมแดนติดกัน ขณะที่นากอร์โน่-คาราบัก ก็ยังเป็นดินแดนในข้อพิพาทหาข้อสรุปไม่ได้ว่าเป็นของใครกันแน่
ในระหว่างที่เขายังตึงเครียดกันอยู่ โอซิลทวีตออกมาเลยว่า "ทุกคนในโลกควรได้รู้ ว่าจังหวัดนากอร์โน่-คาราบัก เป็นส่วนหนึ่งของอาเซอร์ไบจัน" ซึ่งที่โอซิลทวีตซัพพอร์ตแบบนั้น ก็เชื่อว่าเพราะอาเซอร์ไบจันนับถือมุสลิมเหมือนกับเขา
นั่นทำให้ชาวอาร์เมเนียเดือดดาลโอซิลมาก ว่าทำไมเลือกข้าง ทั้งๆที่ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรสักหน่อย และแน่นอนว่ากลายมาพาลเกลียดอาร์เซน่อลไปอีก
การเสนอความเห็นทางการเมือง เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของแต่ละบุคคล แต่ในมุมของสโมสร เมื่อมันมีผลกระทบตามมา เพราะพวกเขาเองก็เจ็บตัวไปเยอะเหมือนกันในแง่ธุรกิจ
ดังนั้นการไม่ซัพพอร์ทโอซิลให้ลงเล่น ถ้ามองอีกมุม ก็อาจเป็นการประกาศให้สังคมได้รู้ด้วยว่า สโมสรเองก็ไม่ได้เห็นด้วยกับแนวคิดทางการเมืองของโอซิลนะ
1
และอาจเป็นการตั้ง Case Study ให้นักเตะในทีมได้เห็นด้วยว่า การพูดเรื่องละเอียดอ่อนต้องระวังให้มาก ไม่อย่างนั้นคุณอาจได้รับผลกระทบในรูปแบบเดียวกับที่โอซิลโดน
[ บทสรุปของโอซิล ]
จริงๆถึงวันนี้ แฟนปืนใหญ่หลายคน ก็ยังชื่นชอบในตัวโอซิลอยู่ และรู้ว่าโอซิลยังมีของ แต่ในมุมของสโมสรนั้น โอซิลไม่อยู่ในอนาคตของทีมอีกแล้ว จะช้าจะเร็วก็ต้องปล่อยทิ้งอยู่ดี ดังนั้นถ้าปล่อยขายไม่ได้ ก็ยินดีจ่ายเงินเรื่อยๆทุกสัปดาห์ไปอย่างนั้นแหละ ไม่เป็นไร
และตอนนี้อาร์เตต้า เขาเองก็มูฟออนไปใช้งานนักเตะคนอื่น และแผนการเล่นแบบอื่นเรียบร้อยแล้ว คือเส้นทางที่มีร่วมกับโอซิลมา มันจบลงไปแล้ว
ขณะที่กับโอซิล เมื่อหมดสัญญากับอาร์เซน่อล เขาจะมีอายุ 32 ปี กับอีก 8 เดือน ซึ่งยังไม่เยอะเกินไป สามารถหาทีมลงเล่นได้สบายๆ เพราะเขาสามารถพูดได้ถึง 4 ภาษา นั่นคือ เยอรมัน อังกฤษ สเปน และ ตุรกี จะย้ายไปอยู่ไหนก็ได้ทั้งนั้น หรือจะข้ามฟากไปเล่นที่สหรัฐฯ หรือญี่ปุ่นก็ทำได้ ซึ่งในตอนนี้เขาก็แค่ต้องรักษาสภาพร่างกายให้ฟิตเอาไว้ที่สุดแค่นั้น ชีวิตนักฟุตบอลของเขายังไปต่อได้สบายๆ
จริงๆ ย้อนกลับไปในปี 2013 วันที่อาร์เซน่อลได้ตัวโอซิลจากเรอัล มาดริด ยังจำได้ดีว่าแฟนๆปืนใหญ่ ดีใจอย่างบ้าคลั่ง เพราะพวกเขาคว้าตัวสุดยอดเพลย์เมกเกอร์แห่งยุคมาครองได้สำเร็จ
1
แต่ก็นะ ใครจะไปคาดคิด ว่าจากความดีใจสุดๆในวันนั้น นิทานเรื่องนี้ จะจบลงด้วยความเงียบเหงาแบบนี้
#OZIL
โฆษณา