21 ต.ค. 2020 เวลา 07:13 • กีฬา
“คุณรู้ดีว่าเมื่อคุณออกไปเยือนทีมแบบนี้ ต้องต่อสู้กับนักเตะอย่าง เนย์มาร์ และ เอ็มบั๊ปเป้ ซึ่งเป็นผู้เล่นระดับท็อปๆ ของโลก เมื่อนั้นคุณต้องตั้งรับให้ดี และ ดาบิด เด เคอา จะต้องเซฟหลายครั้ง”
“บางครั้งคุณต้องวิ่งแข่งกับ เอ็มบั๊ปเป้ และคุณต้องวิ่งตีคู่ไปกับเขา และเรารู้ในคุณภาพของ อั๊กเซล (ตวนเซเบ้) เขาคือกองหลังชั้นยอด นี่คือเกมแรกของเขาในรอบ 10 เดือน หรือไม่ก็เป็นอะไรที่จะเป็นบททดสอบคุณภาพของเขา”
โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ให้สัมภาษณ์ไว้ หลังจบเกมบิ๊กแมตช์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คืนวันอังคาร นัดที่ยากที่สุดในรอบแบ่งกลุ่มปีนี้ ด้วยการบุกไปชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง 2-1 ถึงฝรั่งเศส
คือนับตั้งแต่ เปแอสเช ได้กลุ่มทุน กาตาร์ สปอร์ตส์ อินเวสต์เมนต์ส (QSI) เข้าเทคโอเวอร์สโมสรเมื่อปี 2011 พวกเขาไม่เคยแพ้ทีมไหนคาบ้านมาก่อน ในรอบแบ่งกลุ่ม UCL เลยนะครับ
สถิติของ เปแอสเช ในการลงเล่นรอบแบ่งกลุ่มรายการนี้ ช่วง 8 ซีซั่นที่ผ่านมา สามารถชนะได้ 19 เสมออีก 5 ครั้ง แม้กระทั่ง บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค และ เรอัล มาดริด ก็เคยโดนพวกเขาเปิดบ้านชนะได้แบบราบคาบมาแล้ว
ครั้งสุดท้ายที่โคตรทีมมหาเศรษฐีแดนน้ำหอมแพ้คาบ้านตัวเองในรอบแบ่งกลุ่มถ้วยหูโต ต้องย้อนไปไกลถึงเดือนธันวาคม 2004 ที่พ่าย ซีเอสเคเอ มอสโก ไป 1-3 เลยทีเดียว
ถึงแม้จะบุกไปถล่ม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 4-1 ได้ด้วยฟอร์มน่าประทับใจในเกมพรีเมียร์ลีกนัดล่าสุด แต่เชื่อว่าคงมีแฟนผีเพียงไม่กี่คน ที่จะมั่นใจว่าทีมรักจะสามารถบุกไปโค่นรองแชมป์ยุโรปทีมล่าสุดได้ถึงบ้าน
แต่สิ่งที่เราได้เห็นจากเกมเมื่อคืนวันอังคาร นี่ไม่ใช่การชนะแบบต้องพึ่งปาฏิหาริย์ หรือฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของฝั่งตรงข้าม
แต่มันคือเกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่อกรกับทีมแชมป์ ลีก เอิง ได้อย่างไม่เป็นรอง และป้องกันได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ
เรียกได้ว่าเป็นชัยชนะในแบบที่ โซลชาร์ วางหมากเอาไว้ และคนที่สมควรได้เครดิตมากที่สุด ก็คือตัวกุนซือชาวนอร์เวย์เองนั่นแหละ
ด้วยสภาพทีมที่ไม่สมบูรณ์ แถมเกมรับก็ยังไว้ใจไม่ได้ ทำให้นายใหญ่ปีศาจแดงจำเป็นต้องงัดระบบ 3-4-1-2 เพื่อให้เกิดความรัดกุมมากที่สุด
แผงหลังเมื่อไม่มีชื่อ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ เอริก ไบยี่ ที่มีอาการบาดเจ็บ เช่นเดียวกับ มาร์กอส โรโฮ และ ฟิล โจนส์ ที่ไม่มีชื่ออยู่ใน Squad ชุดสู้ศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้จำเป็นต้องเลือก อั๊กเซล ทวนเซเบ้, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ และ ลุค ชอว์ ยืนเป็น 3 เซนเตอร์ฮาล์ฟร่วมกัน
อารอน วาน-บิสซาก้า รับบทวิงแบ็กขวา ส่วนทางด้านซ้ายใช้งาน อเล็กซ์ เตลลิส ที่ได้ลงเดบิวต์ในฐานะนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นครั้งแรก
ส่วนคู่กลาง เลือกใช้นักเตะสไตล์วิ่งพล่านที่ไล่ตัดเกมได้ดีอย่าง เฟร็ด กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ลงตัวจริงต่อเนื่อง เพราะการไปเยือนทีมอย่าง เปแอสเช จำเป็นต้องทำให้แน่ใจก่อนว่าเกมรับจะมีช่องว่างน้อยมาก
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม ปอล ป็อกบา ยังต้องนั่งสำรอง รวมไปถึงผู้เล่นที่ฟอร์มดีจากเกมล่าสุดอย่าง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค และ ฆวน มาต้า ไม่ถูกส่งลงตัวจริง
แนวรุกเมื่อ เมสัน กรีนวู้ด ยังไม่ฟิต ขณะที่ เอดินสัน คาวานี่ สภาพร่างกายก็ยังไม่เข้าที่ หลังไม่ได้ลงสนามมานานกว่า 7 เดือน จึงเลือกใช้ 3 ตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่าง บรูโน่ แฟร์นันเดส สวมปลอกแขนกัปตันทีมยืนจอมทัพ สนับสนุน อองโตนี่ มาร์กซิยาล กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่เล่นกองหน้าคู่กัน
1
ทางด้าน เปแอสเช ของ โธมัส ทูเคิ่ล อันที่จริงก็ไม่ได้อยู่ในสภาพฟูลทีมสักเท่าไร
แกนหลักทั้ง มาร์โก แวร์รัตติ, เลอันโดร ปาเรเดส, ฆวน เบร์นาต, ธิโล เคห์เรอร์ และ เมาโร อิคาร์ดี้ ต่างไม่พร้อมลงช่วยทีม ส่วนกองหลังตัวเก่ง ที่กลายเป็นมิดฟิลด์ตัวรับแกนหลักไปแล้วอย่าง มาร์กินโญส ก็ดูจะฟิตไม่พอ เพราะไม่ได้ซ้อมเต็มที่ก่อนเกมนี้เท่าไร
ถึงแม้ชื่อชั้นของ อังเคล ดิ มาเรีย, คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ และ เนย์มาร์ จะขู่แนวรับฝั่งตรงข้ามได้เสมอ แต่ภัยคุกคามจากพวกเขาลดน้อยลง จากการที่แดนกลางสร้างสรรค์โอกาสขึ้นมาได้น้อยนิด
การชวดลงสนามของ ปาเรเดส, แวร์รัตติ และ มาร์กินโญส กลายเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เจ้าถิ่นไม่ได้เหนือกว่าทีมเยือน
ดานิโล่ เปเรยร่า มิดฟิดล์ทีมชาติโปรตุเกสที่ย้ายมาจาก เอฟซี ปอร์โต้ เพิ่งจะได้ลงสนามให้ทีมดังปารีสเป็นนัดแรก จึงยังไม่เข้าขารู้ใจกับเพื่อนร่วมทีมมากนัก
อิดริสซ่า “กาน่า” เกย์ อดีตดาวเตะของเอฟเวอร์ตัน ก็เป็นพวกสายตัวรับมากกว่าจะขับเคลื่อนเกม
ส่วน อันเดร์ เอร์เรร่า ก็มีจุดเด่นที่ความขยันวิ่งพล่าน ไม่ใช่เรื่องของการสร้างสรรค์โอกาสจะแจ้ง
นั่นทำให้การเดินเกมรุกของ เปแอสเช จึงไม่ได้น่ากลัวมากนัก เพราะผู้เล่นของปีศาจแดง สามารถวิ่งทำลายจังหวะได้ไม่ยาก
สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ กับ เฟร็ด ต่างเข้าปะทะสำเร็จรวมกันถึง 8 หน โดยกองกลางบราซิเลียน คือผู้เล่นที่ดักตัดบอลได้มากที่สุดของทีมเยือนอีกด้วย (3 ครั้ง)
แต่คนที่ผ่านยากที่สุดในสนามหนีไม่พ้น อารอน วาน-บิสซาก้า
แบ็กขวาที่เพิ่งซัดประตูแรกในชีวิตนักเตะอาชีพได้เมื่อคืนวันเสาร์ ทำสถิติเข้าปะทะสำเร็จได้อย่างแม่นยำกว่าทุกคนในสนาม (6 ครั้ง) และดูจะอ่านทางแนวรุกตัวท็อปของเจ้าบ้านทั้ง เอ็มบั๊ปเป้ และ เนย์มาร์ ได้หมด จนซ้อนดักเก็บบอลได้ไม่พลาดหลายครั้ง
ส่วนกองหลังที่ป้องกันได้ดีเกินคาดสุดๆ คงหนีไม่พ้น ตวนเซเบ้ ที่ได้ลงสนามเกมนี้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ถูกส่งลงตัวจริงในเกม คาราบาว คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อฤดูกาลที่แล้ว นัดที่เปิดบ้านถล่ม โคลเชสเตอร์ 3-0 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2019
ดาวเตะวัย 22 ปี ไม่พลาดเลยทั้งการป้องกันภาคพื้นดินและลูกกลางอากาศ โดยดักเคลียร์บอลทิ้งได้มากที่สุด (7 ครั้ง) ดวลลูกโด่งชนะได้ 100% แถมไม่ปล่อยให้ทั้ง เนย์มาร์ และ เอ็มบั๊ปเป้ เลี้ยงผ่านไปได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
อย่างไรก็ตาม เจ้าของตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ตกเป็นของ ดาบิด เด เคอา ที่เซฟในเกมนี้ไปถึง 5 ครั้ง และหลายจังหวะคือการป้องกันได้อย่างเหลือเชื่อ
ไม่ว่าจะเป็นช็อตพุ่งปัดลูกยิงปั่นโค้งช่วงต้นเกมของ อังเคล ดิ มาเรีย, จังหวะยืนตำแหน่งแบบไม่เหวอที่สามารถป้องกันลูกเหยียดเท้ายิงจ่อๆ ของ เลย์วิน กูร์กซาว่า และการบินปัดลูกโยกซัดด้วยขวาของ เอ็มบั๊ปเป้ ให้ข้ามคานออกไปได้ในช่วงต้นครึ่งหลัง ถือเป็น 3 ช็อตเซฟที่เข้าตากรรมการทั้งหมด
ในส่วนของเกมรุก ก็ถือว่าน่าพอใจ ถึงแม้จะเป็นเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วางระบบแบบเน้นความรัดกุม แต่ก็สามารถสร้างปัญหาให้เจ้าบ้านได้หลายหนเหมือนกัน
ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง ครองบอลเหนือกว่าอย่างชัดเจน (59% ต่อ 41%) แต่ในส่วนของโอกาสลุ้นประตู แทบจะไม่ได้เหนือกว่าฝั่งปีศาจแดงเลย
เปแอสเช ได้โอกาสลุ้นยิงมากกว่านิดๆ (15 ต่อ 14 ครั้ง) แต่ทีมเยือนสามารถยิงให้ตรงกรอบได้มากกว่า โดยทำได้ 6 ครั้ง ส่วนเจ้าบ้านทำได้ 5 ครั้ง
น่าเสียดายสำหรับเจ้าถิ่น ที่การเซฟจุดโทษของ เกย์ลอร์ นาวาส ที่สามารถปัดลูกยิงของ บรูโน่ แฟร์นันเดส ถูกปฏิเสธด้วย วีเออาร์ เมื่อตรวจสอบภาพช้าพบว่า นายประตูทีมชาติคอสตาริกาขยับตัวออกจากเส้นประตูมาอย่างชัดเจน จึงต้องยิงใหม่ตามกฎ และ “กัปตันบรูโน่” ก็ไม่ยอมพลาดซ้ำสอง
ส่วนประตูขึ้นนำ 2-1 จาก มาร์คัส แรชฟอร์ด ต้องชมความสามารถเฉพาะตัวของทั้งคนให้และคนจ่าย
โดย ปอล ป็อกบา รับบอลจาก เฟร็ด แล้วเอาตัวรอดจากการไล่บีบของ โกแล็ง ดักบา แล้วถ่วงเวลาให้ผู้เล่นของ เปแอสเช อีก 2 คนวิ่งเข้าหา จนหามุมจ่ายให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด มีพื้นที่พอที่จะพลิกตัวซัดเสียบเสาเข้าไปอย่างเฉียบขาด
พูดถึงการได้ลงสนามมาเป็นตัวสำรองของ ป็อกบา ตั้งแต่นาทีที่ 67 ต้องชมความกล้าที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแผนของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ด้วย เพราะคนที่โดนถอดออกคือวิงแบ็กซ้ายอย่าง อเล็กซ์ เตลลิส แล้วระบบการเล่นก็มีการเปลี่ยนจาก 3-4-1-2 มาเป็น 4-3-1-2
สถานการณ์ตอนนั้น สกอร์ยังเสมอ 1-1 (เปแอสเช ตีเสมอได้จากลูกโขกเข้าประตูตัวเองของ อองโตนี่ มาร์กซิยาล) แต่โมเมนตัมของเกมก็ยังไม่ได้เอนไปหาเจ้าถิ่น ทำให้ โซลชาร์ กล้าที่จะเพิ่มจำนวนผู้เล่นในการขับเคลื่อนเกมมากขึ้น
ป็อกบา ได้เล่นตำแหน่งถนัดคือมิดฟิลด์ตัวซ้าย เฟร็ด เยื้องไปทางขวา ส่วน แม็คโทมิเนย์ ปักหลักยืนคุมเกมต่ำสุดตรงกลาง และคนที่จ่ายบอลให้ ป็อกบา ก่อนทำแอสซิสต์ตีเสมอ ก็คือ เฟร็ด นั่นแหละ ที่เติมขึ้นมารับบอลจาก บรูโน่ แฟร์นันเดส
แผน 4-2-3-1 ที่ โซลชาร์ ใช้มาแทบจะตลอด ไม่ถูกนำมาใช้ในเกมนี้ และเรายังได้เห็นการขยับลุกมาสั่งการของกุนซือชาวนอร์เวย์ระหว่างเกมบ้าง ถือเป็นการลบเสียงครหาว่าเขาคือกุนซือที่เอาแต่นั่งเฉยๆ และใช้แต่แผนการเล่นแบบเดิมๆ โดยสิ้นเชิง
ชัยชนะ 2 เกมติดต่อกัน หลังผ่านพ้นช่วงเบรกทีมชาติ น่าจะสร้างแรงบวกที่มากขึ้นเรื่อยๆ ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ช่วงต่อจากนี้ ที่ยังต้องเจองานหนักอีกมาก
3 เกมต่อจากนี้ จะได้เล่นที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทั้ง 3 นัด แต่ล้วนเป็นเกมที่ต้องเจอคู่แข่งที่ชื่อชั้นแทบไม่เป็นรองเลยทั้งหมด
คืนวันเสาร์นี้ เปิดบ้านพบ เชลซี ในเกมลีก, คืนวันพุธหน้ารับมือ แอร์เบ ไลป์ซิก ที่คว้า 3 คะแนนเต็มประเดิมรอบแบ่งกลุ่ม UCL ด้วยเช่นกัน ก่อนที่คืนวันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน จะต้องพาทีมชนกับ อาร์เซน่อล ของ มิเกล อาร์เตต้า
.
ถ้าเหลือบดูตารางการแข่งขัน ในช่วงก่อนเบรกทีมชาติ ที่ปีศาจแดงเพิ่งโดน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ยำเละคาบ้าน 1-6 ใครๆ ก็คงบอกว่าพวกเขาคงไม่รอดแน่ๆ เมื่อเจอโปรแกรมแบบนี้
แต่ตอนนี้โมเมนตัมกำลังค่อยๆ เอนกลับมาหา เร้ด อาร์มี่ อีกครั้ง และแฟนบอลเริ่มรู้สึกอยากดูเกมการเล่นของทีมรักในนัดต่อๆ ไปมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะสิ่งที่เราได้เห็นก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด ในตอนนี้ ไม่ได้ยึดติดแต่กับผู้เล่นชุดเดิม และระบบการเล่นเดิมๆ อีกต่อไป
สิ่งที่มันแตกต่างจากช่วงฟอร์มห่วยเมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน ก็คือระดับความฟิต และสภาพจิตใจที่มุ่งมั่นขึ้นชัดเจน แบบที่ใครๆ ก็สังเกตได้ด้วยตาเปล่า
และ ณ เวลานี้ ทุกคนของ แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถเป็นพระเอกของเกมได้ โดยที่ภาระทั้งหมด ไม่ได้อยู่บนบ่าของ บรูโน่ แฟร์นันเดส คนเดียวอีกแล้ว
#เสียบสามเหลี่ยม #ManUnited #ManUtd #MUFC #GGMU #Solskjaer #Rashfrod #Fred #McTominay #BrunoFernandes #Tuanzebe #DeGea #PSG #UCL
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ และเพื่อไม่พลาดบทความคุณภาพจากเรา อย่าลืมกดไลค์เพจ และติดตามเพจแบบ See First ไว้เลยนะครับ
..สนใจติดต่อลงโฆษณา, สนับสนุนเพจ ติดต่อจ้างงานเขียนบทความฟุตบอล งานแปลข่าว เขียนสคริปต์สำหรับ Content ฟุตบอล หรือแปลหนังสือฟุตบอล ทักอินบ็อกซ์ สอบถามได้ตลอดเวลาครับ
โฆษณา