23 ต.ค. 2020 เวลา 21:32 • ปรัชญา
“ภัยอันตรายของผู้ที่มีอุปจารสมาธิถ้ายังไม่ได้กำจัดกิเลสตัณหาให้หมดไป”
ธรรมะรุ่งอรุณ ☀️
๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓
อย่าไปสนใจกับอุปจารสมาธิ ส่วนใหญ่ก็เข้าไม่ถึงอยู่ดี น้อยคนเท่าที่ได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์ที่ท่านสนทนากันหรือว่าท่านทำการค้นคว้าสอบถามกัน มีน้อยคนที่จะเข้าอุปจารสมาธิได้ ส่วนใหญ่เข้าอัปปนาสมาธิได้หมด แต่ผู้ที่จะเข้าอุปจารสมาธินี้มีน้อย ร้อยละ ๕ มั้ง ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นก็มีอยู่องค์ ๒ องค์ที่เข้าอุปจารสมาธิได้ หลวงปู่ชอบนี้ท่านก็สามารถติดต่อกับเทวดาได้ เทวดาชอบมาสนทนามาคุยกับท่านทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้หลับตานั่งสมาธิ ก็มีเข้ามาหาได้เพราะจิตของท่านสงบอยู่ตลอดเวลา ท่านอยู่ในป่าคนเดียว มีอยู่ช่วงหนึ่งท่านเคยอดอาหารหลายวัน เทวดาก็สงสารจะเอาอาหารทิพย์มาชโลมให้กับท่าน แต่เทวดาเป็นเพศหญิง ท่านบอกไม่ได้ มาลูบร่างกายท่านไม่ได้ ท่านเป็นพระ ถือว่าเป็นอาบัติ ท่านก็ห้ามเขา เทวดาบอกไม่เป็นไรหรอก ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น บอกไม่ได้ ฉันรู้ ฉันรู้ เธอเป็นผู้หญิงมาแตะต้องตัวฉันไม่ได้ แต่เขาจะเอาอาหารทิพย์มาชโลมให้จิตของท่านอิ่มเอิบจะทำให้รู้สึกไม่หิว ถึงแม้ว่าจะอดอาหารมาหลายวันก็ตาม ถ้ามีอาหารทิพย์มาชโลมแล้วความหิวนี้จะหายไป แต่ท่านบอกไม่เป็นไร ท่านอดทนได้ท่านทนได้ นี่ก็หลวงปู่ชอบ ท่านจะมีเทวดามาพบปะอยู่เรื่อยๆ ครูบาอาจารย์บางรูปท่านก็อ่านวาระจิตของผู้อื่นได้ บางทีเวลาที่หลวงปู่มั่นแสดงธรรมนี้ หลวงปู่มั่นไม่สามารถส่งจิตมาดูได้ว่าใครกำลังคิดอะไรอยู่ ท่านก็อาศัยลูกศิษย์องค์นี้ที่อ่านจิตของผู้อื่นได้ว่า ให้ช่วยตรวจตราดูให้หน่อยสิว่า ตอนที่ท่านแสดงธรรมมีจิตของใครไปเถลไถลไปที่ไหน จะได้ว่ากล่าวตักเตือน เพราะว่าฟังธรรมแล้วมัวไปคิดเรื่องนี้เรื่องนู้น จะฟังไม่รู้เรื่องจะไม่เกิดประโยชน์ ท่านก็อาศัยอาจารย์รูปนี้ แต่ท่านไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร ท่านเล่าให้ฟัง บางทีท่านก็รู้ว่าอาจารย์รูปนี้มีความสามารถพิเศษสามารถอ่านวาระจิตของผู้อื่นได้ เวลาที่ท่านแสดงธรรมท่านก็ฝากอาจารย์รูปนี้ให้ช่วยดูแลจิตใจของพระที่กำลังฟังธรรมอยู่ว่าเถลไถลไปคิดเรื่องอื่นหรือเปล่า ถ้าคิดจะได้ว่ากล่าวตักเตือน
นี่คือเรื่องของอุปจารสมาธิ แต่จะไม่มีกำลังไม่มีอุเบกขาที่จะไปหยุดตัณหาความอยาก ไม่มีความสุขแบบอิ่มเอิบใจ และก็อาจจะทำให้หลงได้ มีอีกเรื่องหนึ่งที่มีปรากฏในพระไตรปิฎก มีฤษีอยู่รูปหนึ่งท่านได้อุปจารสมาธิท่านสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ แล้วเวลาท่านเข้าวังนี้ท่านจะเหาะเข้าวัง พระเจ้าแผ่นดินเห็นก็โอ๊ย ดีใจศรัทธาเคารพนับถือเป็นอาจารย์ วันหนึ่งท่านบินเหาะเหินจะเข้าวัง ไปเหาะผ่านห้องของพระราชินีกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ กำลังเปลือยกายอยู่ พอเห็น ตัณหามันก็โผล่ขึ้นมา หักห้ามใจไม่ได้เลยแวะไปที่ห้องพระราชินี ไปขอร่วมเพศกัน พอร่วมเพศแล้วทีนี้จิตก็เสื่อมแล้ว คราวต่อไปจะเหาะเหิน เหาะไม่ออกแล้ว พอพระเจ้าแผ่นดินทราบก็เสียใจ เสียใจที่อาจารย์มาทำอย่างนี้ แต่เนื่องจากเคยเคารพเป็นครูเป็นอาจารย์ก็เลยไม่เอาโทษ นี่ก็เรื่องของอุปจารสมาธิ จะทำให้หลง ทำให้หลงตัวเองว่าเก่ง กล้าทำอะไรสิ่งที่ไม่ควรทำได้ เทวทัตก็กล้าที่จะขอพระพุทธเจ้าให้เป็นผู้ปกครองสงฆ์ และกล้าที่จะคิดฆ่าพระพุทธเจ้าถึง ๓ ครั้งด้วยกัน ฤษีรูปนี้ก็กล้าที่จะไปเสพหลับนอนกับพระมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน นี่คือภัยอันตรายของผู้ที่มีอุปจารสมาธิ ถ้ายังไม่ได้กำจัดกิเลสตัณหาให้หมดไปจากใจ อย่าไปยุ่งกับมันเพราะมันจะกลายเป็นเครื่องมือของกิเลสตัณหาไป มันไม่ได้เป็นเครื่องมือของธรรม ไว้รอให้กำจัดกิเลสตัณหาให้หมดไปจากใจแล้วถึงสามารถใช้อุปจารสมาธินี้มาเป็นเครื่องมือของธรรมได้ มาแสดงธรรมให้กับเทวดาได้ มาตอบปัญหาธรรมให้กับพวกกายทิพย์ทั้งหลายได้
มีแม่ชีอยู่รูปหนึ่งลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เธอก็มีความรู้ความสามารถ เธอจะติดต่อกับพวกกายทิพย์อยู่เรื่อย โดยเฉพาะพวกที่เพิ่งตายไปใหม่ๆ พวกวัวป่าพวกควาย มีควายตัวหนึ่งถูกฆ่าตาย พอฆ่าตายดวงวิญญาณของควายก็มาหาเธอในสมาธิ เธอกำลังนั่งสมาธิอยู่ตอนนั้นเธอยังไม่รู้ว่าบรรลุหรือยัง แต่เธอสามารถเข้าไปในอุปจารสมาธิได้ พออยู่ในอุปจารสมาธิดวงวิญญาณของควายก็มาปรับทุกข์บอกว่าเพิ่งถูกฆ่าเจ้าของไม่พอใจ แม่ชีก็เลยถามว่าเพราะเธอดื้อหรือเปล่า “ก็มีบ้างครับ” นั่นสิเขาถึงฆ่าเธอ แต่เขาก็บอกว่าเขายอมรับว่าเขาผิด แต่ตอนนี้เขาตายแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เจ้าของที่ฆ่าควายนี้จะเอาเนื้อควายมาถวายแม่ชี ขอให้แม่ชีรับเป็นการรับทานของดวงวิญญาณดวงนี้ด้วย พอตอนเช้าแม่ชีก็ถามคนในสำนักว่า เมื่อคืนนี้มีใครฆ่าควายหรือเปล่า ยังไม่มีใครมาบอก แม่ชีถามก่อนแล้วว่าเอ๊ะมีฆ่าควายหรือเปล่า ก็มี มีคนอยู่ในหมู่บ้านแล้วเดี๋ยวเขาจะเอาเนื้อควายมาถวายให้สำนัก นี่คือการรู้ของผู้ปฏิบัติอุปจารสมาธิ คืนที่หลวงปู่มั่นตายแม่ชีนี้ก็รู้ล่วงหน้าก่อน เพราะดวงวิญญาณของหลวงปู่มั่นมาบอกแม่ชีเอง เพราะว่าแม่ชีกำลังจะเตรียมตัวไปหาหลวงปู่ไปเยี่ยมหลวงปู่ในวันรุ่งขึ้น แต่หลวงปู่ท่านตายในคืนนั้น พอตายแล้วหลวงปู่มั่นท่านก็มาทางวิญญาณ มาบอกแม่ชีว่าเธอไม่ต้องไปเยี่ยมเราแล้ว ไปก็ไม่เจอเราแล้ว เจอแต่ซากเจอแต่ร่างกายที่นอนนิ่งเฉยๆ พอตอนเช้าแม่ชีก็ร้องห่มร้องไห้ พวกแม่ชีที่อยู่ร่วมกันก็ถามว่าเป็นอย่างไรหรือ แม่ชีก็บอก หลวงปู่มั่นเสียแล้ว ทั้งๆ ที่คนในหมู่บ้านยังไม่รู้เลย เพราะอยู่กันคนละอำเภอ พอสายๆ นั่นแหละถึงจะมีข่าวมา คนทางอำเภอมาแจ้งว่า หลวงปู่มั่นได้เสียชีวิตแล้ว แต่เธอรู้ก่อนเห็นไหม อันนี้เป็นเรื่องของอุปจาระสมาธิ ไม่ใช่เป็นเรื่องเหลือเชื่อ มันมีเกิดขึ้นในวงการปฏิบัติมา แล้วผู้ปฏิบัติเหล่านี้ก็เป็นคนมีศีลมีธรรม ไม่มีความโลภที่จะเอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นเครื่องมือหากินแต่อย่างใด แต่พูดไปเพื่อให้รับรู้กันว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นจริงเกิดขึ้นได้ ดวงวิญญาณมีจริง ตายแล้วตายแต่ร่างกาย ดวงวิญญาณไม่ได้ตาย ดวงวิญญาณก็ไปต่อตามบุญตามกรรม ในกรณีของหลวงปู่มั่นท่านก็ไปนิพพาน ท่านก็ไม่มาเกิดมามีร่างกาย ไม่ไปเกิดเป็นเทวดา ไม่ไปเกิดเป็นพรหม แต่ท่านก็ไปนิพพานแทน
 
นี่คือเรื่องของดวงวิญญาณของแต่ละดวง ของพวกเราก็เหมือนกัน เดี๋ยวพวกเราตายดวงวิญญาณของเราก็จะออกจากร่างกายเราไป ดวงวิญญาณตอนนี้เราเรียกว่าดวงจิตดวงใจ ผู้รู้ผู้คิดนี่ ผู้ที่กำลังรู้นี่ไม่ใช่ร่างกายนะ ผู้ที่กำลังฟังธรรมอยู่นี้ไม่ใช่ร่างกาย ร่างกายไม่รู้เรื่องอะไร ร่างกายเหมือนกล้องถ่ายรูปนี้กล้องอัดเสียงนี้ มันไม่รู้ว่ามันกำลังถ่ายรูปกำลังอัดเสียง แต่คนดูนี่รู้ว่ากำลังได้ยินเสียงอะไร คนดูก็ไม่ใช่ร่างกาย คนดูก็อาศัยร่างกายเป็นผู้ถ่ายทอดเสียงกับภาพไปสู่ใจ นี่คือผู้รู้อีกทีหนึ่ง ผู้รู้ผู้คิดนี้คือใจที่ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย พอร่างกายตายไปผู้รู้ผู้คิดก็ต้องแยกออกจากร่างกายไป ก็ไปตามอำนาจของบุญของบาปต่อไป ถ้าบาปมากกว่าบุญก็จะไปอบายไปเกิดเป็นเดรัจฉาน หรือถ้าไม่เป็นเดรัจฉานก็ถ้าเป็นดวงวิญญาณก็เป็นดวงวิญญาณที่หิวโหย ถ้าทำบาปด้วยความโลภก็จะเป็นดวงวิญญาณที่หิวโหยเรียกว่าเปรต ถ้าทำบาปด้วยความกลัว ก็จะเป็นดวงวิญญาณที่มีความหวาดกลัว ก็จะเป็นอสูรกาย ถ้าทำบาปด้วยความอาฆาตพยาบาทก็จะเป็นดวงวิญญาณที่ร้อนด้วยความอาฆาตพยาบาทจองเวรจองกรรมก็จะเป็นนรก นี่คือดวงวิญญาณที่ถูกอำนาจของบาปพาไป เวลาตายบุญที่เราทำกับบาปที่เราทำนี้มันจะแย่งกัน เหมือนชักกะเย่อกัน ฝ่ายไหนมีกำลังมากกว่าฝ่ายนั้นก็จะดึงไป ถ้าบาปของเรามากกว่าบุญ บาปมันก็จะดึงเราไปอบาย ทำให้ดวงวิญญาณของเราเป็นเปรตบ้างเป็นอสูรกายบ้างเป็นนรกบ้าง หรือถ้าเกิดก็ไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ถ้าบุญมีมากกว่าบาป บุญก็จะดึงเราไปสวรรค์ไปเป็นเทวดาชั้นต่างๆ เทวดานี้ก็มี ๖ ชั้นด้วยกัน ตั้งแต่ชั้นต่ำพวกรุกขเทวดาไปถึงพวกชั้นสูงพวกดุสิตนี้ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับบุญที่ทำมากหรือน้อย ถ้าทำบุญมากก็จะขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นสูง ถ้าทำบุญน้อยแต่ยังมากกว่าบาปก็ไปสู่สวรรค์ชั้นต่ำ นี่คือเรื่องของดวงวิญญาณที่พวกเราตอนนี้ไม่มีทางที่จะรู้ได้ นอกจากถ้าเรามีอุปจารสมาธิ ถ้าเรามีอุปจารสมาธินี้เราจะมีดวงวิญญาณมาหาเรามาติดต่อเรา มาปรับทุกข์บ้างมาขอความช่วยเหลือบ้าง บางทีเขาหิวโหยไม่มีอาหารเราก็ทำบุญใส่บาตรส่งให้เขาไป บางทีเราไม่มีอุปจารสมาธิเขาก็อาจจะมาตอนที่เรานอนหลับก็ได้ เพราะในตอนเรานอนหลับแล้วอาจจะเข้าไปในอุปจารสมาธิก็ได้ เวลาเราฝันเราอาจจะคิดว่าเราฝัน แต่ความจริงมันไม่ใช่เป็นความฝัน เป็นความจริง ดวงวิญญาณของพ่อของแม่มาติดต่อกับเรามาขอความช่วยเหลือเรา มาเข้าฝันเรา
 
แต่ความจริงเราไม่ได้ฝันแต่เป็นอุปจารสมาธิที่เกิดขึ้นในขณะนอนหลับ อันนี้เราก็อาจจะติดต่อกับกายทิพย์ได้โดยไม่รู้สึกตัว เพราะเราอาจจะคิดว่าเป็นความฝัน ดังนั้นทางโบราณชาวพุทธเราจึงทำบุญอุทิศเวลาที่เราฝันถึงคนตาย เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเราฝันถึงเขาหรือเขามาหาเราเอง ก็เพื่อความไม่ประมาทให้คิดว่าเขาอาจจะมาหาเรา เขาต้องการมาขอความช่วยเหลือ งั้นเราก็ควรที่จะทำบุญใส่บาตรอุทิศบุญไปให้กับเขา เช่นคืนนี้ถ้าโยมนอนหลับแล้วไปฝันถึงคนที่รู้จักที่ตายไปแล้วนี่ ก็อาจจะหมายความว่าเขามาหาเราก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะเราคิดถึงเขาก็ได้ อันนี้เราไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ เพื่อความไม่ประมาทก็ทำบุญส่งไปให้เขา เผื่อเขามาจริงๆ เผื่อเขามาขอความช่วยเหลือ เราก็จะได้ช่วยเขาไปตามกำลังของเรา แล้วเราจะได้บุญจากการทำบุญ ๑ แล้วได้บุญจากการช่วยเหลือเขาอีก ๑ ได้บุญ ๒ ทอดด้วยกัน นี่คือเรื่องของดวงวิญญาณดวงจิตดวงใจ เวลาอยู่กับร่างกายเราก็เรียกว่าดวงจิตดวงใจ ผู้รู้ผู้คิดผู้สั่งให้ร่างกายทำบุญทำบาป นี้คือดวงจิตดวงใจ แล้วพอร่างกายตายไปดวงจิตดวงใจไม่มีร่างกายเราก็เปลี่ยนชื่อเป็นดวงวิญญาณแทน แล้วดวงวิญญาณก็จะเป็นดวงวิญญาณที่เป็นเทพหรือเป็นเปรตก็อยู่ที่บุญที่บาปเราสั่งให้ร่างกายทำตอนที่เรามีร่างกาย
 
ดังนั้น ศาสนาพุทธจึงสอนให้เราละการกระทำบาปทั้งปวง ป้องกันไม่ให้ดวงวิญญาณของเราไปเกิดในอบาย แล้วให้สร้างบุญสร้างกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อม ทำบุญทุกรูปแบบ บุญแบบไหนก็ได้เป็นบุญทั้งนั้น ทำบุญกับวัดก็ได้ ทำบุญกับโรงเรียนก็ได้ ทำบุญกับโรงพยาบาลก็ได้ ทำบุญกับหมากับแมวก็ได้ ปล่อยนกปล่อยปลา ไถ่โคไถ่วัว ทำบุญกับคนอนาถา ทำบุญกับคนแก่คนเฒ่า ทำบุญกับคนยากคนจนคนพิการ ทำบุญกับพ่อกับแม่กับพี่กับน้อง ได้หมด ทำกับลูกก็ได้นี่ เลี้ยงลูกก็เป็นบุญเหมือนกัน ทำอะไรที่ทำให้คนอื่นเขามีความสุขเรียกว่าเป็นการทำบุญชนิดที่เราควรจะทำ เช่นอย่าทิ้งพ่อแม่อย่าลืมพ่อแม่ ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ อันนี้ก็เป็นการทำบุญ อย่าทิ้งลูก ก็ต้องเลี้ยงลูก ถ้าทิ้งลูกลูกมันก็ตายได้ ไม่มีใครเลี้ยงมัน ต้องทำทุกแบบ บุญมีหลายรูปแบบด้วยกัน ทำบุญทุกชนิด หมามาขอความช่วยเหลือไม่มีที่อยู่อาศัยก็ให้ข้าวมันกินไป มันไม่สบายก็พาไปหาหมอรักษามัน สงสารปลาที่เขาจับมาจะฆ่าจะขายในตลาดก็ไปซื้อปลาในตลาดไปปล่อย เห็นเขาจะเอาวัวเข้าโรงฆ่าสัตว์ก็สงสารมัน ก็ไปไถ่ชีวิตมัน อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการทำบุญทุกรูปแบบ มีบุญแบบไหนทำได้ทำไป มันเป็นบุญทั้งนั้น มันจะสะสมแต้มบุญให้มีมากขึ้น แล้วถ้าเราไม่ทำบาปหรือทำน้อย เวลาตายไปนี้บุญจะมีกำลังมากกว่าบาป แล้วบุญมันจะส่งให้เราไปสวรรค์ทันทีไปเป็นเทพชั้นต่างๆ ถ้าทำน้อยก็เป็นชั้นต่ำ ถ้าทำมากก็จะเป็นชั้นสูง มีอยู่ ๖ ชั้นด้วยกัน ลองไปอ่านชื่อดู รู้สึกเริ่มต้นที่รุกขเทวดามั้ง พวกเทพที่อยู่กับต้นไม้ พวกนี้เป็นพวกต่ำ ชั้นสูงก็พวกดุสิต พวกนิมมานรดี ดาวดึงส์ ดุสิต นี่เป็นชั้นสูง เพราะบุญมากทำบุญมากก็จะมีความสุขมาก
 
นี่คือเรื่องของดวงวิญญาณ ถ้าเราปฏิบัติธรรมแล้วถ้าเรามีโอกาสเข้าถึงอุปจารสมาธิเราจะสัมผัสรับรู้ได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าเราไม่เข้าอุปจารสมาธิ เราเข้าเพียงแต่อัปปนาสมาธิ เราก็จะเห็นความแตกต่างของใจระหว่างการทำบุญกับการทำบาปว่ามันต่างกัน เราก็จะเชื่อได้เหมือนกันว่าใจนี้ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย เพราะเวลาเราเข้าสมาธิก็เหมือนปล่อยให้ร่างกายตายตอนนั้น ร่างกายตายแต่ใจก็ยังอยู่ นี่คือการพิสูจน์เรื่องของดวงวิญญาณ เรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด พิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า อริยสัจ ๔ ว่ามีจริงหรือไม่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ต้องพิสูจน์กันด้วยการปฏิบัติสมาธิ
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัด ชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน
โฆษณา