24 ต.ค. 2020 เวลา 04:07 • กีฬา
เรื่องสวยงามที่คุณได้ยิน อย่าเพิ่งเชื่อจนกว่ามันจะถูกคอนเฟิร์ม นี่คือเรื่องเล่าคลาสสิคของโรนัลดินโญ่ ตำนานของบาร์เซโลน่า ที่ผู้คนสับสนว่ามันเรื่องอะไรกันแน่?
คืนนี้ศึกเอล กลาสิโก้ ระหว่างเรอัล มาดริด vs บาร์เซโลน่า จะระเบิดขึ้นที่คัมป์นู โอเคล่ะ ว่าทั้งสองทีมไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีนัก แต่เมื่อไหร่ที่เจอกัน สิ่งที่การันตีได้เลยคือความเดือด
แต่ละยุค แต่ละสมัย เอล กลาสิโก้ ก็จะมีสตอรี่ของตัวเองเสมอ เมื่อ 26 ปีที่แล้ว 9 มกราคม 1994 บาร์ซ่าของโยฮัน ครัฟฟ์ ถล่มเรอัล มาดริดกระจุย 5-0 โดยโรมาริโอ ยิงแฮตทริกได้ และโรนัลด์ คูมันโค้ชบาร์ซ่าคนปัจจุบันก็ยิงได้ 1 ประตูในเกมนั้นด้วย
นี่คือเกมที่ถือว่าอยู่ในความทรงจำตลอดกาล ประตู 1-0 โรมาริโอ ใช้ไม้ตาย Cow's Tail (หางวัวสะบัดปีศาจ) อันลือลั่นทำประตูได้อย่างเหนือชั้นมาก จากนั้นลูก 2-0 คูมันอัดฟรีคิกเน้นๆ ตุงตาข่ายแบบทรงพลังสุดๆ
1
แต่ใครจะเชื่อว่าอีก 1 ปีต่อมา (7 มกราคม 1995) ทีมชุดเดียวกันนี่แหละ ไลน์อัพของเรอัล มาดริด เหมือนเดิมแทบทุกอย่าง แต่การเข้ามาของเด็กอัจฉริยะที่ชื่อราอูล กอนซาเลซ ได้เปลี่ยนมาดริดเป็นคนละทีม คราวนี้มาดริดเอาคืนด้วยการถล่ม 5-0 สกอร์เดียวกันเป๊ะ
อีวาน ซาโมราโน่ ยิงแฮตทริก เกมนี้บาร์ซ่าของโยฮัน ครัฟฟ์ทำอะไรไม่ได้เลย ซึ่งไม่น่าเชื่อมากๆ เพราะในรอบ 1 ปี สกอร์ 5-0 เกิดขึ้นเหมือนกัน แต่เป็นคนละฝั่ง
2
ทุกๆปี เอล กลาสิโก้ จะมีสตอรี่ของมัน ยุคเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในซีซั่น 2010-11 ปีที่บาร์ซ่าคว้าแชมป์ทุกอย่างบนโลก พวกเขาขยี้มาดริด 5-0 อีกครั้ง โดยหลังจบเกม มีภาพคลาสสิคคือ เคราร์ด ปิเก้ ชูมือกาง 5 นิ้วออก เพื่อเย้ยหยันฝั่งราชันชุดขาว
แต่ในซีซั่นต่อมา 2011-12 ที่คัมป์นู ในเกมนัดที่ 34 ซึ่งถือว่าเป็นเกมตัดสินแชมป์ เรอัล มาดริดของโชเซ่ มูรินโญ่ บุกมาชนะได้ 2-1 กับประตูชัยสุดเพอร์เฟ็กต์ ลูกแอสซิสต์แบบน้ำหนักพอดีเป๊ะจากเมซุต โอซิล ให้คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซัดเข้าไปแบบสวยงาม สมบูรณ์แบบ สุดท้ายมาดริดชนะ และคว้าแชมป์ไปในปีนั้น
1
ในลาลีกา เวลาสองทีมนี้เจอกัน มีสตอรี่มากมายตามมาเสมอ ดังนั้นต่อให้ฟอร์มไม่ได้อยู่ในระดับสุดยอด แต่ก็การันตีได้ว่า มีความดราม่าปะทุอย่างแน่นอน
สำหรับเกมเอล กลาสิโก้ อีกหนึ่งนัดที่ถือว่า "คลาสสิค" และถูกหยิบมาพูดถึงบ่อยมากที่สุด เกิดขึ้นในซีซั่น 2005-06 ที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบว
ณ เวลานั้น บาร์ซ่าคือทีมที่ดีที่สุดในสเปน และในยุโรป ลีโอเนล เมสซี่ แจ้งเกิดแล้ว ซามูแอล เอโต้, ชาบี เอร์นันเดซ และอันเดรส อิเนียสต้าก็อยู่ แต่คนที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดเบอร์ 1 คือ โรนัลดินโญ่
การแข่งวันนั้นเกิดขึ้น วันที่ 19 พฤศจิกายน 2005 เป็นช่วงออกสตาร์ตฤดูกาล (เกมที่ 12) ซึ่งอันดับในตารางก็ถือว่าสูสี บาร์ซ่าเป็นจ่าฝูงมี 24 แต้ม ส่วนมาดริดมี 21 แต้ม ช่องว่างห่างกันแค่ 3 แต้มเท่านั้น
มันแปลว่าถ้ามาดริดชนะสวยๆ ก็อาจทำอันดับแซงบาร์ซ่าขึ้นไปเป็นจ่าฝูงได้เหมือนกัน เกมเอล กลาสิโก้ นัดนั้นจึงมีความหมายมาก
มาดริด ใช้กาลาคติกอสแบบจัดหนัก กองหน้าสามตัว โรนัลโด้-โรบินโญ่-ราอูล ส่วนกองกลางมีทั้งซีเนอดีน ซีดาน และเดวิด เบ็คแฮม แนวรับโรเบอร์โต้ คาร์ลอส, เซร์คิโอ รามอส, อีเกร์ กาซียาส ครบเซ็ต
1
ส่วนฝั่งบาร์ซ่า หน้าสามมี เมสซี่ยืนขวา, เอโต้ยืนกลาง, โรนัลดินโญ่ยืนซ้ายสุด ส่วนคู่มิดฟิลด์ตัวกลางใช้เดโก้ กับ ชาบี เอร์นันเดซ
จะเห็นว่าศักยภาพของทั้งสองทีมมีความแข็งแกร่ง ไม่มีใครเป็นรองใคร ผลลัพธ์สามารถออกได้ทุกหน้า
อย่างไรก็ตามนักเตะที่สร้างความแตกต่างในเกมนั้น มีแค่คนเดียว นั่นคือโรนัลดินโญ่ นี่เป็นเกมที่เขาโดดเด่นที่สุด ตั้งแต่ย้ายมาบาร์ซ่าเลยก็ว่าได้
1
โรนัลดินโญ่ใช้ทักษะทั้งหมดที่ตัวเองมี ทำได้ 2 ประตูในเกมนั้น โดยลูกแรกเขากระชากครึ่งสนาม กระโดดหลบรามอสที่กระโจนเสียบ ก่อนหักหลบอีบัน เอลเกร่า แล้วยิงเสาแรกจนกาซียาสขาตาย เข้าประตูไปแบบเพอร์เฟ็กต์จริงๆ
จากนั้นลูกที่ 2 ก็สวยไม่แพ้กัน เขาดวลตัวต่อกับรามอสอีกครั้ง คราวนี้รามอสรู้ทันแล้วไม่ยอมพุ่งเสียบ แต่โรนัลดินโญ่ใช้ความเร็ว และความแข็งแกร่งของร่างกายสปีดหนีไปดื้อๆ แล้วใช้ท่อนแขนบังไว้ ไม่ให้เข้าถึงตัวได้ ก่อนปั่นบอลด้วยขวา ผ่านกาซียาสไปอีก
นั่นเป็นปีแรกที่รามอสย้ายมามาดริด เขาเองมีอายุ 19 ปี และได้ขึ้นชื่อว่าเป็นกองหลังอนาคตไกล แต่นั่นคือบทเรียนครั้งสำคัญในสนาม ที่เขาเองโดนเผากระจุย เกมนั้นเขาต้านทานโรนัลดินโญ่ไม่ได้จริงๆ
สิ่งที่คลาสสิคที่สุด คือพอโรนัลดินโญ่ยิงลูกที่ 2 ของตัวเอง ให้บาร์ซ่านำ 3-0 แฟนๆในสนามเบร์นาเบว ลุกขึ้นสแตนดิ้งโอเวชั่น ปรบมือให้โรนัลดินโญ่ ซึ่งเราไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อนเลย เพราะใครก็รู้ว่าแฟนมาดริดเกลียดบาร์ซ่าจะตาย แต่คราวนี้พวกเขา ยืนปรบมือให้อย่างเต็มใจ
พรสวรรค์ และลักษณะนิสัยของโรนัลดินโญ่ ต่อให้เป็นแฟนบอลทีมไหนก็เกลียดชังไม่ลงจริงๆนั่นแหละ
สุดท้ายเกมนั้นบาร์ซ่าชนะ 3-0 ยืดแต้มเป็นจ่าฝูงต่อ และพวกเขาก็ไม่เคยหล่นลงมาจากตำแหน่งนั้นอีกเลย จบจบฤดูกาล คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ
ความมหัศจรรย์ของโรนัลดินโญ่ แม้ว่าจะผ่านไปนานแล้วหลายปี แต่เกมนัดนี้ ก็ยังคงถูกหยิบเอามาพูดเสมอในแง่มุมต่างๆ เป็นเกมเอล กลาสิโก้นัดหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำของแฟนบอลทั่วโลก
ในปี 2016 อันเดรส อิเนียสต้า ได้เขียนอัตชีวประวัติของตัวเองหนึ่งเล่ม ชื่อ Andres Iniesta : The Artist เตรียมวางขายในช่วงปลายปี ซึ่งหนังสือก็จะบอกเล่าชีวิตของเขาตั้งแต่เริ่มต้นที่ลา มาเซีย จนประสบความสำเร็จอย่างมากมายในเวลาต่อมา
ก่อนหนังสือวางขายอย่างเป็นทางการ ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง ชื่อ @iammoalim เล่าในทวิตเตอร์ว่าเขาได้อ่านหนังสือมาแล้ว และมีหนึ่งเรื่องที่เขาประทับใจมาก เลยหยิบมาเล่าก่อนที่หนังสือจะวางแผง
เป็นเหตุการณ์ก่อนศึกเอล กลาสิโก้ ในฤดูกาล 2005-06 แมตช์ที่โรนัลดินโญ่ยิง 2 ลูกนั่นแหละ โดยเนื้อเรื่องที่อิเนียสต้าเล่ามีอยู่ว่า
"ก่อนศึกเอล กลาสิโก้ 2 วัน โรนัลดินโญ่โทรหาผมกลางดึก ผมลุกขึ้นมารับโทรศัพท์ ซึ่งเสียงปลายสายบอกกับผมว่า 'อันเดรส ฉันรู้ดีว่าตอนนี้ตี 3 แล้ว แต่ฉันมีบางเรื่องจะสารภาพกับนาย นายรู้ไหมว่ากลางปีหน้า ในเดือนมิถุนายน ฉันจะย้ายออกจากบาร์ซ่า เพราะพี่ชายของฉันทำข้อตกลงเรื่องฉีกสัญญากับเรอัล มาดริดเอาไว้แล้ว คือข้อเสนอที่ได้รับมันมหาศาลมากจริงๆ มากจนฉันไม่อาจจะปฏิเสธได้ ตอนนี้นายยังเด็ก นายอาจจะไม่เข้าใจ แต่อีกไม่นานนายจะเข้าใจฉันเอง อย่างไรก็ตาม ฉันขอร้องนะ ว่านายอย่าบอกใครเรื่องนี้ ในห้องแต่งตัว อย่าหักหลังฉันนะ ฉันเชื่อใจนายมากยิ่งกว่าใครทั้งนั้น อันเดรส ฝันดีนะ' จากนั้นโรนัลดินโญ่ก็วางสายไป โดยไม่ทันให้ผมพูดอะไรเลย"
"วันรุ่งขึ้น ระหว่างที่เราซ้อมกันอยู่ ผมรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ รอบตัวผม ทั้งทีมต่างเงียบผิดปกติ แล้วพอโรนัลดินโญ่เดินมา ทุกคนก็รีบทักทายเขาอย่างผิดปกติมากๆ แล้วจากนั้นเวลาก็ผ่านไป จนถึงวันแข่งเอล กลาสิโก้"
"ในห้องแต่งตัวที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบว โรนัลดินโญ่พูดขึ้นมาว่า"
'พวกนายทุกคน วันนี้เป็นเกมสำคัญมากๆ เราทุกคนแข็งแกร่ง ฉันมั่นใจในเรื่องนั้น แต่ในวันนี้ฉันพบความจริงอีกอย่าง ว่าเราแน่นแฟ้นกลมเกลียวราวกับครอบครัวเดียวกัน ทำไมฉันคิดอย่างนั้น เพราะเมื่อ 2 วันก่อน ฉันโทรหาทุกคนกลางดึก และฉันก็บอกทุกคนด้วยคำพูดเดียวกัน ว่าฉันจะย้ายไปเรอัล มาดริด เดือนมิถุนายนนี้'
'ซึ่งแน่นอน มันไม่เป็นความจริง แต่ฉันอยากทดสอบดูว่า จะมีใครขายความลับของฉันหรือไม่ และคำตอบคือ ไม่มีใครสักคนหลุดปากพูดออกมาเลย มันทำให้ฉันเข้าใจว่า ทุกคนพร้อมที่จะอึดอัดกับการเก็บความลับ ดีกว่าลอบแทงข้างหลัง ฉันอยากจะบอกว่าพวกนายไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะอยู่บาร์เซโลน่าไปอีกนาน'
'เอาล่ะ ตอนนี้ก็มีบทพิสูจน์แล้วว่าพวกเรามีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ตอนนี้ได้เวลาที่เราจะลงสนามไปสอนให้พวกเรอัล มาดริดมันรู้ ถึงสปิริตในทีมเราแล้ว'
"และจากนั้นพวกเราก็ชนะเรอัล มาดริดได้อย่างขาดลอย 3-0 โดยโรนัลดินโญ่ยิงได้ 2 ประตู พร้อมได้รับสแตนดิ้งโอเวชั่นจากแฟนๆของมาดริดด้วย"
เรื่องที่อิเนียสต้าเล่าจบลงตรงนี้ ซึ่งเมื่อทวีตนี้หลุดออกไป สื่อดังๆทั่วโลก ก็นำไปเผยแพร่กันมากมาย ไล่ตั้งแต่เดลี่ เมล์, เดลี่ มิร์เรอร์, ดิ อินดิเพนเดนท์, ESPN รวมถึงบลีชเชอร์ รีพอร์ท ก็กล่าวชื่นชมโรนัลดินโญ่กับกลยุทธ์จิตวิทยาที่ใช้กับเพื่อนร่วมทีม ก่อนศึกเกมสำคัญ
นี่เป็นเรื่องที่อินไซเดอร์สุดๆ และทำให้เห็นเลยว่า โรนัลดินโญ่ไม่ใช่พวกสายปาร์ตี้ไปเรื่อยเปื่อย แต่เขาเองก็มีไอเดียดีๆ ที่จะสร้างสปิริตในทีมอยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม สัจธรรมที่เราต้องเรียนรู้เสมอเมื่อคิดจะอยู่ในโลกออนไลน์ก็คือ เรื่องอะไรที่ "ดีเกินไป" ให้ระวังไว้ว่ามันเป็นเรื่องลวง
1
ใช่ เรื่องสวยงามที่เป็นเรื่องจริงก็มี แต่มันน้อย เรื่องส่วนใหญ่ถ้าแบบเว่อร์มากๆ ให้ตระหนักไว้เลยว่า มันมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
เช่นเรื่อง ตอนคริสเตียโน่ โรนัลโด้ คัดตัวบอลเยาวชนสมัยเด็ก แล้วแมวมองของสปอร์ติ้ง ลิสบอนบอกว่า ใครที่ยิงประตูได้มากที่สุด จะถูกเลือกไปอยู่อะคาเดมี่ ซึ่งในเกมนั้นโรนัลโด้ กับเพื่อนสนิทอัลเบิร์ต ฟรานเทา ยิงได้คนละ 2 ลูก จากนั้นตอนท้ายเกม ฟรานเทาหลุดเดี่ยวไปอยู่หน้าโกล์โล่งๆ แต่แทนที่เขาจะยิงเอง กลับเลือกจ่ายให้โรนัลโด้ยิงเข้าไป พอโรนัลโด้ถามว่าทำไม ฟรานเทาก็ตอบว่า เพราะนายจะไปได้ไกลกว่าฉันน่ะสิ สุดท้ายโรนัลโด้เลยติดทีมเยาวชน แล้วเขาก็สำนึกในน้ำใจของฟรานเทาตลอดมา แน่นอน ถ้าเราไม่คิดอะไรเลย ก็ฟังดูสวยงามดี แต่ความจริงคือ ทั้งหมดเป็นเรื่องเก๊ อัลเบิร์ต ฟรานเทา ไม่เคยมีตัวตนอยู่จริงแต่แรกอยู่แล้ว
ดังนั้นเรื่องโรนัลดินโญ่ก็เหมือนกัน มีคนตั้งข้อสงสัยว่า เฮ้ย มันจะเป็นไปได้หรือ ที่โรนัลดินโญ่จะไล่โทรหานักเตะทุกคนในทีม เพื่อพิสูจน์ใจว่าแต่ละคน จะเอาเรื่องของเขาไปขายหรือเปล่า มันไม่โอเวอร์ไปหน่อยหรือ
ดังนั้นผู้สื่อข่าวจึงพยายามขุดคุ้ย โดยนักข่าวฝั่งอังกฤษไปถามซิด โลว์ ผู้แปลหนังสือเล่มนี้ ว่ามีพาร์ทเรื่องนี้ในเล่มหรือเปล่า ซึ่งซิด โลว์ ก็ตอบว่า ตอบที่เขาแปลไม่เห็นอิเนียสต้าเล่าตรงส่วนนี้สักหน่อย
พอหนังสือออกวางขายจริงๆ คนอ่านก็ไล่อ่านดู ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย ปรากฎว่า ก็ไม่เห็นมีส่วนไหนที่ตรงกับเรื่องเล่าดังกล่าวเลย อิเนียสต้าไม่ได้กล่าวถึงสักหน่อย
แต่คนที่ "เชื่อ" เรื่องเล่าโทรศัพท์กลางดึกของโรนัลดินโญ่ไปแล้ว ก็พยายามโต้แย้งว่า อาจจะมีในเนื้อหาจริงๆ ก็ได้ แต่พอตกเป็นข่าว อิเนียสต้าก็เลยตัดเนื้อหาในเล่มส่วนนั้นทิ้งหรือเปล่า จะได้ไม่มีประเด็นดราม่า
สุดท้ายนักข่าวจึงไปสืบหาความจริงต่อ และคงไม่มีใครให้คำตอบได้ดีที่สุด เท่ากับตัวโรนัลดินโญ่เอง
"ก็จริงอยู่ ที่ในเกมใหญ่อย่างเอล กลาสิโก้ มันมีความตึงเครียดมาก และเราก็ต้องพยายามทำให้ทุกอย่างรีแล็กซ์ขึ้นเท่าที่จะทำได้" โรนัลดินโญ่เผย
"แต่กับเรื่องของอิเนียสต้าที่เขาลือกัน ผมจำไม่ได้เลยนะ ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง"
สุดท้ายเรื่องทั้งหมดก็เลย เอวัง ไปด้วยประการฉะนี้ ในอัตชีวประวัติก็ไม่มีเขียน โรนัลดินโญ่เองก็บอกว่าไม่เคยเกิดขึ้นจริง กลายเป็นว่าสำนักข่าวทั่วโลกไปหลงเชื่อ ชาวบ้านที่ไหนก็ไม่รู้ ที่ไม่มีตัวตนจริงๆ ในโลกออนไลน์ จนนำเสนอประเด็นกันไป แบบเป็นตุเป็นตะ
สุดท้าย ทวิตเตอร์ @iammoalim ปิดหนีไปเรียบร้อย ทิ้งไว้เพียงแต่เรื่องแต่งที่ไม่เป็นจริงเลย
สำนักข่าวที่ลงข่าวนี้ ได้บทเรียนครั้งสำคัญ เพราะถูกชาวบ้านเอามาล้อเลียนสนุกสนาน คือประชาชนก็แขวะสำนักข่าวอย่างสนุกเลย ว่าเรื่องที่มันเหลือเชื่อแบบนี้ คุณเป็นสื่อทั้งที ไม่คิดจะรีเช็กก่อนสักหน่อยหรือ
ขณะที่กับคนทั่วไปก็ได้บทเรียนเช่นกัน ว่าในการตามข่าวแต่ละวันนั้น การจะเชื่ออะไรสักอย่างในอินเตอร์เนต "คนนำเสนอข่าว" ก็มีส่วนสำคัญมากๆ
กล่าวคือ ในโลกออนไลน์ คนใช้ทวิตเตอร์สร้างแอคหลุมขึ้นสักอัน แล้วจะโพสต์อะไรก็ได้ จริงเท็จแค่ไหนก็ได้ โดยไม่ต้องมีความรับผิดชอบใดๆต่อสังคมเลย ตรงข้ามกับนักข่าวที่มีตัวตนจริงๆ รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ทำงานกับสื่ออะไร พวกเขาจะมีชื่อเสียง และอาชีพของตัวเองค้ำคออยู่ ดังนั้นโอกาสที่จะเสนอข่าวด้วยข้อเท็จจริงก็มีมากกว่า
แต่ท้ายที่สุดแล้ว แม้คนส่งสารจะมีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่งแล้วก็เถอะ ในยุคนี้คือผู้รับสาร ก็ต้องเอาข่าวที่ได้รับมากรองอีกทีอยู่ดี อย่าเพิ่งปักใจเชื่ออะไรง่ายๆ เราอาจจะอยู่ในเกมที่คนอื่นปั่นหัวเราโดยไม่รู้ตัวก็ได้
ดราม่าในอดีตมีมากมาย และคืนนี้เอล กลาสิโก้ แข่งขันตามเวลาประเทศไทยคือ 21.00 น. ซึ่งอาจจะมีดราม่าใหม่ๆเกิดขึ้นมาก็ได้ ใครจะรู้
แน่นอนพรีเมียร์ลีกเองก็รู้ดีถึงความใหญ่ของเอล กลาสิโก้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลี่ยงเอาคู่ใหญ่ไปไว้ในสล็อตเวลาอื่น
18.30 เวสต์แฮม vs แมนฯซิตี้
21.00 ฟูแล่ม vs คริสตัล พาเลซ
23.30 แมนฯยูไนเต็ด vs เชลซี
02.00 ลิเวอร์พูล vs เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
เห็นได้เลยว่า แมนฯซิตี้, แมนฯยูไนเต็ด, เชลซี, ลิเวอร์พูล โปรแกรมใหญ่ๆ หนีสล็อต 21.00 น. กันหมด เพราะฝั่งอังกฤษเองก็รู้ว่า ถ้าต้องชนเอล กลาสิโก้จริงๆ ในภาพรวมทั่วโลก พวกเขาเสียเปรียบกว่า และอาจโดนแย่งผู้ชมไป ดังนั้นจึงเอาฟูแล่ม vs คริสตัล พาเลซ ที่มีฐานแฟนน้อยวางไว้ในช่วงสามทุ่ม
เช่นเดียวกับอิตาลี ทีมใหญ่อย่างอินเตอร์ มิลาน ขยับไปเตะ 23.00 น. หรือลาซิโอ ก็เตะ 01.45 น. หรือในเยอรมัน ซูเปอร์บิ๊กแมตช์ดาร์บี้เหมืองถ่านหิน ดอร์ทมุนด์ vs ชาลเก้ ก็ไปแข่งเวลา 23.30 น. ซึ่งเอล กลาสิโก้ จบลงแล้วเช่นกัน
พอจะเห็นภาพอยู่ว่า แม้ทั้งสองทีมไม่ใช่ทีมเบอร์ 1 และ 2 ของโลกอีกแล้ว แต่คุณค่าของ บาร์ซ่า ปะทะ มาดริด ก็ยังมีความน่ากลัวในแง่การตลาดมากๆอยู่ดี
สำหรับศึกเอล กลาสิโก้นั้น สิ่งที่การันตีได้แน่ๆ 1 อย่างคือ มันเป็นเกมที่มีคุณภาพสูงอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นแม้ความยิ่งใหญ่จะไม่อลังการเหมือนเดิม แต่เชื่อได้เลย ว่ามันคู่ควรกับการใช้เวลารับชมแน่นอน
#Laliga #Ronaldinho
โฆษณา