27 ต.ค. 2020 เวลา 05:50 • ความคิดเห็น
5 ข้อแตกต่างของคนธรรมดา กับคนที่ร่ำรวย หรือประสบความสำเร็จ
1. ความคิด
สิ่งแรกที่ทำให้คนแต่ละคนแตกต่างกันก็คือ ความคิด ยิ่งความคิดภายในเป็นเช่นไร ก็จะส่งผลถึงการแสดงออกมาสู่ภายนอกเช่นนั้น เช่นคน คิดลบ ก็มักจะพูดแต่เรื่องไม่ดี ๆ ออกมา มากกว่าเรื่องดีๆ เพราะตัวเองมองเห็นแต่แง่มุมที่ไม่ดีอยู่ตลอด ผิดกับคนคิดบวก ที่มองเห็นแต่เรื่องดีๆ มากกว่าเรื่องที่ไม่ดี
นอกจากเรื่องคิดดี และไม่ดีแล้ว ก็จะเป็นเรื่อง ความคิดแบบเปิดรับ (Growth mindset) กับ ความคิดแบบไม่เปิดรับ (Fixed Mindset)
คนที่มีความคิดแบบเปิดรับ จะกล้าที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ นั่นจึงทำให้ พวกเขาได้โอกาส ใหม่ ๆ เข้ามาหา ผิดกับคนที่ไม่เปิดรับ ก็มักจะมีแต่เรื่องเดิม ๆ วนเข้ามา ที่สำคัญกว่าก็คือ ไม่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่จะสร้างโอกาส สร้างรายได้ให้กับตัวเองมากขึ้นอีกด้วย
ตัวอย่าง ง่าย ๆ ในเรื่องของเทคโนโลยี ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น คนบางคนไม่เปิดรับในเรื่องนี้เลย มีความคิดหลังหัวว่า ยาก ลำบากที่จะต้องมาเรียนรู้สิ่งใหม่ ทั้งๆ ที่เมื่อเรียนแล้วสามารถช่วยเหลือได้มากกว่า แต่ก็ไม่คิดที่จะเปิดรับ ปิดกั้นตัวเองอยู่แบบนั้น จนในที่สุด ก็เหมือนคนที่ต่อแถวรั้งท้าย ไม่ทันคนอื่นเขา
2. เป้าหมาย
1
ความแตกต่างระหว่างคนมีเป้าหมายและไม่มีเป้าหมาย นั้นต่างกันสิ้นเชิง
มีหลาย ๆ คนบอกว่า เวลาตั้งเป้าหมาย ต้องตั้งให้ชัด ต้องมี Smart Goal นั่นคือ ชัดเจน วัดผลได้ ทำได้จริง เกี่ยวพันกับชีวิต และมีกรอบเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างเช่น ตั้งเป้าลดน้ำหนัก คนที่ทำไม่สำเร็จส่วนมาก มักจะมาจากการตั้งเป้าว่า "ฉันจะลดน้ำหนัก 5 กิโล" เริ่มต้นด้วยการไปเข้ายิมวันแรก และลงท้ายด้วยการกินเหมือนเดิม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเมื่อเป้าหมายไม่ชัด แรงจูงใจจึงไม่เกิด สมองจึงไม่สั่งการ และสุดท้ายกลับกลายมาทำแบบเดิม ๆ ที่ตัวเองเคยชิน
แต่การตั้งเป้าหมายให้ดีนั้นจะต้องชัดเจนและวัดผลได้ เช่น "ลดน้ำหนัก 5 กิโล ภายในเวลา 1 เดือน เพื่อจะใส่ชุดว่ายน้ำไปเที่ยวครั้งหน้า ติดตามโดยการชั่งน้ำหนักทุกๆ วัน" พอเป้าหมายชัดเจน วิธีการจะมาเอง สมองเราต้องการการ Focus ที่มากพอ เพื่อที่จะเดินไปถึงจุดหมาย ถ้าไม่ชัด ก็จะไปไม่ถึงนั่นเอง
ดังนั้นคนที่มีเป้าหมาย โดยเฉพาะคนที่มีเป้าหมายชัดเจน จะส่งผลให้การกระทำ ชัดเจนยิ่งกว่า มุ่งมั่นกว่า คนที่ไม่มีเป้าหมายใด ๆ ตั้งไว้เลย เพราะส่วนมากคนที่ไม่มีเป้าหมาย ก็มักจะ ทำสิ่งที่ทำไปเรื่อยๆ ให้หมดเป็นวัน ๆ นั่นเอง
1
3. มองไกลมากกว่ามองใกล้
คนหลายคน มักจะมองถึงความสุขที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ มากกว่าความสำเร็จไกลตัว
แต่คนที่จะประสบความสำเร็จ คือคนที่อดทนอดกลั้นได้มากกว่าคนอื่นนั่นเอง
ตัวอย่างง่าย ๆ น่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพ
มีหลายต่อหลายคนป่วยเป็นโรคร้ายแรง สาเหตุส่วนมากมาจาก การกระทำของตัวเอง เช่น ป่วยเป็นเบาหวาน เพราะกินหวานมากไป ป่วยเป็นมะเร็งปอด เพราะสูบบุหรี่มากไป ป่วยเป็นโรคไต เพราะกินแต่ของไม่ดีทำให้ไตทำงานหนัก
ความสุขเหล่านี้ล้วนเป็นความสุขระยะสั้น ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่ถ้าเราให้ความสำคัญกับมันมากไป ก็จะทำให้เกิดผลเสียหายในภายหลัง
แต่คนที่อดทนเป็น ส่วนมากจะรู้ว่า การยอมลำบากในตอนแรกนั้น จะนำมาซึ่งความสบายในภายหลัง ถึงแม้ว่าการลำบากนั้น จะเป็นความลำบากชนิดที่ว่า น้อยคนจะทนได้ก็ตาม แต่ถ้าผ่านจุดนั้นมาได้ ก็มักจะกลายเป็นคนที่สำเร็จ นักเขียนอย่าง เจ เค โรว์ลิ่ง ก็ทนลำบากมากมายกว่าจะเขียนต้นฉบับ แฮรี่พอตเตอร์เสร็จ แถมพอเขียนเสร็จแล้วไปเสนอใครก็ไม่มีใครเอา กว่าจะได้มาตีพิมพ์ เรียกได้ว่าแทบไม่มีจะกิน แต่สุดท้าย เมื่อ ได้ตีพิมพ์ขายเท่านั้นแหละ ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันที
เชื่อได้เลยว่า ถ้าคนอื่นมาอยู่ในจุดเดียวกับ เจ เค โรว์ลิ่ง 100 คน คงจะมีเกินครึ่งที่ตัดสินใจเลิกล้มความตั้งใจนี้ทิ้งไปแล้ว
4. มีข้ออ้างให้น้อยที่สุด
สิ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จ มีสิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยเลย ก็คือ การมีข้ออ้างให้กับตัวเอง
เชื่อเหลือเกินว่าทุกคนย่อมมีข้ออ้างหรือเหตุผลดีๆ ให้กับตัวเองเสมอ ในการเลือกที่จะทำ หรือไม่ทำ ในสิ่งใด แต่การที่เราจะเริ่มต้นใหม่กับอะไรสักอย่าง ต้องใช้แรงผลักมหาศาล เหมือนกับล้อรถที่จะวิ่งในตอนแรก มักจะต้องใช้แรงในการออกตัวมากหน่อย แต่เมื่อรถวิ่งไปแล้ว ก็จะใช้แรงไม่มากนัก
คนบางคนมักจะมีข้ออ้างให้กับตัวเองเสมอ ในการจะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อย่างเช่น ไม่ยอมเรียนภาษาอังกฤษ ก็อ้างว่าไม่มีเวลา อ้างว่าไม่มีเพื่อน ทั้ง ๆ ที่ ถ้าจะเรียนจริงๆ ก็สามารถเรียนได้นั่นแหละ
แต่สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว เขาจะมีข้ออ้างแบบนี้ให้กับตัวเองน้อยมาก เพราะเขามักจะลงมือทำมากกว่า ที่จะมัวแต่อ้าง
5. การลงมือทำ
มีหลายต่อหลายคนคิดเก่ง แต่ดันทำไม่เก่งหรือหลายต่อหลายคน คิดได้ แต่ยังไม่ได้เริ่มลงมือสักที
สาเหตุที่ทำให้คนหลาย คนไม่สำเร็จ ในสิ่งที่อยากทำ ในสิ่งที่จะทำ เป็นเพราะว่าไม่ได้เริ่มทำสักทีนั่นเอง
จริง ๆ แล้ว ความพร้อมอาจเป็นตัวแปรหนึ่งที่ คนหลายคนมักใช้มาเป็นข้ออ้างในการเริ่มทำหรือไม่ทำ แต่ จากการเรียนรู้ที่ผ่าน ๆ มา ผมกลับพบว่า มีหลายต่อหลายคน ที่เริ่มต้นด้วยความไม่พร้อม กลับประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในภายหลัง
ดังนั้นสิ่งสำคัญอาจจะไม่ใช่ความพร้อมหรือไม่พร้อม แต่น่าจะเป็นการได้เริ่มทำหรือยังไม่ได้ลงมือทำมากกว่า
เพราะเมื่อทำแล้ว ก็ยังพอจะปรับเปลี่ยน แก้ไขให้ดีขึ้นได้ในภายหลัง และสุดท้าย เมื่อดีแล้วก็จะได้ทั้งประสบการณ์ และความพร้อมในตอนที่มีทุกอย่างแล้วนั่นเอง
ทั้ง 5 ข้อนี้ก็เป็นเพียงข้อสรุปจากการเรียนรู้และสังเกตจากหนังสือ ที่พูดถึงความสำเร็จในหลายๆเล่ม มักจะพูดข้อที่ว่าคล้ายๆกัน ผมจึงทำเป็นสรุป ให้กับุกคนได้อ่านในวันนี้
หวังว่าจะมีประโยชน์นะครับ
โฆษณา