29 ต.ค. 2020 เวลา 01:04 • กีฬา
ก่อนถึงเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อคืนวันพุธ สถิติบอกว่านับตั้งแต่ แอร์เบ ไลป์ซิก ก่อตั้งสโมสรขึ้นเมื่อปี 2009 พวกเขาไม่เคยแพ้ใครด้วยผลต่างขาดลอยถึง 5 ประตูมาก่อนเลย
สถิติแพ้ยับที่สุดของทีมกระทิงแดง คือการพ่าย โฮลสไตน์ คีล 1-5 คาบ้านในศึกเรกิโอนาลลิกา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2011
หรือหากนับเกมที่แพ้แบบยิงคู่แข่งไม่ได้ ก็คือการพ่าย ซานด์เฮาเซ่น 0-4 คารัง ในเดือนพฤษภาคม 2015 และการบุกแพ้ ฮอฟเฟ่นไฮม์ 4-0 ในศึกบุนเดสลีกา ซีซั่น 2017-18
และนับตั้งแต่ได้โค้ชหนุ่มอย่าง ยูเลี่ยน นาเกิลส์มันน์ เข้ามาเป็นกุนซือเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ไลป์ซิก ไม่เคยเสียประตูมากกว่า 3 ลูกในเกมเดียว
ไลป์ซิก ยังออกสตาร์ทซีซั่นใหม่นี้ได้อย่างแข็งแกร่ง เมื่อแข่งมา 7 นัดรวมทุกรายการ ทำผลงานชนะ 6 เสมอ 1 นำจ่าฝูงบุนเดสลีกาด้วยการมี 13 แต้ม ส่วนเกมประเดิม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ก็เปิดบ้านทุบ อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ ไปสบายๆ 2-0
แต่ล่าสุด พวกเขาต้องมาเจอกับความพ่ายแพ้ที่ยับเยินที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร เมื่อโดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไล่ต้อนไปแบบขาดลอยถึง 5-0 โดยที่ 4 ประตูสุดท้าย เกิดขึ้นในเวลาห่างกันเพียงไม่ถึง 18 นาที
ถือเป็นเรื่องผิดคาดมากพอสมควรที่การเจอคู่แข่งระดับนี้ จะเป็นเกมที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เลือกพัก 2 ดาวเตะตัวสำคัญอย่าง บรูโน่ แฟร์นันเดส และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ไว้ข้างสนามก่อน
ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ได้เป็นตัวจริงอย่างที่แฟนผีแดงอยากเห็น แถมระบบการเล่นยังใช้หมาก 4-3-1-2 ซึ่งกองกลางทีมชาติเนเธอร์แลนด์ยืนเป็นตัวบนสุด อยู่หลังคู่หน้าอย่าง เมสัน กรีนวู้ด กับ อองโตนี่ มาร์กซิยาล อีกต่างหาก
3 ประสานแดนกลาง มีการส่ง ปอล ป็อกบา กลับมาเป็นตัวปั้นเกมอีกครั้ง และได้เล่นเป็นมิดฟิลด์เยื้องไปทางซ้ายซึ่งเป็นตำแหน่งที่เจ้าตัวที่ถนัดที่สุด ขณะที่ทางขวาปล่อยให้ เฟร็ด วิ่งพล่าน ส่วน เนมานย่า มาติช ยืนต่ำสุดคอยคุมจังหวะเกม
ในแผนกเกมรับยังไว้ใจ 5 ตัวหลักลงผนึกกำลัง โดย ดาบิด เด เคอา ลงเฝ้าเสา และแผงแบ็กโฟร์จากขวาไปซ้าย ประกอบด้วย อารอน วาน-บิสซาก้า, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ ลุค ชอว์
อีกปัจจัยสำคัญที่ต้องใช้กองหลังชุดนี้เหมือนเดิม เป็นเพราะ อเล็กซ์ เตลลิส แบ็กซ้ายตัวใหม่ดีกรีทีมชาติบราซิล มีผลตรวจโควิด-19 ออกมาเป็นบวก ขณะที่ อั๊กเซล ตวนเซเบ้ ยังไงก็คงต้องเป็นตัวสำรอง ถ้าหาก วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ อยู่ในสภาพฟิตพร้อมลงคู่กัน
ถือว่ามีการเปลี่ยน 11 ตัวจริงจากชุดที่เปิดบ้านเสมอ เชลซี 0-0 เมื่อวันเสาร์ถึง 5 ตำแหน่ง โดย แรชฟอร์ด, แฟร์นันเดส, ฆวน มาต้า, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และ แดเนียล เจมส์ หลุดไปเป็นตัวสำรอง
ทางฝั่ง ยูเลี่ยน นาเกิลส์มันน์ เลือกที่จะปรับแผนการเล่นจากที่ใช้ 4-2-3-1 นัดที่เปิดบ้านแซงชนะ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน 2-1 เมื่อวันเสาร์ มาใช้ระบบหลัง 3 ในเกมนี้เพื่อเน้นเกมโต้กลับใส่เจ้าถิ่น
ตัวหลักอย่าง ดานี่ โอลเม่ แนวรุกทีมชาติสเปน และ ยุสซุฟ โพลเซ่น กองหน้าทีมชาติเดนมาร์ก ได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง แต่ก็ต้องขาดกองหลังตัวสำคัญทั้ง ลูคัส โคลสเตอร์มันน์ และ นอร์ดี้ มูคิเอเล่ ที่บาดเจ็บ เช่นเดียวกับ อมาดู เอดาร่า ที่ติดเชื้อโควิด-19
ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ เซนเตอร์แบ็กเนื้อหอมทีมชาติฝรั่งเศส ถูกหุบเข้าไปเป็นศูนย์กลางในแผงแบ็กทรี ขนาบข้างด้วย อิบราฮิม่า โกนาเต้ และ มาร์เซล ฮัลชเตนแบร์ก
จุดที่น่าแปลกใจคือการที่ นาเกิลส์มันน์ ส่ง โกนาเต้ ลงตัวจริงในเกมนี้ แทนที่จะเป็น วิลลี่ ออร์บัน ที่มีประสบการณ์มากกว่า และเป็นตัวจริงช่วยให้ทีมชนะมา 2 เกมติด
และอีกจุดที่ดูไม่ค่อยจะสมดุลเท่าไรนัก คือการส่งตัวรุกลงสนามมากเกินไป จนแดนกลางเหลือแค่ เควิน คัมเพิ่ล คนเดียวที่เป็นตัวตัดเกม ส่วน คริสโตเฟอร์ เอ็นกุนกู, ดานี่ โอลโม่ และ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก ล้วนเป็นสายบุกจ๋าทั้งหมด
บางที นาเกิลส์มันน์ อาจจะสังเกตเห็นได้ว่าช่วงหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด มักมีปัญหาในการเอาชนะทีมที่เล่นด้วยระบบหลัง 3
เพราะ เชลซี ของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เคยใช้แผนนี้หยุดผีแดงได้ 2 หนติดมาแล้ว ขณะที่เมื่อเดือนก่อน ไบรท์ตัน ก็เกือบชนะให้เห็น แต่ขาดโชคและความคมเท่านั้นจึงแพ้ไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ นาเกิลส์มันน์ อาจจะคาดไม่ถึง ก็คือการตัดสินใจใช้หมากส่งกองกลางลงพร้อมกัน 4 คน โดยไม่มีปีกธรรมชาติของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์
อีกส่วนสำคัญที่บ่งบอกว่าแท็กติกของกุนซือชาวเยอรมันวัย 33 ปีผิดพลาด คือการมี เควิน คัมเพิ่ล เป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่ถนัดในการตัดเกมไว้ในแดนกลาง
เพราะนั่นทำให้เป็นจุดเสียเปรียบที่โดนแผงมิดฟิลด์ปีศาจแดงเร่งสปีดวิ่งเข้าบีบซะจนเป๋ และส่วนหนึ่งต้องชมความขยันของทั้ง เนมานย่า มาติช, เฟร็ด, ปอล ป็อกบา และ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ด้วย ที่ทำให้เกมของ แมนฯ ยูไนเต็ด ลื่นไหลอย่างเห็นได้ชัด
คนที่เด็ดดวงที่สุดในสนามต้องยกให้ เฟร็ด อย่างชัดเจน เมื่อคุมแดนกลางเอาไว้ได้แบบสยบแทบเท้า ดักตัดบอลได้ 3 ครั้ง เคลียร์บอลทิ้ง 3 ครั้ง และผ่านบอลเข้าพื้นที่สุดท้ายได้ 12 หน
สถิติที่ต้องปรบมือให้ดังๆ สำหรับดาวเตะแซมบ้า คือการวิ่งเป็นระยะทางรวมกันมากที่สุดในนัดนี้ถึง 10.568 กิโลเมตร โดยอยู่ในสนามตั้งแต่ต้นจนจบเกม
ขณะที่ ปอล ป็อกบา ก็ทำผลงานโดดเด่นในตำแหน่งถนัด ตอบแทนความไว้ใจของ โซลชาร์ ที่ให้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้งในรอบ 4 เกม เมื่อแอสซิสต์อย่างเหมาะเหม็งให้ เมสัน กรีนวู้ด หลุดกับดักล้ำหน้าไปซัดขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 21
ป็อกบา อาจจะมีจังหวะทำบอลเสียให้เห็นบ้างประมาณ 3 ครั้ง แต่การที่มี เฟร็ด แปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่าในเกมนี้ ถือเป็นการช่วยให้ ไลป์ซิก ไม่สามารถหลุดไปทำอันตรายในแดนหลังของฝั่งผีแดงได้เท่าที่ควร
โซลชาร์ กล่าวชมผลงาน 4 กองกลางที่ออกสตาร์ทเกมนี้หลังจบเกมเสียยกใหญ่ว่า “การทำงานตอนที่ไม่มีบอลของพวกเขามันเหลือเชื่อ เนมานย่า, เฟร็ด, ดอนนี่, ปอล ทั้ง 4 คนต่างทุ่มเทกันหนักมากๆ”
1
“นั่นคือพื้นฐานของทีม ถ้าคุณสามารถทำงานหนักซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วแย่งบอลได้ในสถานการณ์ที่ดี คุณจะสร้างโอกาสได้หลายครั้ง”
“ผมมั่นใจว่า เฟร็ด ครอบคลุมทุกหย่อมหญ้าของสนาม มันไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้าหมอนั่นฟื้นร่างกายขึ้นมาสำหรับเกมข้างหน้าได้อย่างไร”
ที่บอกว่าการทำงานหนักในแดนกลางคือพื้นฐานของการเล่นเป็นทีมได้ดี คือเรื่องจริงที่สุด เพราะนอกจากจะช่วยสร้างโอกาสได้ต่อเนื่องในเกมบุกแล้ว ยังช่วยให้เกมรับเล่นง่ายขึ้นเยอะอีกด้วย
วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ และ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ไม่จำเป็นต้องเข้าปะทะมากมายอะไร แต่อาศัยความเข้าใจเกมในการซ้อนรอจังหวะดักเก็บบอล ส่วนแบ็กซ้ายอย่าง ลุค ชอว์ ก็ทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่มี อเล็กซ์ เตลลิส เข้ามาแย่งตำแหน่ง
ในส่วนของประตูที่ได้ 2 ลูกแรกต้องชมการเช็คไลน์ของกองหน้า และการจ่ายบอลแบบรู้จังหวะจากกองกลาง
ประตูแรกต้องชม ปอล ป็อกบา ที่จ่ายบอลในจังหวะพอดีเป๊ะกับที่ เมสัน กรีนวู้ด วิ่งตัดหลัง ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ ชนิดที่ช้าไปนิดเดียวก็จะล้ำหน้า (กรีนวู้ด อยู่ในไลน์เดียวกับ มาร์เซล ฮัลชเตนแบร์ก ตอนที่บอลออกจากเท้าป็อกบา) แล้ว “เจ้าไม้เขียว” ก็หลุดไปซัดเสียบเสาสองอย่างคมกริบ
ประตูที่ 2 ต้องให้เครดิต บรูโน่ แฟร์นันเดส ที่ลงมาเป็นตัวสำรอง แล้วรีบจ่ายแบบแทบไม่มองบอลขึ้นหน้าให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ควบทีเดียวหลุดไปดวลเดี่ยวกับ ปีเตอร์ กูลาชซี่ ซึ่งลูกนี้ไม่มีทางล้ำหน้า เพราะว่าบอลออกจากเท้า บรูโน่ ตั้งแต่ แรชฟอร์ด ยังวิ่งไม่พ้นเส้นครึ่งสนาม
ประตูที่ 3 มาจากจังหวะผิดพลาดของไลป์ซิกเอง ที่ อิบราฮิม่า โกนาเต้ โหม่งบอลให้ มาร์เซล ซาบิตเซอร์ เอาบอลลงช้าแล้วจับห่างตัว จนโดน เฟร็ด แซะทีเดียวให้ แรชฟอร์ด แตะหนี อูปาเมกาโน่ อย่างเหนือชั้น แล้วกดเรียดเข้าไปไม่เหลือซาก
ประตูที่ 4 จาก อองโตนี่ มาร์กซิยาล คือจุดโทษชัดเจน ขณะที่ลูกปิดท้ายในสถานการณ์ที่ทีมเยือนหมดอารมณ์จะเล่นกันหมดแล้ว แรชฟอร์ด ก็ยิงเข้าไปอย่างคมกริบ
มาร์คัส แรชฟอร์ด กลายเป็นนักเตะคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ซัดแฮตทริกได้จากการลงสนามเป็นตัวสำรอง และใช้เวลาห่างกันเพียง 18 นาทีเท่านั้น นับจากซัดลูกแรกได้จากจังหวะหลุดเดี่ยวครึ่งสนาม
ส่วน มาร์กซิยาล ก็น่าจะเรียกความมั่นใจขึ้นมาได้บ้าง เมื่อยิงประตูแรกของฤดูกาลได้แล้ว ซึ่ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ยืนยันหลังเกมเองว่า เขาตั้งใจที่จะให้หัวหอกเบอร์ 9 ซัดจุดโทษในเกมนี้ตั้งแต่แรก และก็ทำได้จริงๆ
นี่ยังเป็นชัยชนะที่ขาดลอยที่สุดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นับตั้งแต่พ้นช่วงเบรกโควิด-19 เป็นต้นมาอีกด้วย และนั่นก็ทำให้ผีแดงคือทีมแรกที่ชนะ แอร์เบ ไลป์ซิก ได้ด้วยสกอร์ห่างถึง 5 ประตูอย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้น
จุดที่น่าตั้งข้อสังเกตกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมนี้ ก็คือเรื่องของ Squad Depth ที่ดูมีคุณภาพ และการที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ มีแผนการเล่นที่หลากหลาย ซึ่งถือเป็นพัฒนาการแบบก้าวกระโดดชัดเจน หากเทียบกับช่วงฟอร์มห่วยแตกก่อนเบรกทีมชาติ
บรูโน่ แฟร์นันเดส ไม่จำเป็นต้องเล่นเต็มเกมอีกแล้วก็ได้ ในเมื่อ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค พร้อมลงไปทำงานหนักให้ทีมก่อน
แต่คุณภาพของอดีตกัปตันทีม สปอร์ติ้ง ลิสบอน ที่ลงมาปุ๊บก็มีส่วนร่วมกับประตูโดยทันที และเชื่อมเกมได้อย่างเนียนตา คือสิ่งที่บอกได้ว่า ทำไมสมาชิกใหม่ที่ย้ายมาจาก อาแจ็กซ์ ถึงแย่งตำแหน่งเขาได้ยากสุดๆ
เฟร็ด น่าจะยึดตัวจริงได้อีกพักใหญ่ๆ จากฟอร์มไฉไล และฟิตเป็นบ้าในช่วงหลัง แต่การแย่งชิงตำแหน่งของพวกมิดฟิลด์ ระหว่าง ปอล ป็อกบา, เนมานย่า มาติช, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ รวมถึง ฟาน เดอ เบค จะยิ่งเข้มข้นขึ้นแน่ จากการที่ โซลชาร์ เริ่มโชว์แผนการเล่นแบบไดมอนด์ที่ออกมาเวิร์คให้เห็นแล้ว
ขุมกำลังแดนหน้าที่ได้ เอดินสัน คาวานี่ เข้ามาเป็นอะไหล่ชั้นดีอีกคน โดยที่ เมสัน กรีนวู้ด, อองโตนี่ มาร์กซิยาล และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ต่างมีชื่อบนสกอร์บอร์ด บ่งบอกว่าแนวรุกของปีศาจแดงพร้อมสลับกันใช้งานใครก็ได้
นี่ถ้า อเล็กซ์ เตลลิส ฟิตกลับมา ตัวเลือกในแผงหลังก็น่าจะโรเตชั่นกันสนุกขึ้นอีกก็เป็นได้ เพราะ อั๊กเซล ตวนเซเบ้ น่าจะพร้อมรับบทบาทตัวสแตนด์บายได้ทั้งเซนเตอร์และแบ็กขวา
ดาบิด เด เคอา ก็ดูจะไม่พลาดง่ายๆ อีกแล้ว นับตั้งแต่ได้ ดีน เฮนเดอร์สัน กลับจากยืมตัวที่ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด มาคอยเป็นคู่แข่งสำคัญในการแย่งชิงมือหนึ่ง
หากย้อนไปตอนหลังจบเกมพ่าย ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 1-6 ใหม่ๆ คงไม่มีใครเชื่อแน่ ถ้าจะบอกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะผ่านโปรแกรมโหด 4 นัดแรกหลังเบรกทีมชาติด้วยผลงานชนะ 3 เสมอ 1 ชนิดที่ซัดรวมกันได้ 11 ประตู และเก็บ 2 คลีนชีต
การประเดิม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ที่มีทีมที่เข้ารอบรองชนะเลิศซีซั่นก่อนอย่าง เปแอสเช และ ไลป์ซิก เป็นคู่แข่งด้วย 6 คะแนนเต็ม ยิ่งเพิ่มโอกาสสูงมากๆ ที่จะจับจองที่ในรอบน็อคเอาต์ได้แต่เนิ่นๆ
เพราะโปรแกรม 2 นัดข้างหน้า คือการเจอทีมที่น่าจะง่ายที่สุดของกลุ่มอย่าง อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ ซึ่งแพ้มา 2 เกมรวดและยังยิงใครไม่เป็น จะเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ เปแอสเช และ ไลป์ซิก ต้องตัดแต้มกันเอง
ยิ่งถ้าหาก โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ สามารถพาทีมผ่าน 3 เกมที่รออยู่อย่างการบู๊ อาร์เซน่อล (เหย้า), อิสตันบูล (เยือน) และ เอฟเวอร์ตัน (เยือน) ได้ด้วยผลงานท็อปฟอร์มต่อเนื่อง…
1
เชื่อได้เลยว่า ช่วงเบรกทีมชาติเดือนพฤศจิกายน เราคงไม่ได้เห็นแฮชแท็กประเด็นร้อนอย่าง #OleOut แน่นอน
#เสียบสามเหลี่ยม #Rashford #Fred #Pogba #Greenwood #Martial #BrunoFernandes #Solskjaer #ManUnited #ManchesterUnited #MUFC #GGMU #RBLeipzig #Leipzig #UCL #PremierLeague
โฆษณา