29 ต.ค. 2020 เวลา 06:30 • บันเทิง
ทอม อิศรา เล่าความในใจ ร้องไห้เรื่องเดิมๆ ในวันที่เสียใจที่สุดเพราะรัก
คุ้นหน้าคุ้นตากันมานานสำหรับ ทอม อิศรา กิจนิตย์ชีว์ ที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงตั้งแต่เด็ก แจ้งเกิดจากบท “ส้มฉุน” ในละคร “เรือนมยุรา” ทางช่อง 3 และออกอัลบั้มเพลงเด็ก “ทอมตามหาเจอร์รี่” และ “หนูรักผักสีเขียว” แต่หลังจากนั้นก็ห่างหายจากวงการบันเทิงไปเรียนต่อที่อเมริกา
จากนั้นทอมกลับมาอีกครั้งในภาพของนักร้องเต็มตัวกับวง Room39 สังกัดเลิฟอีส ก่อนที่ทอมจะถูกพูดถึงอย่างมากในฐานะ “หน้ากากทุเรียน” จากรายการ The Mask Singer ชีวิตทุกอย่างกำลังไปได้ดี แต่กลับเกิดดราม่าเมื่อ Room39 ถึงคราวต้องแยกวง และมีข่าวคราวต่างๆ ออกมามากมาย
บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ชวนทอมมาพูดคุยถึงชีวิตในวงการบันเทิงตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งในครั้งนี้ทอมเปิดใจพูดตรงๆ “ผมชอบร้องเพลง แต่ผมไม่อยากเป็นศิลปิน” รวมทั้งเล่าถึงวันที่เจอดราม่า ร้องไห้เรื่องเดิมๆ อยู่เป็นปี เพราะรักมาก เลยเสียใจมาก
:: ชีวิตนักแสดงเด็ก
เมื่อถามถึงชีวิตวัยเด็กที่หลายคนเห็นภาพของทอมในจอแก้วจากละครเรื่องแรก “เรือนมยุรา” ทางช่อง 3 ทอมเล่าให้ฟังว่า “ก็เป็นคนที่ทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ ครับ ตอนนั้น 8 ขวบ นานแล้วครับ ทุกวันนี้ก็ยังมีภาพนี้ลอยมาอยู่” ก่อนจะหัวเราะแล้วเล่าต่อไปว่า “ตอนนั้นเรารู้แค่ว่าสนุกอย่างเดียวเลย ชอบ แล้วมันทำให้เราโตมาเป็นคนชอบทำงาน”
กับคำถามสุดคลาสสิกที่ว่ามาเป็นนักแสดงเด็กได้ยังไง ทอมเล่าว่า “ตอนนั้นเหมือนคนแถวบ้านเขามีบริษัทเอเจนซี่โมเดลลิ่ง ก็พาไปถ่ายโฆษณาก่อน และให้ผมไปเล่นละครเรื่องนี้ (เรือนมยุรา) ดูครับ และมีต่อมาเรื่อยๆ ตอนเด็กๆ เราก็รู้แค่ว่าสนุก เล่นละครเรื่องแรกบทเรายังอ่านไม่ออกเลย ให้แม่อ่านให้ฟัง ถามว่ายากมั้ย คือโชคดีที่ตอนเด็กๆ ผมความจำดีมั้ง มันก็เลยโอเคทำได้ครับ
เล่นละครเรื่องแรกก็ตื่นเต้น ต้องโกนหัวด้วย จริงๆ ตอนเด็กๆ ไว้ผมยาว แต่ว่าต้องโกนผม ก็แปลกนิดนึงเนอะ แต่ก็โอเค จำได้ว่าป้าไก่ วรายุฑ ให้เงินด้วย แต่จำไม่ได้แล้วว่าให้กี่หมื่น ก็เลยยอม จริงๆ ก็ไม่ใช่เป็นเด็กน่ารักหรอก ชอบเงินครับ เห็นเงินวางตรงหน้าแล้วแฮปปี้” ก่อนจะหัวเราะชอบใจ
เราถามต่อว่าเล่นละครเรื่องแรกทำให้ชอบการแสดงมั้ย หรือเห็นว่าเป็นความสนุกในวัยเด็กมากกว่า ทอมบอกว่า “มันก็เป็นความรู้สึกปนๆ กันมั้ง ผมยังไม่รู้หรอกว่าชอบอะไร รู้แค่ว่าทำแล้วสนุก ชอบที่จะอยู่ในกองถ่าย ได้เจอพี่ๆ คนนั้นคนนี้ มันก็สนุกดีครับ เราก็ยังไม่รู้หรอกว่าเราจะทำได้ดีมั้ย ประสบความสำเร็จหรือเปล่า ดังหรือเปล่า ไม่ได้มองภาพตรงนั้นเลย
พอเราถามว่ารู้สึกยังไง เล่นละครเรื่องแรกคนก็รู้จักเยอะมาก ทอมทำท่านึกก่อนตอบ “ถ้าเอาจริงๆ ย้อนกลับไปนึกแล้วจำได้เฉพาะตอนทำงานมากกว่า จำไม่ได้ว่าชีวิตตอนนั้นเปลี่ยนไปยังไงขนาดไหน แต่มีตอนที่ไปโรงเรียนแล้วเพื่อนๆ เรียกไอ้ส้มฉุนๆ ก็รู้สึกว่าเปลี่ยนไป มีคนดูด้วยเหรอ เหมือนชีวิตตอนนั้นมีแค่ไปทำงานกับเรียนครับ หลังจากนั้นก็มีคนติดต่อให้เล่นละครเรื่อยๆ เราก็รู้สึกว่าแค่ไปทำงานแล้วเอ็นจอยมากกว่า”
:: ออกอัลบั้มเพลงชุดแรก
จากนั้นเราถามถึงการออกอัลบั้มเพลงชุดแรกในชีวิต “ทอมตามหาเจอร์รี่” ว่าเป็นยังไงบ้าง ทอมเล่าให้ฟังว่า “ตอนนั้นก็มีบางคนเห็นผมชอบร้องเพลงเวลาไปปาร์ตี้งานเลี้ยงปิดกล้อง เขาก็บอกว่าลองดู ผมก็โอเค ลองดูก็ได้ เราก็พร้อมเปิดรับกับอะไรใหม่ๆ อยู่แล้ว เราไม่ได้มองว่าทำแบบนี้แล้วคุ้มมั้ย จะประสบความสำเร็จรึเปล่า ถามว่าชอบเพลงที่ทำตอนนั้นรึเปล่า ชอบนะ ชอบเพลงของตัวเอง ชอบสิ่งที่ตัวเองทำตอนนั้น ถึงจะไม่ดังแต่ชอบ”
ทอมบอกว่าการออกอัลบั้มเพลงในวัยเด็ก น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชื่นชอบการร้องเพลงจนถึงปัจจุบัน “มันน่าจะทำให้ผมเริ่มรู้จักตัวเองมากขึ้น เพราะตอนนั้นเริ่มโตแล้ว ประมาณ 11-12 มั้งครับถ้าจำไม่ผิด ผมว่าของบางอย่างมันต้องทำดูก่อนถึงจะรู้ว่าชอบมั้ย มันก็ทำให้ผมรู้ตัวเองว่าเออ ชอบร้องเพลงนี่หว่า
ถามว่าตอนเล่นละครตอนเด็กกับออกอัลบั้มเพลง ชอบพาร์ทไหนมากกว่ากัน ทอมตอบว่า “ได้ทั้งคู่ แต่ว่าชอบร้องเพลงมากกว่าหน่อยนึง คือเรามั่นใจว่าเราทำอะไรได้ดีมากกว่ามั้ง ถ้าจะให้ผมกลับไปแสดงละครก็คงแสดงได้นะ แต่มีความไม่มั่นใจในตัวเองว่าทำได้หรือเปล่า เพราะเราห่างตรงนั้นมานานแล้ว แล้วเราไม่ได้ทำทุกๆ วันด้วย มันก็เลยไม่รู้จะยังไง ก็คงมีโอกาสในการเป็นศิลปินมากกว่า เพราะมันก็เป็นสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว ก็เอ็นจอยที่จะทำทุกวัน มันก็เลยกลายเป็นความมั่นใจของเราว่าทำทางนี้น่าจะโอเคกว่า ก็เลยเลือกทางนี้ครับ”
:: แฮปปี้กับชีวิตในอเมริกาจนไม่อยากกลับ
แม้ทอมจะบอกว่าสุดท้ายแล้วรู้ตัวว่าชอบการร้องเพลงมากกว่า แต่หลังจากเล่นละครและออกอัลบั้มเพลงได้สักพัก ทอมก็หายไปจากวงการไปเรียนต่อที่อเมริกา ทอมเล่าชีวิตช่วงนั้นให้ฟังว่า “หลังจากนั้นก็เล่นละครอีกเรื่องนึง แล้วก็ไปอเมริกา ตอนนั้นอายุ 15 จบ ม.3 แล้วไปอยู่ที่นู่น ชีวิตเปลี่ยนเลย ไปอยู่เฉยๆ เลยครับ เรียนอย่างเดียวเลย
พอเรียนไปสักพัก ภาษาอังกฤษเริ่มได้แล้ว คุยรู้เรื่อง ก็เริ่มอยากทำงาน เพราะเห็นคนอื่นทำงานกัน ทำทุกอย่างเลยครับ เป็นแคชเชียร์ พนักงานเสิร์ฟ เดลิเวอรี่ ทำในร้านอาหารไทย แล้วก็เริ่มร้องเพลงแบบจริงจัง เป็นร้านกลางคืน ทำให้เราโตขึ้นมากครับ ผมว่าถ้าผมยังอยู่ที่เมืองไทย ผมอาจจะยังคิดไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองตอนนี้ทำอะไรอยู่ หรือจะมีมุมมองในเรื่องต่างๆ ยังไงบ้าง”
ทอมพูดถึงช่วงชีวิตที่อเมริกาสอนให้รู้จักการตรงต่อเวลา ความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองได้รับมอบหมาย นอกจากนี้ทำให้รู้ว่าคุณพ่อของตนไม่ได้ดุอย่างที่เคยเข้าใจ “สิ่งที่ผมได้อีกอย่างนึงก็คือสนิทกับพ่อมากขึ้น ตอนเด็กๆ ไม่ค่อยสนิทกับพ่อเพราะคิดว่าพ่อดุ แต่พอไปอยู่ที่นั่นกับพ่อ 2 คนก็เลยสนิทกันมากขึ้น เริ่มคุยกันมากขึ้น กล้าคุยกล้าเล่า กล้าที่จะบอกเหตุผลของเรา
เราก็อ้าว พ่อก็ฟังนี่ ไม่ได้ดุ ไม่ได้เป็นคนไม่มีเหตุผลเหมือนที่ตอนเด็กๆ เราเข้าใจ ก็เลยรู้สึกว่าโอ...มันดีมากเลยครับ ส่วนเรื่องที่คุณพ่อจะบอกเสมอเมื่อตอนอยู่ที่โน่นก็คือต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราพูด เพราะเวลาเราพูดแล้วเราต้องทำ ถ้าเราพูดอะไรผิดพลาดไปก็เป็นเพราะคำพูดของเรา เราต้องรับผิดชอบได้”
ทอมเล่าอีกว่าการไปร้องเพลงกลางคืน ไม่ได้ทำให้ชื่นชอบการเข้าผับเหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ “การที่ผมร้องเพลงที่นั่น มันทำให้ผมไม่ได้เป็นคนชอบเที่ยวผับหรืออะไรแบบนี้เลย แค่ไปทำงานเสร็จแล้วขับรถกลับบ้าน ผมร้องเพลงอยู่ไทยทาวน์ แอลเอ แต่บ้านพักผมอยู่อีกที่ ขับรถไปประมาณ 45 นาที เราไม่อยากดื่มเลย เฉยๆ คงเป็นภาพที่เราเคยเห็นมาเยอะแยะมากมายแล้วมั้ง
ถามว่าเคยมีโมเมนต์ใช้ชีวิตวัยรุ่นมั้ย ไม่มีเลยครับ มันเป็นเพราะว่าอย่างที่ตอนเด็กๆ ผมทำงานกับผู้ใหญ่เลยมั้ง มันเลยไม่มีโมเมนต์แบบนั้น ผมชอบคุยกับคนที่โตกว่า พอไปอยู่ที่นั่นก็เป็นพี่ที่โตกว่าผม มันเป็นความโชคดีของผมมั้งที่เจอคนดีๆ มันก็เลยอยู่ในแทร็กที่มันโอเค บวกกับผมเป็นคนอะไรก็ได้ ก็แฮปปี้ดีนี่ อยู่กับพ่อแม่ ตอนนั้นแม่บินไปอยู่ด้วย ทำงานกลับมา มีความรับผิดชอบ ทำอะไรที่พอช่วยใครในบ้านได้บ้าง ก็เลยคิดว่าจะไม่กลับมาเมืองไทยแล้ว ไม่อยากกลับ”
1
:: ชอบร้องเพลง แต่ไม่อยากเป็นศิลปิน
ชีวิตที่อเมริกาของ ทอม อิศรา มีความสุขจนไม่อยากกลับเมืองไทย แต่สุดท้ายก็มีจุดเปลี่ยนชีวิตให้กลับมาและออกอัลบั้มในนาม Room39 จนได้ “ตอนนั้นผมไปทำเพลงคัฟเวอร์ แล้วพี่บอย โกสิยพงษ์ ส่งอีเมลมาคุยกัน เขาก็อยากให้ลองกลับมาทำดู เอาจริงๆ ผมชอบร้องเพลง แต่ผมไม่อยากเป็นศิลปิน งงมั้ยพี่”
ก่อนจะขยายความให้ฟังว่า “ก็แค่ทำในสิ่งที่มีความสุขไง คือชอบร้องเพลง ตอนนั้นมีคนถามเยอะมากว่าทำไมไม่ประกวดเดอะสตาร์ เอเอฟ ผมคิดว่าผมคงทำได้ไม่ดี มันไม่ได้อยากไปอะไรขนาดนั้น ร้องเพลงที่นั่นก็แฮปปี้แล้ว แต่ที่ตัดสินใจกลับมา เพราะว่าตอนนั้นมีเพื่อนๆ พี่ๆ เราด้วย แต่ตอนนั้นที่บ้านผมไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้วไง ผมกลับมาก็คือตัวคนเดียว ก็เอ๊ะ ยังไงดี แต่พ่อแม่ผมบอกว่ายังไงก็ได้ ไม่ได้ก็กลับไปอยู่ที่นั่นเหมือนเดิม ก็เป็นการตัดสินใจที่แบบอะ...ลองดู”
ทอมบอกว่าไม่เคยคิดว่าจากจุดเปลี่ยนตรงนั้นจะมาได้ยาวไกลขนาดนี้ “งงมากเลยพี่ แต่ผมมานั่งนึกดูแล้ว มันเป็นเพราะผมไม่คาดหวังไง ทุกวันที่ทำอยู่ก็แฮปปี้ดี ก็ไปเรื่อยๆ ของมัน แต่มันเกินความคาดหมายไปมาก ผมไม่รู้หรอกว่าการทำสิ่งนี้แล้วมันจะได้อะไรรึเปล่า
เหมือนตอนที่ออกรายการ The Mask Singer ผมเองยังไม่รู้เลย ไม่มีความมั่นใจด้วยซ้ำ ไปแล้วก็เอ๊ะ ต้องทำอะไรในรายการวะ ต้องไปหลอกคนอื่นเหรอ หลอกเขายังไง รู้แต่ผมจะไปร้องเพลงอย่างเดียว กะว่าตกรอบแรกด้วยซ้ำ
ตอนนั้นไปทำรายการกับเวิร์คพอยท์ แล้วเขาเปิดเดโมรายการให้ดูว่าเป็นแบบนี้ ผมก็ไม่ถามเขาสักคำว่าได้เงินเท่าไร จนพอไปถึงวันแรกเขาให้เซ็นสัญญา จ่ายเป็นเงินเท่านี้ ตอนแรกเขาบอกว่าประมาณ 3 เทป เทปละ 3 หมื่นมั้ง
เราก็คิดว่าร้องเท่าที่ได้แล้วกัน อย่าไปเครียดกับมันเลย คิดว่าตกรอบยังไงก็ได้ตังค์ รับเช็คแล้ว แฮปปี้ แค่ไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ไม่คาดหวังว่าจะดังรึเปล่า แค่คิดว่าทำแล้วจะออกมาดี ได้เลยครับ ผมรับงานนี้ แต่ถ้ามีความไม่มั่นใจ ผมก็ไม่กล้า เพราะผมเกรงใจ กลัวออกมาไม่ดีครับ”
เมื่อถามว่าทุกวันนี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นศิลปินรึยัง ทอมบอกว่า บอกไม่ถูกเหมือนกัน ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ผมก็ยังมีความสุขกับการที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักอยู่นะ ได้ปล่อยเพลงในแชนแนลตัวเอง มีงานร้องเพลง ผมคิดว่าผมเป็นคนโชคดีมากกว่าที่มีโอกาสทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ และยังมีคนอยากฟังเพลงของเราอยู่ โชคดีที่ได้โอกาสจากผู้ใหญ่ที่ยังนึกถึงเรา ผมก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆ โชคดีเพราะคำว่าศิลปินหรือเปล่า มันก็เลยตอบไม่ถูกครับ ก็แล้วแต่คุณจะรู้สึกดีกว่าว่าผมอยู่ในฐานะศิลปินรึเปล่า เพราะผมไม่มีค่าย แต่เราก็ดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ของเราเอง”
:: เมื่อถึงวันที่ต้องรับมือกับดราม่า
เราถามต่อว่าวงการบันเทิงให้อะไรกับทอมบ้าง นักร้องหนุ่มตอบว่า แล้วแต่ช่วง “อย่างตอนเด็กๆ ทำให้เราเริ่มรู้จักที่จะทำงาน เริ่มรับผิดชอบหน้าที่ตัวเอง เพราะตอนเด็กต้องเรียนและทำงานเลยนะ ซึ่งผมมองว่าผมทำได้ พ่อแม่ก็เลยโอเค พอเราโตขึ้นมาหน่อยก็ต้องเริ่มดูแลพ่อแม่ มีอาชีพจริงๆ จังๆ ถามว่าการทำงานวงการนี้สอนอะไรเราบ้าง ก็คงเป็นการไม่คาดหวังเหมือนเดิมแหละ
เพราะการทำเพลงมันยากนะครับ ทุกคนอยากมีเพลงดังหมดแหละ เราทำไปแล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเพลงเราจะดัง สมมติเราหวังว่าเพลงนี้จะดังมาก แล้วมันไม่ดังจะทำยังไง เป็นเพลงที่เราไม่ได้คิดเพื่อตัวเอง เราคิดเพื่อคนอื่นว่ามันจะดัง แล้วเราไม่ชอบ เราก็ไม่อยากเล่นมั้ยเพลงนั้น เพราะฉะนั้นเราควรทำเพลงที่เราชอบก่อน ให้มันเป็นตัวตนของเรา มันจะมีความภูมิใจมากกว่า ถ้าเราปล่อยเพลงที่เราตั้งใจทำจริงๆ มันคือตัวตนของเราแล้วเขาชอบ เราจะรู้สึกโอเคกว่านะ”
กับประสบการณ์ในวันแย่ๆ เมื่อต้องรับมือดราม่า ทอมเล่าด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังว่าวันแรกทำเอาแย่ไปเลย “เอาจริงๆ มั้ย ผมไม่มีสติเลย ผมแย่เลย แต่ผมโชคดีมากที่แฟนผมเข้าใจว่าผมเป็นอะไร ตอนนั้นมันเฟลครับ เราสับสน เราไม่รู้ว่าเราพูดได้มากน้อยขนาดไหน พูดความจริงไปแล้วจะเป็นสิ่งที่ดีรึเปล่า แต่จิตใจของเราคืออยากให้มันออกมาดี และเราไม่อยากโกหกด้วย ถามว่ามันผ่านตรงนั้นมาได้ยังไงบ้าง แฟนผมก็เป็นผู้รับฟังที่ดีครับ ผมพูดเรื่องเดิมๆ ร้องไห้เรื่องเดิมๆ วนลูปอยู่อย่างนั้น ถามว่าเป็นเดือนมั้ย เป็นปีดีกว่า”
เมื่อถามว่าเป็นคนเซ้นซิทีฟด้วยรึเปล่า ทอมนิ่งคิดก่อนตอบ “อืม...ก็รักมาก เลยเสียใจมากครับ” ก่อนจะขยายความให้ฟังว่า “เสียใจคือไม่ได้เสียใจแบบเกลียดหรือโกรธนะครับ แต่เป็นความเสียใจเพราะเรารักครับ ถามว่าแล้วผ่านตรงนั้นยังไง มันไม่หายหรอกครับ มันคือการประคับประคองในทุกๆ วัน แต่ที่เราเข้มแข็งขึ้น เพราะมีเพื่อนๆ พี่ๆ คนรอบข้าง หลายๆ คนก็มีเรื่องแบบนี้อยู่แล้วที่กระทบจิตใจ
หรือบางคอมเมนต์ที่ตัดสินเราโดยที่ไม่รู้ความจริงคือยังไงบ้าง หรือในเรื่องราวต่างๆ มันมีมิติมากมายขนาดไหน เราก็คุยกัน แชร์กัน ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกครับ แต่เราก็พยายามข้ามผ่านครับ ถามว่าอยากจะพูดอะไรกับคนที่ยังเข้าใจผิดมั้ย ผมไม่อยากพูดครับ เพราะไม่เชื่อว่าการที่เราออกมาพูดว่าเราเป็นยังไง แล้วมันทำให้เขาเข้าใจเรามากขึ้น มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาด้วยครับ และเป็นเรื่องเก่าด้วยครับ”
:: โฟกัสที่ความสุข
กับคำถามที่ว่า วันนี้เดินแยกออกมาจากเพื่อนๆ แตกต่างจากที่ผ่านมามากน้อยแค่ไหน ทอมตอบว่า “อืม มันไม่เหมือนกันหรอกครับ มันก็คงเป็นฟีลเหมือนเวลาเราเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ มั้ง มันก็ชอบแหละ แต่อะไรนานๆ หรือมากๆ วันนึงมันก็คงทำให้เราชินกับมันรึเปล่า ผมไม่รู้เหมือนกันครับ อะไรมากไปมันก็คงไม่ดีแหละมั้ง เช่น ทำอะไรแบบเดิมซ้ำๆ ผมพยายามปรับตัวเองใหม่ๆ ไม่ทำอะไรเพราะด้วยความจำเป็นน่ะ ถ้าจำเป็นต้องทำก็คือแค่เราเอาตัวเองไปอยู่จุดนั้นแล้วทำให้เสร็จแล้วกลับบ้านเฉยๆ
ผมยังอยากเปิดรับสิ่งใหม่ อยากทำอะไรใหม่ๆ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเราจะไปตอนไหน ผมควรจะมีความสุขก่อนที่ผมจะไปรึเปล่า ที่ผ่านมาผมทำงานมาตลอดจนไม่มีชีวิตวัยรุ่นอย่างที่พี่บอก พอเราเริ่มตัดสินใจอะไรเองได้ เราแฮปปี้ที่จะทำงานไหน งานไหนที่คิดว่าทำได้ดี หรือมีเวลาให้ครอบครัว ดูแลคุณแม่ มันก็แฮปปี้กว่า ผมก็จะเลือกทำ เลือกมีชีวิตที่มีความสุขในแบบตัวเองดีกว่า”
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นรึเปล่า ทอมตอบด้วยน้ำเสียงสดใส “นั่นน่ะสิ อยากนะ” ก่อนจะพูดต่อว่า “แต่ไม่รู้ถึงเวลาจริงๆ ทำลงรึเปล่า หรือเราอยากทำจริงๆ มั้ย ถามว่ามันรู้สึกขาดหายมั้ย ไม่นะ ช่วงนี้ผมก็เลยแฮปปี้มั้งกับการใช้ชีวิตแบบนี้ ได้ทำงานด้วย มีเวลาด้วย แต่ก่อนทำงานๆๆ อย่างเดียว ตอนนี้ผมเริ่มมีความสุขในแบบนี้แล้ว นี่คือความบาลานซ์ของผมแล้ว”
และอีกหนึ่งในความสุขในชีวิตของทอมที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ สำหรับ ฟิล์ม วณิชยา วัฒนศุภการ ภรรยาของทอม ที่พร้อมเคียงข้างสามีทั้งในเวลาที่ดีและแย่ ซึ่งทอมเล่าถึงวันแรกที่ได้เจอกับฟิล์มว่าเป็นช่วงเวลาที่กราฟชีวิตเขาอยู่ในช่วงที่ไม่ได้ดีมากนัก
“ด้วยการทำงานของเรามันมีขึ้นๆ ลงๆ อยู่แล้ว มันก็เป็นช่วงที่กราฟเราไม่ได้ดีมาก ตอนนั้นเรายังคิดอะไรไม่ได้เยอะเท่าทุกวันนี้ด้วย ยังแทบเป็นผู้นำไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เขาเข้ามาเป็นที่ปรึกษา เป็นกำลังใจให้ ช่วยเรื่องต่างๆ เยอะแยะ มันก็หลายปีแล้วเนอะ และทุกวันนี้เป็นอีกครั้งนึงที่ผมอาจจะดาวน์ๆ แต่เขาเป็นคนนึงที่คอยให้กำลังใจ อยู่ในทุกสถานการณ์ครับ”
เมื่อถามว่าอยากบอกอะไรภรรยามั้ย ทอมตอบติดตลกว่า “อ๋อ ผมบอกเขาแล้วที่บ้าน” ก่อนจะหัวเราะและพูดต่อแบบเขินๆ ว่า “จะบอกเป็นคำพูดยังไงดี มันเขินน่ะ พูดยาก ผมเป็นคนอธิบายผ่านคำพูดไม่ค่อยเก่งด้วย ก็ต้องขอบคุณเขาแหละที่อดทนนะ เป็นคนเสียสละด้วย การที่คนสองคนคบกันมันต้องใช้ความเสียสละ ความรัก และความรู้สึกจริงๆ มันไม่ใช่แค่การบอกรักทุกวัน ขอบคุณนะ แต่การที่เราอยู่ด้วยกันและเห็นการกระทำ การตัดสินใจต่างๆ ของเขา เราสัมผัสได้ว่าเขานึกถึงเราในทุกการตัดสินใจครับ มันทำให้ผมไปอยู่ในเวย์เดียวกัน เพราะเราไม่สมควรเป็นผู้รับอย่างเดียว เราควรเป็นผู้ให้ด้วยครับ”
:: ผลงานชิ้นใหม่ และก้าวต่อไปของทอม
เราเปิดพื้นที่ให้ทอมได้เล่าถึงการทำงานครั้งแรกกับนางเอกสาว มุก วรนิษฐ์ ถาวรวงศ์ ในเพลง “ไม่พอจะฝัน” กับโปรเจกต์ใหม่ Love Stranger ของจีเอ็มเอ็ม ทีวี ซึ่งทอมได้เล่าไว้ว่า “จริงๆ ในโปรเจกต์นี้มีหลายคน หลายศิลปิน ผู้ใหญ่คงเห็นตรงกันว่าทอมกับมุกน่าจะเป็นเคมีใหม่ๆ น่าจะออกมาแล้วโอเค เป็นเพลงที่ถ่ายทอดความรักที่ไม่สมหวัง พอรู้ว่ามาร่วมงานกับมุกครั้งแรก จริงๆ เราเคยเห็นผลงานเขามาก่อน แสดงเก่ง สวยด้วย
แต่เราไม่กังวลเรื่องการร้องเพลงของเขา เพราะเคยได้ยินเขาร้องเพลงมาบ้าง ก็รู้สึกว่าสบาย ไม่ยากเลย เพลงที่ทำมาให้ก็เพราะ เราฟังแล้วชอบ เป็นการทำงานที่ชิลมากครับ ก็ฝากเพลงนี้ด้วยครับ “ไม่พอจะฝัน” และฝากทุกเพลงในโปรเจกต์ Love Stranger ฟังได้แล้วในทุกช่องทางสตรีมมิ่งต่างๆ ดู Short Film และเอ็มวีตัวเต็มได้ใน AIS Play นะครับ”
กับก้าวต่อไปของทอมในอนาคต ทอมยังคงยึดในเรื่องความสุขในชีวิตเป็นหลัก “ผมตั้งเป้าว่าผมทำอะไรก็ได้ที่มีความสุขเยอะๆ แต่ยังนึกไม่ออกเลยครับ ถ้าอยากเที่ยวผมก็ไปเที่ยว ถ้าอยากไปกับแม่ ผมก็ไปกับแม่ ผมอยากทำงานก็จะทำงาน จะไม่ทำอะไรที่มันฝืนหรือไม่แฮปปี้ ถ้าเราทำได้ดีก็จะทำ แต่ผมว่าคนเราเปลี่ยนไปเรื่อยน่ะครับ ทุกวันออกจากบ้านไปก็คนละอารมณ์ ความคิด แค่เราตั้งเป้าว่าเราจะมีความสุขในทุกๆ วันดีกว่า ผมเชื่อว่าถ้าเรามีความสุข ทุกอย่างจะออกมาดีครับ”
1
ปิดท้ายกับคำถามที่หลายคนอยากรู้ว่า จะมีโอกาสเห็นภาพของทอมกับเพื่อนๆ Room39 กลับมารวมตัวกันอีกครั้งรึเปล่า ทอมตอบสั้นๆ “มันก็เป็นเรื่องของอนาคตครับ ผมก็ตอบไม่ได้อยู่ดี ถามว่ามีคิดไว้มั้ย ไม่รู้เลยครับ”.
ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : วัชรชัย คล้ายพงษ์, อินสตาแกรม @tom_reckless, The Mask Singer, LOVEiS, อินเทอร์เน็ต
กราฟิก : Theerapong Chaiyatep
👇 อ่านบทความต้นฉบับ 👇
โฆษณา