29 ต.ค. 2020 เวลา 17:29 • ปรัชญา
“ผู้ที่ได้สัมผัสกับความสงบแล้วจะไม่อยากได้อะไร”
ธรรมะรุ่งอรุณ ☀️
๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๓
อย่าปล่อยให้ใจคิดถึงคนนั้นคนนี้เรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะคิดแล้วเดี๋ยวมันจะถูกหลอกให้ไปกังวลไปห่วงใยไปอยาก แล้วใจก็จะวุ่นวายขึ้นมา จะทำให้ไม่สามารถปฏิบัติธรรมต่อไปได้ แต่ถ้ามีสติคอยกำจัดความคิดต่างๆ ไม่ให้ปรากฏขึ้นมา ใจก็จะเบาจะว่างจะเย็นจะสบาย แล้วเวลานั่งสมาธิก็จะสงบง่าย นั่ง ๕ นาที ๑๐ นาทีจิตก็รวมเข้าสู่ความสงบได้ พอจิตสงบแล้วทีนี้ก็จะไม่อยากได้อะไรแล้ว เพราะเป็นความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งปวง เหนือกว่าความสุขที่ได้จากเงินมาเป็นร้อยล้านพันล้าน ก็สู้ความสุขที่ได้จากความสงบไม่ได้ ได้เป็นนายกได้เป็นอะไรก็สู้ความสุขที่เกิดจากความสงบไม่ได้ ได้รางวัลเหรียญทองกี่เหรียญก็สู้ความสงบนี้ไม่ได้ ได้ไปเที่ยวที่ไหนมากน้อยเพียงไร ไปเที่ยวทั่วโลกก็สู้ความสุขที่ได้จากความสงบไม่ได้ พอได้ความสุขแบบนี้แล้วจะเบื่อกับความสุขแบบอื่น ทีนี้จะมีกำลังใจที่จะมาถือศีลมาปฏิบัติธรรมเพิ่มมากขึ้นไป ทีนี้ไม่ต้องมีใครมากวนไม่ต้องมีใครมาบังคับแล้ว มันจะมาของมันเอง มันอยากจะมา เพราะรสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง เมื่อมีรสแห่งธรรมแล้ว ความยินดีในรสแห่งธรรมมันก็จะเกิดขึ้นมาทันที ความยินดีในธรรมชนะการยินดีทั้งปวง จะไม่คิดที่จะไปเที่ยวแล้ว จะไม่คิดที่จะไปช้อปปิ้งซื้อเสื้อผ้าซื้อกระเป๋าซื้อรองเท้าซื้อของฟุ่มเฟือยอะไรต่างๆ ซื้อรถเก๋งราคาคันละ ๒๐ ล้าน ๓๐ ล้าน ไม่ซื้อให้เสียเวลา ซื้อแล้วมาเป็นภาระกับจิตใจ ต้องมาคอยกังวลต้องมาคอยดูแลรักษา ความสุขที่ได้จากซื้อของมาได้เดี๋ยวเดียวแล้วก็หายไป แต่ภาระที่มากดดันจิตใจมันจะอยู่ตราบใดที่ยังมีข้าวของเหล่านั้นอยู่ เมื่อเปรียบเทียบความสุขที่ได้จากความสงบแล้วต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน
 
ผู้ที่ได้สัมผัสกับความสงบนี้แล้วจะไม่อยากจะได้อะไรอีกต่อไป ทีนี้จะพุ่งเข้าหาวัดอย่างเดียว มีเวลาว่างเมื่อไรก็จะไปอยู่วัด ไปภาวนาไปปฏิบัติธรรม อยู่บ้านมีเวลาว่างก็จะนั่งสมาธิ เวลาทำงานทำการก็พยายามฝึกสติคอยควบคุมความคิดควบคู่ไปกับการทำงาน แล้วต่อไปก็จะเบื่องาน ถ้าไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้เงินก็ไม่รู้จะหาเงินไปทำไม เพราะไปหาความสุขที่ได้จากความสงบนี้ไม่ต้องใช้เงินทอง ไม่เหมือนกับความสุขอย่างอื่นนี้ต้องเสียเงินทอง ไปดูหนังฟังเพลงก็ต้องใช้เงิน ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ก็ต้องใช้เงิน สู้มานั่งสมาธิทำใจให้สงบดีกว่าไม่ต้องใช้เงิน เมื่อไม่ต้องใช้เงินก็ไม่รู้จะไปทำงานให้เสียเวลาทำไม ก็ลาออกจากงานดีกว่าจะได้มีเวลาไปสร้างความสุขทางใจเพิ่มให้มากขึ้นนั่นเอง นี่คือผลที่จะตามมาจากการที่เรามารักษาศีลกัน รักษาศีลชนิดต่างๆ เริ่มต้นถ้าเราไม่เคยมีศีลเลย เราก็ต้องมาเริ่มที่ศีล ๕ กันก่อน พยายามรักษาศีล ๕ ให้เป็นนิจศีล คือเป็นศีลปกติเป็นศีลประจำตัว รักษาตลอดเวลาไม่ใช่เฉพาะแต่วันพระหรือวันที่มาวัด รักษาทุกวัน พอรักษาศีล ๕ ได้ก็มาหัดรักษาศีล ๘ ในวันพระ พอรักษาศีล ๘ ได้ในวันพระก็หัดภาวนาไปควบคู่กันไป แล้วพอเห็นผลจากการถือศีล ๘ จากการหัดภาวนา ก็อยากจะทำเพิ่มมากขึ้นก็เพิ่มเป็น ๒ วัน ๓ วัน แล้วพอยิ่งทำมากผลก็ยิ่งปรากฏมากขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อไปก็อยากจะทำทุกวัน ก็ไปบวชกัน เป็นผู้ชายก็ไปบวชเป็นพระ เป็นผู้หญิงก็ไปบวชเป็นชีหรือเป็นอุบาสิกา แล้วแต่ได้ทั้งนั้นขอให้มีเวลาปฏิบัติเท่านั้นเอง
นี่คือหน้าที่ของศีลขั้นต่างๆ เพื่อที่จะดึงจิตใจให้ออกจากการวุ่นวายกับการหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายนั่นเอง ให้มาหาความสุขทางใจ พอได้สัมผัสกับความสุขทางใจแล้วก็จะรู้ว่าอันไหนดีกว่ากัน พอรู้แล้วทีนี้ไม่ต้องถามใคร ไม่ต้องมีใครมาชวนไม่ต้องมีใครมาบอก มีเวลาว่างเมื่อไรก็จะไปปฏิบัติธรรมทันที ต่อไปก็จะปฏิบัติตลอดเวลา พอปฏิบัติตลอดเวลาผลก็คือมรรคผลนิพพานขั้นต่างๆ ก็จะปรากฏขึ้นมา ปรากฏเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระนิพพานในที่สุด นี้คือเรื่องของศีลในพระพุทธศาสนา เป็นบันไดเป็นเครื่องสนับสนุนให้จิตใจได้มีเวลาไปปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะได้สัมผัสกับรสแห่งธรรมที่ชนะรสทั้งปวง
ธรรมบนเขา
วันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัด ชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน
โฆษณา