4 พ.ย. 2020 เวลา 03:29 • ธุรกิจ
หมอ คือ นักปิดการขายที่เก่งที่สุด
หลายคนฟังแล้ว คงเถียงขึ้นมาในใจ ว่าหมอจะเป็นนักปิดการขายได้ไง เพราะไม่เคยเห็นหมอคนไหนขายของสักคน
งั้นลองนึกภาพตามผมนะครับ...
ถ้าวันนี้คุณเกิดปวดท้องขึ้นมา แล้วไปหาหมอ สิ่งแรกที่หมอจะถามคุณคือ สอบถามอาการป่วย สอบถามพฤติกรรมต่างๆ เช่น ปวดตรงไหน ปวดมากี่วันแล้ว ส่วนใหญ่ปวดเวลาไหน ถ่ายเหลวมั๊ย ?
3
หลังจากสอบถามอาการแล้วทำการตรวจอย่างละเอียด จึงจะวินิจฉัยโรคออกมา แล้วจึงบอกว่า คุณเป็นอะไร
หลังจากนั้นคุณก็ออกจากห้องตรวจ แล้วก็เดินไปจ่ายเงินค่ายา (สินค้า) โดยที่ไม่สามารถเลือกชนิดของยาได้เลย ว่าจะเลือกยาชนิดไหน ผลิตจากประเทศอะไร แล้วจ่ายเงินเท่าไหร่ ?
ที่สำคัญ คือ คุณไม่มีทางปฏิเสธการรับยาแล้วบอกว่า “ขอคิดดูก่อน” ที่หน้าห้องรับยาได้เลย
หน้าที่ของคุณคือ เดินไปจ่ายเงิน แล้วรับยาไปกินที่บ้าน
1
นั้นแหละ เท่ากับว่า คุณหมอ “ปิดการขาย” สำเร็จแล้ว
สิ่งที่ทำให้หมอเป็นนักปิดการขายที่เก่งที่สุด เพราะหมอไม่ได้เน้น “ขายสินค้า” แต่เน้น “แก้ปัญหา” ให้ลูกค้าต่างหาก
3
คุณหมอจะไม่อธิบายสรรพคุณของยาก่อนการวินิจฉัยโรค และแทบจะไม่คุยเรื่องของยา (สินค้า) เลยด้วยซ้ำ
3
คุณลองนึกภาพดูว่า ถ้าคุณไปหาหมอแล้วหมอบอกว่า “อ๋อ ไม่ต้องตรวจหรอก ผมดูหน้าคุณก็รู้แล้วว่าคุณเป็นอะไร เอายานี้ไปกินแล้วกัน รับรองว่าหายแน่นอน เพราะยานี้มันมีสรรพคุณแบบนี้ ใช้แล้วดีมากๆ”
5
ถ้าคุณเจอหมอแบบนี้ คุณจะกล้าไปหาหมอคนนี้อีกไหมครับ แล้วจะกล้ากินยาที่หมอให้มาไหม ?
2
แน่นอนว่าคงตอบได้แบบไม่ต้องคิดเลยว่า “ไม่ !!”
1
แต่น่าแปลกไหม ที่เวลาคนเราจะขายของ ชอบขายแบบ “หมอที่ไม่มีการตรวจโรคก่อน”
เพราะทุกครั้งที่นักขายได้โอกาสพูด ก็จะเริ่มร่ายยาวข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า อย่างกับร้องเพลงแร็ปให้ลูกค้าฟัง แล้วก็พยายามบีบให้ลูกค้าซื้อด้วยเทคนิคต่างๆ ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้แหละ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ “เกลียดการขาย”
3
จำไว้ว่า “ลูกค้าไม่ได้สนใจสินค้าของเราเลย เพราะทุกคนเขาสนใจแต่ปัญหาของตัวเองเท่านั้น”
7
และลูกค้าไม่ได้ซื้อสินค้า แต่เขาซื้อวิธีแก้ปัญหาต่างหาก
3
และ หมอนี่แหละ คือ “นักแก้ปัญหา” ที่เก่งที่สุด
เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากจะปิดการขายได้เก่ง คุณต้องปิดการขายแบบหมอ
3
ซึ่งนี่แหละคือ กุญแจสำคัญที่ทำให้ผมสามารถ “ปิดการขายหนังสือได้ 3,000 เล่ม ภายในเวลา 4 เดือนครึ่ง”
1
เพราะผมไม่ได้เน้น “ขาย” หนังสือ แต่ผมเน้น “แก้ปัญหา” ให้ลูกค้า
1
ซึ่งผมมักจะพูดบ่อยๆ ว่าเพจผมไม่ใช่เพจขายหนังสือ แต่เหมือน “คลินิกที่จ่ายยาเป็นหนังสือ” ต่างหาก
2
ใครที่เคยเข้ามาซื้อหนังสือกับผมจะรู้ดีว่า ถ้าคุณทักผมมา ผมจะไม่เอาแคตตาล็อกหนังสือมากางให้คุณดู
1
แต่จะให้ลูกค้าเล่าปัญหาที่ตัวเองเจอออกมา ไม่ว่าจะเป็น การงาน ธุรกิจ การเงิน ความรัก ความสุข สังคม การค้นหาตัวเอง หรือ เป้าหมายของชีวิต
2
จากนั้นก็ค่อยๆ ถามเจาะลึกลงไปจนเจอต้นตอของปัญหา แล้ววินิจฉัยออกมาว่าคุณเป็นอะไร หนึ่ง สอง สาม สี่...
1
เมื่อรู้แล้วว่าปัญหาคืออะไร ผมถึงจะค่อยบอกว่า มันสามารถแก้ไขได้ด้วยหนังสือเล่มไหน เปรียบเสมือนการจ่ายยาของหมอ
3
ซึ่งลูกค้าเกือบทุกคน ก็ยอมจ่ายเงินซื้อหนังสือกับผม โดยที่ไม่ไปหาร้านอื่นมาเปรียบเทียบราคาเลย
3
นี่แหละคือ กุญแจสำคัญที่ทำให้ผมสามารถทำธุรกิจขายหนังสือได้ โดยที่ไม่ต้องไปตัดราคาแข่งกับใคร ไม่ต้องไปลดคุณค่าของหนังสือแข่งกับใคร เพราะสิ่งที่ผมทำอยู่นั้น มันไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
3
เพราะความจริงแล้วลูกค้าไม่ได้ซื้อของเพราะราคาอย่างเดียว แต่เพราะคุณขายเหมือนกันหมด มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ลูกค้าจะต้องจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อสินค้าของคุณ
แล้วก็มานั่งบ่นโทษคนอื่นว่า “ลูกค้าสมัยนี้ก็ซื้อของกันที่ราคาทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่ลดราคาก็ไม่มีใครซื้อหรอก”
โดยที่ไม่หันมาถามตัวเองเลยว่า “ถ้าอยากจะให้ลูกค้าจ่ายเเพงกว่า แล้วได้ทำอะไรให้มันดีกว่าเจ้าอื่นแล้วหรือยัง ?”
4
แล้วถ้าคุณอยากมียอดขายเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดเหมือนผม ผมแนะนำให้อ่าน “หนังสือ รู้แค่นี้ขายดีทุกอย่าง” ของโค้ชแบงค์ สุภกฤษ
1
นี่คือหนังสือที่ทำให้ผมรู้สึก “สนุก” กับ “การขาย” มากที่สุดแล้ว เพราะแต่ละเทคนิคที่โค้ชแบงค์ได้เขียนไว้นั้น มันช่างแยบยลจนสามารถดึงออกมาใช้ปิดการขายได้ทุกสถานการณ์จริงๆ
1
โฆษณา