12 พ.ย. 2020 เวลา 08:56 • กีฬา
ถึงแม้ อาร์เซน่อล จะเป็นทีมเดียวในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ที่คว้าแชมป์ได้แบบไร้พ่ายตลอดทั้งฤดูกาล แต่นั่นคือเรื่องที่ผ่านมาแล้วนานกว่า 16 ปี
ทีมปืนใหญ่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีกทั้งหมด 3 สมัย ในปี 1998, 2002 และ 2004 ภายใต้การคุมทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศส
มีนักเตะเพียง 4 คนเท่านั้น ที่อยู่ในทัพ เดอะ กันเนอร์ส ชุดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกทั้ง 3 สมัย ได้แก่ เดนนิส เบิร์กแคมป์, มาร์ติน คีโอวน์, เรย์ พาร์เลอร์ และ ปาทริค วิเอร่า
ในบรรดา 4 คนที่ว่ามา ต้องบอกว่า วิเอร่า คือผู้เล่นที่มีความเป็นไอคอนของ อาร์เซน่อล ชุดรุ่งเรืองอย่างชัดเจนที่สุด
เขาคือเจ้าของปลอกแขนกัปตันของทีมปืนใหญ่ในฤดูกาล 2003-04 ที่ไม่แพ้ใคร และทำสถิติไร้พ่ายในพรีเมียร์ลีกติดต่อกันนานถึง 49 นัดได้ในเวลาต่อมา
ในช่วงเวลา 9 ปีที่ อาร์เซน่อล ยังมี วิเอร่า อยู่ในทีม พวกเขาไม่เคยจบฤดูกาลต่ำกว่าอันดับ 3 ในลีก โดยได้แชมป์ไปถึง 3 ครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมักจบแค่อันดับกลางตารางในพรีเมียร์ลีก ตอนที่คนคุมทีมเป็น จอร์จ เกรแฮม และ บรูซ ริอ็อค
และหลังจากที่อดีตกองกลางฮาร์ดแมนชาวฝรั่งเศสคนนี้ออกจากทีมไปในปี 2005 กลายเป็นว่าทีมปืนใหญ่ไม่เคยได้ลุ้นแชมป์ลีกแบบจริงๆ จังๆ อีกเลย
พวกเขากลายเป็นทีมที่ทำได้ดีที่สุดแค่อันดับ 4 เป็นประจำ ก่อนที่ช่วงหลังๆ จะเริ่มหลุดออกจากการเป็นทีมระดับท็อปโฟร์ไปแล้ว
ก่อนอื่นเลย ต้องเล่าย้อนไปว่าเส้นทางชีวิตของ ปาทริค วิเอร่า ถือว่าพบกับความลำบากมากๆ ตั้งแต่วัยเด็ก
เขาไม่ใช่ชาวฝรั่งเศสโดยกำเนิด แต่เกิดที่ประเทศเซเนกัล
พ่อแม่ของพวกเขาก็ไม่ใช่ชาวเซเนกัล แต่เป็นคนประเทศอื่นในทวีปแอฟริกาที่อพยพเข้าไปอยู่ในชุมชนยากจนของเมืองดาการ์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเซเนกัล
ปาทริค มีบิดาชื่อ จาค็อบ ออนโด เอยี่ เป็นชาวกาบอง ส่วนคุณแม่ของเขาชื่อ โรเซ่ วิเอร่า เป็นชาวเคปเวิร์ด
ชีวิตวัยเด็กของเขาที่เซเนกัล ต้องเล่นฟุตบอลแบบคนยากไร้ โดยต้องอาศัยเศษผ้าและกระสอบมามัดเป็นก้อนกลมๆ แถมต้องใช้เสื้อผ้าเก่าๆ มาวางเป็นเสาประตู
1
สิ่งนี้น่าจะทำให้เห็นภาพชัดเจน ว่าชุมชนที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในวัยเด็กค่อนข้างห่างไกลความเจริญ
นั่นทำให้ จาค็อบ และ โรเซ่ เลือกที่จะย้ายไปหาโอกาสที่ดีกว่าที่เมืองเดรอซ์ เมืองเล็กๆ ในประเทศฝรั่งเศส ตอนที่ ปาทริค อายุได้ 8 ขวบ
และหลังจากโยกย้ายไปอยู่ที่แดนน้ำหอมได้ไม่นาน คุณพ่อกับคุณแม่ของเขาก็แยกทางกัน ทำให้ ปาทริค เติบโตมาโดยที่คุณแม่เลี้ยงดูเขาเพียงลำพัง
นั่นคือเหตุผลทำให้เขาใช้นามสกุล วิเอร่า ซึ่งเป็นนามสกุลเดิมของแม่ ที่เป็นภาษาโปรตุกีส เพราะเคปเวิร์ด คือประเทศที่ใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษากลาง
1
ว่ากันว่าตั้งแต่พ่อแม่ของ ปาทริค วิเอร่า แยกทางกัน เขาไม่เคยได้พบกับพ่อบังเกิดเกล้าอีกเลย
ด้วยพรสวรรค์และความหลงใหลในเกมลูกหนังตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้ ปาทริค วิเอร่า มุ่งมั่นเต็มที่ว่าจะเอาดีกับการเป็นนักฟุตบอลอาชีพให้ได้
ในวัย 10 ขวบ เขาเข้าสู่อะคาเดมี่ของ แอฟเซ ดรัวส์ สโมสรในเมืองเดรอซ์ ที่ครอบครัวของเขาอพยพไปอาศัยอยู่ตั้งแต่ยังเด็ก
จากนั้นในวัย 15 ปี เขาโยกไปเป็นเด็กฝึกของ ตูร์ สโมสรที่อยู่ทางตอนกลางของฝรั่งเศส
ปาทริค วิเอร่า ได้เป็นกัปตันทีมของ กานส์ ตั้งแต่วัยทีนเอจ
และตอนที่ ปาทริค อายุเพียง 17 ปี เขาได้ลงสนามเกมระดับลีกสูงสุดแดนน้ำหอมครั้งแรกกับทีม อาแอส กานส์ ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมของกานส์ ตั้งแต่อายุแค่ 19 ปี
ด้วยส่วนสูงถึง 193 เซนติเมตร และมีทักษะการเล่นที่คล่องตัว ทำให้เขาได้รับการจับตาจากแมวมองของทีมในยุโรป แม้จะไม่ได้เล่นกับสโมสรที่ใหญ่มากก็ตาม
และในปี 1995 เอซี มิลาน ก็เซ็นสัญญาคว้าตัว ปาทริค วิเอร่า ไปร่วมทีม
1
อย่างไรก็ตาม การแย่งตำแหน่งตัวจริงในทีมปีศาจแดงดำ ถือเป็นเรื่องที่ยากมาก
เพราะในปี 1995 มิลานเต็มไปด้วยกองกลางระดับท็อป ไม่ว่าจะเป็น เดเมตริโอ อัลแบร์ตินี่, โรแบร์โต้ โดนาโดนี่, ซโวนิเมียร์ โบบัน, มาร์กแซล เดอไซยี่ แถมยังมีดาวรุ่งอย่าง มัสซิโม่ อัมโบรซินี่ เข้าไปแย่งตำแหน่งในปีเดียวกันอีกด้วย
1
ปาทริค วิเอร่า ได้โอกาสลงสนามใน เซเรีย อา ภายใต้เครื่องแบบทีมรอสโซเนรี่เพียง 2 นัด ลงเล่นรวมทุกรายการได้แค่ 5 เกม ชัดเจนว่านั่นไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีนัก สำหรับดาวรุ่งที่ต้องการแจ้งเกิดอย่างรวดเร็ว
เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ผมรู้สึกเหมือนเป็นเด็กน้อยที่ได้เล่นร่วมกับ อเลสซานโดร คอสตาคูร์ต้า, โรแบร์โต้ บาจโจ้ และ จอร์จ เวอาห์”
“คาเปลโล่ เป็นกุนซือ และตอนที่เขากำลังซักซ้อมแท็กติก ผมมักเป็นตัวเลือกหลังจาก มาร์กแซล เดอไซยี่ และ เดเมตริโอ อัลแบร์ตินี่ เสมอ ซึ่งผมก็ได้เรียนรู้จากพวกเขา”
“แต่ผมต้องย้ายออกมา เพราะผมอยากเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติฝรั่งเศสชุดฟุตบอลโลก 1998 และผมจำเป็นต้องได้ลงเล่น”
ในช่วงเวลานั้น มีไม่กี่คน ที่สังเกตเห็นว่ามิดฟิลด์ผู้ได้โอกาสลงโชว์ของเพียงน้อยนิดคนนี้มีของดีในตัว และมีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะกลายเป็นกองกลางระดับท็อป
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือ อาร์แซน เวนเกอร์ ซึ่งกลายเป็นเจ้านายของ วิเอร่า ในเวลาต่อมา
ในช่วงซัมเมอร์ปี 1996 อาร์เซน่อล กำลังต้องการผู้จัดการทีมคนใหม่เข้าไปแทนที่ บรูซ ริอ็อค ซึ่งโดน เดวิด ดีน อดีตประธานสโมสรปลดออกจากตำแหน่ง เพราะมีปัญหาขัดแย้งอย่างรุนแรงเรื่องวิสัยทัศน์การทำทีมที่ไม่ตรงกัน
ริอ็อค ต้องการให้สโมสรซื้อดาวดังเข้ามาเพื่อยกระดับทีม แต่นโยบายของ ดีน คือการซื้อนักเตะเข้ามาเพื่อเพิ่มมูลค่า และทำทีมไว้ลุ้นความสำเร็จในระยะยาวมากกว่า
ในเวลานั้น อาร์เซน่อล มองไปที่ อาร์แซน เวนเกอร์ ซึ่งกำลังคุมทีมในเจลีกอย่าง นาโงย่า แกรมปัส เอจ โดยเขาเคยพา โมนาโก คว้าแชมป์ลีกสูงสุดฝรั่งเศสเมื่อปี 1988, แชมป์ เฟร้นช์ คัพ ปี 1991 และที่โดดเด่นกว่านั้น คือการพัฒนานักเตะอายุน้อยขึ้นมาประดับวงการได้หลายคน
ด้วยความที่ เวนเกอร์ ยังติดสัญญากับต้นสังกัดในญี่ปุ่น ทำให้ทีมปืนใหญ่ต้องรอเวลาพอสมควร กว่าจะได้ตัวกุนซือชาวฝรั่งเศสเข้าไปทำงาน ถึงแม้ เวนเกอร์ จะตอบตกลงรับงานคุมอาร์เซน่อลล่วงหน้าไว้แล้วก็ตาม
ระหว่างที่ยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงแยกทางกับนาโงย่า เวนเกอร์ได้ขอร้องบอร์ดบริหารของอาร์เซน่อล ให้รีบเซ็นสัญญานักเตะชาวฝรั่งเศส 2 คนให้เรียบร้อยก่อนที่เขาจะเข้าไปทำงาน
คนแรกคือ เรมี่ การ์ด นักเตะตัวรับที่สามารถคว้าตัวจาก สตราส์บูร์ก ได้แบบฟรีๆ
และอีกคนคือ ปาทริค วิเอร่า กองกลางดาวรุ่ง ที่แทบไม่ได้โอกาสลงสนามให้ เอซี มิลาน นั่นแหละ
อาร์แซน เวนเกอร์ ตอนเปิดตัวคุมทีมอาร์เซน่อล ปี 1996
ถ้าหากไม่มี อาร์แซน เวนเกอร์ บางที ปาทริค วิเอร่า อาจไม่ได้ไปเป็นตำนานของอาร์เซน่อล แต่อาจไปเป็นลูกทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล ที่ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในปี 1996 แทน
เวนเกอร์ เคยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้กับ เดลี่ เมล เมื่อปี 2015 โดยเล่าย้อนอดีต ว่าเขาประทับใจฝีเท้าของ วิเอร่า ตั้งแต่แรกเห็น ทั้งที่เวลานั้น วิเอร่า อายุแค่ 17 ปี
1
“ผมรู้จักเขาดีมากๆ เพราะตอนที่เขาลงสนามเกมแรกให้กานส์ คือการพบกับโมนาโกของผม ในเกมอุ่นเครื่องหลังจบซีซั่น”
“เขาต่อสู้กับ โคล้ด ปูแอล หนึ่งในลูกทีมของผมซึ่งรับมือค่อนข้างยาก แต่เขาก็ใช้พละกำลังจัดการกับ ปูแอล ได้อยู่หมัด”
“เขาอายุแค่ 17 ปีในตอนนั้น และผมบอกหลังเกมเอาไว้ว่าเด็กคนนี้จะมีเส้นทางอาชีพที่ยิ่งใหญ่ และผมก็พูดไม่ผิดเลยในตอนนั้น”
1
“ผมมีส่วนสำคัญในการเซ็นสัญญากับเขา ผมทำงานอยู่ที่นาโงย่า ผมคิดว่าเขาเชื่อใจผมนะ เพราะตอนนั้นที่ผมโทรหาเขา เขาอยู่ที่อัมสเตอร์ดัม เพื่อเซ็นสัญญากับอาแจ็กซ์”
“เขาอยู่ที่ฮอลแลนด์ แต่ผมรู้จักกับเอเยนต์ของเขา ผมจึงบอกปาทริคไปว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ แล้วย้ายมาอาร์เซน่อลซะ” ”
“พวกเขากำลังรอเวลาอยู่ที่โรงแรม ก่อนจะไปที่ออฟฟิศของอาแจ็กซ์เพื่อทำสัญญา และผมก็หยุดเรื่องนั้นได้ ซึ่งเช้าวันถัดมา เขาบินจากอัมสเตอร์ดัมไปลอนดอน”
“เขาอาจจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของผมได้เลย นั่นคือเรื่องบังเอิญและโชคดีในชีวิตผม ผมแค่โชคดีในการเข้าไปแทรกแซงได้อย่างถูกจังหวะ”
เวนเกอร์ พูดไม่ผิดจริงๆ ที่ ปาทริค วิเอร่า คือนักเตะที่เข้าไปเปลี่ยนประวัติศาสตร์ชีวิตการคุมทีมของเขา
ถึงแม้ วิเอร่า จะไม่มีตำแหน่งตัวจริงในถิ่น ซาน ซีโร่ แต่ด้วยความที่เป็นดาวรุ่งที่มีโอกาสพัฒนาฝีเท้าในอนาคต ทำให้ เอซี มิลาน ต้องการค่าตัวที่สมน้ำสมเนื้อพอสมควร
1
วันที่ 14 สิงหาคม 1996 อาร์เซน่อล เซ็นสัญญาคว้า ปาทริค วิเอร่า มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์ ซึ่งไม่ใช่ราคาที่แพงเกินไป แต่ก็ไม่ใช่ถูกๆ สำหรับนักเตะอายุ 20 ปีที่ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองมามากนัก สำหรับช่วงเวลา 24 ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา วิเอร่า กลับพิสูจน์ให้เห็นว่า ราคา 3.5 ล้านปอนด์ คือการลงทุนที่คุ้มค่ามากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมปืนใหญ่
ด้วยความที่ วิเอร่า ย้ายเข้ามาในฐานะนักเตะค่อนข้างจะโนเนม แถมตอนที่เซ็นสัญญากับทีม ก็มีอายุแค่ 20 ปี ทำให้เขาไม่มีชื่อแม้กระทั่งเป็นตัวสำรอง ตลอด 5 เกมแรกของฤดูกาล 1996-97
จนกระทั่งวันที่ 16 กันยายน 1996 ซึ่งเป็นวันที่ อาร์เซน่อล เปิดบ้านพบ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ เกมนั้น วิเอร่า ถึงมีชื่อบนม้านั่งสำรองครั้งแรกในถิ่นไฮบิวรี่
โอกาสลงสนามครั้งแรกของ “ปั๊ต” มาเร็วกว่าที่คิด เพราะ เรย์ พาร์เลอร์ ได้รับบาดเจ็บในนาทีที่ 27 ของเกม หลังจากที่โดน เชฟฯ เว้นส์ฯ บุกนำก่อนได้ 2 นาที
วิเอร่า ลงสนามให้ อาร์เซน่อล นัดแรกเมื่อวันที่ 16 กันยายน 1996
แพ็ท ไรซ์ ซึ่งทำหน้าที่กุนซือขัดตาทัพ ระหว่างที่ อาร์แซน เวนเกอร์ ยังไม่เข้ามาคุมทีมอย่างเป็นทางการ ตัดสินใจส่งดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสลงไปคุมแดนกลางตั้งแต่ครึ่งแรก
การลงสนามของ วิเอร่า กลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกม เพราะเขาลงไปเชื่อมเกมได้อย่างเนียนตา ใช้ส่วนสูงและความแข็งแกร่งของร่างกาย เบียดบังบอลมาให้ทีมได้เซตเกมขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง แถมมีจังหวะผ่านบอลสร้างโอกาสสวยๆ หลายครั้ง
อาร์เซน่อล พลิกกลับมาชนะเกมนั้น 4-1 ได้จากประตูตีเสมอของ เดวิด แพล็ตต์ ต่อด้วยแฮตทริกของ เอียน ไรท์ ซึ่งแม้ว่า วิเอร่า จะทำแอสซิสต์ไม่ได้ แต่ฟอร์มการเล่นของเขาในวันนั้น ถือว่าทำให้แฟนบอล เดอะ กันเนอร์ส ตกหลุมรักเขาซะแล้ว
หลังจากนั้นเป็นต้นมา วิเอร่า เปลี่ยนสถานะกลายเป็นตัวหลักในแดนกลางของทีมทันที และยิ่ง เวนเกอร์ เข้ามารับตำแหน่งกุนซืออาร์เซน่อลในเดือนตุลาคม 1996 จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ความสำคัญของกองกลางเจ้าของเสื้อเบอร์ 4 คนนี้ยิ่งต้องมากขึ้น เพราะนี่คือนักเตะที่ เวนเกอร์ กำชับสโมสรให้เซ็นสัญญาเข้ามาให้ได้ตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาคุมทีมเสียอีก
ฤดูกาล 1996-97 ปาทริค วิเอร่า วัยเพียง 20 ปี ลงสนามในพรีเมียร์ลีกมากถึง 31 นัด ยิงได้ 2 ประตู และช่วยให้ อาร์เซน่อล จบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 ตามหลังแชมเปี้ยนอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพียง 7 แต้ม
ทั้งที่ก่อนหน้านั้น พวกเขาตามหลังแชมป์พรีเมียร์ลีกไม่เคยต่ำกว่า 19 คะแนน
นั่นแสดงให้เห็นว่า การเข้ามาของ ปาทริค วิเอร่า และ อาร์แซน เวนเกอร์ ช่วยให้ทีมปืนใหญ่พัฒนาทีมไปสู่การพร้อมท้าชิงแชมป์อย่างเต็มตัว
จากนั้นในฤดูกาล 1997-98 ซึ่ง เวนเกอร์ ได้คุมทีมตั้งแต่ช่วงปรีซีซั่น และทำทีมยาวๆ ทั้งฤดูกาลเป็นครั้งแรก อาร์เซน่อลก็คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ โดยที่ได้ถ้วย เอฟเอ คัพ มาครองอีกรายการ
2
ฟอร์มสุดยอดของ วิเอร่า บวกกับความสำเร็จติดตัวที่ช่วยเพิ่มบารมี ทำให้เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติฝรั่งเศสชุดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1998 สมใจ
โดย วิเอร่า เป็นคนทำแอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีมปืนใหญ่อย่าง เอ็มมานูเอล เปอตีต์ หลุดไปซัดปิดท้ายใส่ทีมชาติบราซิล ในเกมนัดชิงชนะเลิศที่ฝรั่งเศสถล่มทีมแซมบ้า 3-0 ที่ สต๊าด เดอ ฟร้องซ์
วิเอร่า และ เอ็มมานูเอล เปอตีต์ ช่วยกันพาฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลกสมัยแรก
แม้ในศึกฟุตบอลโลก เขาจะเป็นเพียงตัวสำรอง แต่พอถึงศึกยูโร 2000 ที่ฝรั่งเศสครองแชมป์ยุโรปได้สำเร็จ วิเอร่า ถือเป็นกำลังหลักของทีมชุดนั้น
ซึ่งหากไม่นับเกมแรกของรอบแบ่งกลุ่มที่เป็นตัวสำรองนัดพบ เดนมาร์ก อีก 5 เกมที่เหลือ เขาออกสตาร์ทตัวจริง โดยไม่โดนเปลี่ยนตัวออกเลย
ถึงแม้ตั้งแต่ซีซั่น 1998-99 จนถึง 2000-01 ตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกจะเป็นของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ฟอร์มการเล่นของ วิเอร่า ถือว่าเป็นกองกลางที่โดดเด่นที่สุดในลีก
เขาช่วยให้ อาร์เซน่อล คว้าดับเบิ้ลแชมป์ (ลีก + เอฟเอ คัพ) อีกครั้งในปี 2002 และได้แชมป์ลีกแบบไร้พ่ายในฤดูกาล 2003-04
ระหว่างฤดูกาล 1998-99 จนถึง 2003-04 ปาทริค วิเอร่า คือมิดฟิลด์ตัวกลางเพียงคนเดียว ที่มีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำปีของพีเอฟเอทุกซีซั่น เป็นเวลานานถึง 6 ฤดูกาลติดต่อกัน
แม้กระทั่งคู่ปรับตลอดกาลอย่าง รอย คีน ตำนานมิดฟิลด์ฮาร์ดแมนอดีตกัปตันทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังไม่สามารถมีชื่อติดทีมพีเอฟเอได้นานขนาดนั้นได้
และแม้จะเคยปะทะกันในสนามดุเดือดกันขนาดไหน แต่ ปาทริค วิเอร่า คือนักเตะที่ รอย คีน ให้ความเคารพว่าเป็นนักเตะชั้นยอดมาโดยตลอด
คีโน่ เคยไปให้สัมภาษณ์กับ สกาย สปอร์ตส์ ว่า “ปาทริค อาจจะเป็นคู่แข่งที่ทำให้ผมยากลำบากที่สุดแล้ว เขาอาจท้าทายคุณในวิธีที่แตกต่างกันออกไป เขาสามารถวิ่งไปทั่วสนามได้ เขาไปกับบอลได้ดี เขาแข็งแกร่ง และเขายิงประตูได้”
“ผมรู้ว่าผมจะต้องเล่นให้ได้ในระดับที่ดีที่สุดของที่สุดสำหรับตัวผม ถึงจะล้ม ปาทริค ได้”
“ถ้าหากผมสามารถเอาชนะ ปาทริค ได้สำเร็จ พวกเราถึงจะมีโอกาสเอาชนะในเกมนั้น”
รอย คีน ถือเป็นกองกลางคู่ปรับตลอดกาลของ วิเอร่า ในพรีเมียร์ลีก
ถ้าจะอธิบายจุดเด่นของ ปาทริค วิเอร่า ในช่วงพีคๆ ก็คือความเป็นกองกลางที่สมบูรณ์แบบอย่างที่ รอย คีน ยกย่องเอาไว้
เขาเคลื่อนที่ไปทั่วสนาม มีพละกำลังที่แข็งแกร่ง เลี้ยงบอลได้ติดเท้า และสามารถเติมขึ้นไปยิงประตูได้อันตรายในบางครั้ง
จุดที่น่าสังเกตก็คือ วิเอร่า สามารถเล่นได้ดีเสมอ แม้จะจับคู่กับมิดฟิลด์ที่แตกต่างกัน ตลอดทั้ง 3 ฤดูกาลที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
ฤดูกาล 1997-98 เล่นร่วมกับ เอ็มมานูเอล เปอตีต์, ซีซั่น 2001-02 เน้นจับคู่กับ เรย์ พาร์เลอร์ และ เอดู ส่วนฤดูกาล 2003-04 ที่ไร้พ่าย ส่วนใหญ่จะประสานงานกับ จิลแบร์โต้ ซิลวา
แต่อีกคุณสมบัติสำคัญที่ผู้คนจดจำ วิเอร่า ได้ชัดเจน คือเรื่องของความเป็นผู้นำทีมที่ยอดเยี่ยม และเต็มเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม
หากพูดถึงกัปตันทีมในอุดมคติ แฟนบอลคงคิดว่าน่าจะต้องเป็นคนที่เสียงดังที่สุด, กล้าหาญที่สุด, ทุ่มเทมากที่สุด ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย ใครๆ ก็ชื่นชอบกัปตันทีมแบบนั้น
ดิ แอธเลติก เผยว่า หลังจากที่ โทนี่ อดัมส์ แขวนสตั๊ดในปี 2002 อาร์แซน เวนเกอร์ และมือขวาอย่าง แพ็ท ไรซ์ เห็นตรงกันว่า มีนักเตะเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะสมกับการสืบทอดตำแหน่งกัปตันแทนที่ อดัมส์ นั่นก็คือ ปาทริค วิเอร่า
อันที่จริง วิเอร่า มีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกับ โทนี่ อดัมส์ เขาไม่ใช่คนที่เสียงดังที่สุดในทีม แถมชอบทำตัวสบายๆ นอกสนาม แถมต้องไม่ลืมว่า ณ เวลานั้นยังมีนักเตะชาวอังกฤษที่อาวุโสกว่า และเหมาะสมกับปลอกแขนเช่นกันอย่าง มาร์ติน คีโอว์น
จุดที่ทำให้ วิเอร่า คือตัวเลือกแรกที่ เวนเกอร์ ต้องการให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่ในปี 2002 ก็คือเขาเป็นนักเตะที่รักษามาตรฐานการเล่นไว้ได้ดีเสมอ หลังจากอยู่ค้าแข้งกับทีมมาแล้วนานหลายปี
1
ดิ แอธเลติก เผยเบื้องหลังความเป็นที่ยอมรับของ วิเอร่า ในหมู่เพื่อนร่วมทีมเอาไว้ว่า ในฤดูกาล Invincible ของอาร์เซน่อล วิเอร่า มักจะเชิญเพื่อนร่วมทีมให้พาแฟนสาวหรือภรรยาไปดินเนอร์ร่วมกันบ่อยๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์กันให้แน่นแฟ้นขึ้น โดยที่ตัวเขาขอเป็นเจ้ามือเอง
เดวิด ซีแมน เคยเล่าให้ฟังว่า ในศึก เอฟเอ คัพ 2003 นัดชิงชนะเลิศ ซึ่ง อาร์เซน่อล เอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 1-0 เกมนั้น ปาทริค วิเอร่า มีอาการบาดเจ็บและไม่มีชื่อเป็นตัวสำรอง เขาใส่สูทมานั่งเชียร์เพื่อนในสนาม แต่ ซีแมน เผยว่าเพื่อนร่วมทีมต่างต้องการให้เขาเป็นคนชูถ้วย
“เราชนะเกมนั้นและเขาบาดเจ็บ ซึ่งหลังจบเกม เขาใส่สูทเดินเข้ามาหาพวกเรา ผมบอกเขาว่าพวกเรากำลังจะเดินขึ้นไปรับถ้วยแล้วนะ เขาบอกผมว่า ไม่ต้องสนใจเขา นี่คือวันที่ผมเป็นกัปตันทีม”
“ผมเลยบอกเขาว่า ถ้านายไม่เดินขึ้นไป ฉันก็ไม่ไป นายมากับฉันนี่แหละ”
หากไปหาดูภาพการฉลองแชมป์ เอฟเอ คัพ ของ อาร์เซน่อล เมื่อ 17 ปีที่แล้ว จะพบว่า ซีแมน ที่สวมปลอกแขน กับ วิเอร่าที่มาในชุดสูท คือคนที่ชูถ้วยแชมป์พร้อมกัน
ปาทริค วิเอร่า กับแชมป์ เอฟเอ คัพ ปี 2005 ก่อนอำลาอาร์เซน่อล
เกมสุดท้ายที่ ปาทริค วิเอร่า ลงสนามให้ อาร์เซน่อล ก็คือการคว้าแชมป์ปิดท้ายร่วมกับทีมปืนใหญ่ นั่นคือนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ปี 2005 ที่ดวลจุดโทษเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
วิเอร่า คือคนที่ยิงจุดโทษตัดสินเกมนั้น และคราวนี้เขาสวมเครื่องแบบทีมปืนใหญ่ไปชูถ้วยอย่างเต็มภาคภูมิ
ตลอดช่วงเวลา 9 ปี ตั้งแต่ปี 1996-2005 ปาทริค วิเอร่า ลงสนามรวมทุกรายการให้ อาร์เซน่อล ไปทั้งหมด 406 นัด ยิงได้ 34 ประตู
เขาคว้าแชมป์กับ เดอะ กันเนอร์ส รวม 10 โทรฟี่ ประกอบด้วยพรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 ครั้ง และ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ อีก 3 หน
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ในปี 2005 เขาเลือกย้ายกลับไปค้าแข้งที่อิตาลี โดยเซ็นสัญญากับ ยูเวนตุส ด้วยค่าตัว 13.75 ล้านปอนด์ ทั้งที่สภาพร่างกายของเขา น่าจะยังพร้อมช่วยทีมปืนใหญ่ต่อไปได้อีกหลายปี
1
วิเอร่า เผยว่า สาเหตุที่เขาเลือกย้ายออกจากสโมสรที่เขาอยู่ด้วยเกือบทศวรรษ เป็นเพราะมันคือเวลาที่เขาต้องการหลีกทางให้คนที่หนุ่มกว่า แถมเขามองว่าด้วยอายุเข้าหลักสาม การกลับไปเล่นที่อิตาลี น่าจะได้ลงสนามบ่อยกว่ายังค้าแข้งที่อังกฤษ
“หลังจาก 9 ปีกับอาร์เซน่อล ผมอายุย่างเข้า 30 ปี และ 30 ปีในวงการฟุตบอลคือคุณเริ่มแก่แล้ว”
“คุณจะเห็นได้เลยว่าโค้ชไม่ได้เชื่อใจคุณเหมือนที่เคย นั่นคือส่วนหนึ่งของฟุตบอล”
“มันเป็นเรื่องยากลำบาก และผมยอมรับได้ เพราะเรามีนักเตะหนุ่มที่ชื่อ เชส ฟาเบรกาส ที่เลื่อนขึ้นมาจากอะคาเดมี่ และเขาทำงานได้ดีจริงๆ”
“ซึ่งผมรู้สึกว่าเวลาของผมกับ อาร์เซน่อล มันหมดลงแล้ว ผมต้องยอมรับว่ามันจบลง และต้องตัดสินใจอย่างลำบากเช่นกัน เพราะการลาจากอาร์เซน่อล ที่คุณอยู่ด้วยนานถึง 9 ปี มันคือเรื่องยากจริงๆ และทำร้ายความภูมิใจของคุณพอสมควร”
“ในฐานะนักเตะ คุณรู้สึกภาคภูมิใจ แต่ผมตัดสินใจย้ายเพราะผมต้องการลงเล่นทุกนัด และผมตัดสินใจย้ายกลับไปที่อิตาลี”
อย่างไรก็ตาม การย้ายออกจาก อาร์เซน่อล กลายเป็นทำให้ ปาทริค วิเอร่า เข้าสู่ช่วงขาลงของอาชีพเร็วกว่าที่คิด
การที่ ยูเวนตุส โดนคดี “กัลโช่โปลี” เมื่อปี 2006 และถูกปรับตกชั้น ทำให้ วิเอร่า อยู่ค้าแข้งกับทีมม้าลายได้แค่ปีเดียว แล้วย้ายไปอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน แทนด้วยค่าตัว 9.5 ล้านยูโร
หลังจากย้ายไปอยู่กับทีมงูใหญ่ วิเอร่า มีปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานบ่อยครั้ง จนสูญเสียตำแหน่งตัวหลักไปให้นักเตะอย่าง โอลิวิเย่ร์ ดากูร์
และยิ่งในยุคที่ โชเซ่ มูรินโญ่ เข้าไปคุมอินเตอร์ แล้วเซ็นสัญญากับกองกลางตัวใหม่เข้าไปเสริมหลายคน วิเอร่า ยิ่งลดความสำคัญลงเรื่อยๆ
เขาย้ายไปซบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบไม่มีค่าตัวในเดือนมกราคม 2010 และแขวนสตั๊ดกับทีมเรือใบสีฟ้าในปี 2011 โดยคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ กับ แมนฯ ซิตี้ เป็นการสั่งลาอาชีพ
ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบัน ปาทริค วิเอร่า คือกุนซือของ นีซ ทีมใน ลีก เอิง มาตั้งแต่ปี 2018 หลังจากเริ่มงานคุมทีมครั้งแรกกับ นิวยอร์ก ซิตี้ ในปี 2016
วิเอร่า ในวัย 44 ปี ยังคงถูกจดจำในฐานะมิดฟิลด์ตัวกลางที่ดีที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ อาร์เซน่อล เคยมี และไม่มีใครปฏิเสธแน่ ว่าเขาคือลูกทีมที่ดีที่สุดตลอดกาลอีกคนของ อาร์แซน เวนเกอร์
ซึ่งนับตั้งแต่ทีมปืนใหญ่เสียเขาออกจากทีมไปเมื่อ 15 ปีก่อน อาร์เซน่อลยังไม่เจอใครที่ทดแทนตำแหน่งของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยสักคน
พวกเขาอาจจะพบกองกลางที่จ่ายบอลขั้นเทพ เทคนิคเยี่ยมอย่าง เชส ฟาเบรกาส, โทมัส โรซิชกี้ หรือ ซามีร์ นาสรี่
พวกเขาอาจเจอคนที่วางบอลยาวได้น่าทึ่งอย่าง อเล็กซ์ ซง หรืออาจเจอคนที่ตัดเกมได้หนักหน่วง เข้าปะทะแม่นยำแบบ โธมัส พาร์เตย์
แต่พวกเขายังไม่เคยเจอกองกลางคนไหน เจ๋งทั้งบู๊และบุ๋นได้แบบที่เคยมี ปาทริค วิเอร่า บัญชาเกม
#เสียบสามเหลี่ยม #Vieira #Wenger #Arsenal #Legend #PremierLeague
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ และเพื่อไม่พลาดบทความคุณภาพจากเรา อย่าลืมกดไลค์เพจ และติดตามเพจแบบ See First ไว้เลยนะครับ
..สนใจติดต่อลงโฆษณา, สนับสนุนเพจ ติดต่อจ้างงานเขียนบทความฟุตบอล งานแปลข่าว เขียนสคริปต์สำหรับ Content ฟุตบอล หรือแปลหนังสือฟุตบอล ทักอินบ็อกซ์ สอบถามได้ตลอดเวลาครับ
โฆษณา