14 พ.ย. 2020 เวลา 08:30 • นิยาย เรื่องสั้น
💕 รั ก ข้ า ม ข อ บ ฟ้ า 💕
Ep. 1 🔹️ 🔹️ แ ร ก พ บ 🔹️ 🔹️
มือที่กำลังลูบคลำจี้ลาพิส ลาซูลีสีน้ำเงินสดที่คอชะงักไปนิดนึง ฉันมักเผลอทำแบบนี้เวลาที่คิดอะไรเพลิน
จำได้ว่าวันนั้น ฉันวิ่งโร่เข้าไปในครัว ปากก็เจื้อยแจ้วไปด้วย “แม่ แม่ หนูมีอะไรจะอวด” แม่ทำหน้าเมื่อยทันที ที่แม่เห็นหน้าฉันและจี้ลาพีส ลาซูลี ในมือ แต่ยังมีใจจะพูดด้วย “ไปเอามาจนได้นะ นี่ถ้าตกงาน อย่าลืมเอาไปต้มน้ำกินด้วยล่ะ” ฉันขำคำพูดเจ็บ ๆ ของแม่ อดที่จะสวนกลับไปไม่ได้ว่า “ต้องใส่เก๊กฮวยด้วยนะแม่ จะได้แก้เก๊กซิม”
การต่อล้อต่อเถียงของเราแม่ลูก มันทำให้เรารู้สึกรักและสนิทสนมกันมากขึ้น เหมือนเป็นทั้งแม่กับลูกและเป็นเพื่อนในขณะเดียวกันนับจากวันที่พ่อจากเราไป
ใครจะคิดว่า คำพูดเชิงประชดของแม่ในวันนั้นจะเป็นความจริง ใช่ .. ฉันตกงาน เพียงแต่ไม่ได้เอาจี้แสนรักของฉันมาต้มน้ำกินเท่านั้น
..
..
เสียงแม่เกลี้ยกล่อมเหมือนอยากให้ฉันเปลี่ยนใจ “งานใหม่ก็ยังไม่มี ถ้าเกิดเค้าเรียกสัมภาษณ์ขึ้นมา ตามตัวไม่ได้เพราะแม่คนสมัครงานมัวแต่ไปตะลอนตะลอนเที่ยวซะ ใครเค้าจะรอ”
มันก็อาจจะจริงอย่างแม่ว่าแหละ แต่ฉันคงไม่จำนนกับแม่ง่าย ๆ “แหม..แม่ ก็หนูแจ้งเค้าแล้วว่าหนูติดธุระ จะกลับมาวันไหน ถ้าเค้าพิศวาสหนู ก็รอแป๊บเดียวเอง” “ถ้าไม่ไปหนูจ่ายตังค์ไปแล้วเค้าไม่คืนนะ แม่ไม่เสียดายตังค์หรอ ถ้าได้งานก็ไม่ต้องไปไหนกันละ”
..
..
คงจะเป็นบาปที่ฉันไม่เชื่อแม่ การเดินทางจึงไม่ราบรื่น อีตาไกด์มาบอกฉันตอนที่เจอกันที่สนามบินเมื่อวานว่าเช้านี้ฉันต้องบินไปอีกเมืองนึงคนเดียว เพราะไฟล้ท์เต็มมาก เค้าจะนั่งรถไปแทน แล้วค่อยพบกันที่โรงแรมในตอนเย็น ฉันเซ็งทั้งเป็ดทั้งห่านที่ต้องลากเจ้ากระเป๋าดัฟเฟิลใบใหญ่พร้อมเป้ 48 ลิตรด้วยตัวเองไปสนามบินตั้งแต่เช้ามืด เพื่อขึ้นเครื่องบินไปอีกเมืองซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเทรคของฉัน
ก็ยังนึกขอบคุณอีตาไกด์อยู่หน่อยที่อุตส่าห์ย้ำว่า ให้ฉันพยายามนั่งด้านหน้าสุดฝั่งขวาของเครื่องบิน เพื่อจะได้ชมวิวสวยงามที่ฉันอยากเห็น
..
..
เวลาแห่งการรอคอยมาถึง ฉันเช็คอินกระเป๋าเรียบร้อย เหลือเพียงวัดดวงว่าจะได้นั่งบนเครื่องในจุดที่ต้องการหรือเปล่า เดี๋ยวก็รู้
ฉันเหลียวซ้ายแลขวาหาเก้าอี้ว่างที่เกท ไฟล้ทคงเต็มจริง เก้าอี้นั่งรอยังแทบจะไม่มีเหลือ ผู้โดยสารส่วนใหญ่มาด้วยกันเป็นกลุ่ม ที่มาส่วนตัวแบบฉันคงมีไม่กี่คน ที่แน่ ๆ ฉันเป็นคนไทยเพียงคนเดียวในจำนวนผู้โดยสารทั้งลำ 14 คน
หลังจากที่ยืนคอยซักพัก เกทก็เปิดให้บอร์ดดิ้งและฉันเดินตัวปลิวเป็นคนแรก ไปขึ้นเครื่องบินลำเล็กที่จอดอยู่กลางลานกว้าง เดินขึ้นบันไดด้านท้ายเครื่องก่อนใครสำเร็จอย่างง่ายดาย
ฉันพุ่งจากท้ายลำทีเดียวถึงที่นั่งแถวแรกด้านขวาตามแผน แต่ต้องชะงักจังงัง ที่นั่งแรกไม่มีหน้าต่าง !!! ด้วยความเห็นแก่ตัวในส่วนลึก ฉันเปลี่ยนใจและถอยหลังเพื่อนั่งในที่นั่งถัดมาแทน ทำให้ชนกับผู้โดยสารที่ตามมาข้างหลังอย่างจัง ฉันระล่ำระลักขอโทษโดยไม่ได้มองหน้า ได้ยินเสียงถามเป็นภาษาอังกฤษชัดเจนว่า ฉันต้องการนั่งในแถวที่ 2 ใช่มั๊ย ฉันรู้สึกละอายใจมาก ตอบไปได้เพียงว่าไม่เป็นไร แต่เสียงสวรรค์กลับตัดสินให้เรียบร้อยเลยว่าให้ฉันนั่งแถวสอง และเทพบุตรจะนั่งแถวแรกเสียเอง
ไม่มีเวลาที่จะรีรอ เพราะเรายืนขวางทางผู้โดยสารอื่นอยู่ ฉันยอมทำตามอย่างยินดีพร้อมขอบคุณพ่อเทพบุตรรัว ๆ
1
ฉันมองชายหนุ่มผู้ใจดีจากด้านหลัง ที่แน่ ๆ ไม่ใช่วัยรุ่นแต่จะเป็นวัยไหนคงยังเดาไม่ได้ ฉันเห็นเขาเอากล้องออกมาเก็บภาพผ่านห้องนักบินด้านหน้าแล้วก็ไม่ได้สนใจเขาอีก เพราะวิวนอกหน้าต่างที่ฉันนั่งมันช่างน่าตื่นตาตื่นใจ
..
..
เครื่องบินเริ่มลดระดับ มองเห็นเส้นทางเดินคดเคี้ยวไต่เลาะไปตามไหล่เขา พรุ่งนี้แล้วซินะที่ฉันจะได้ย่ำเท้าไปบนเส้นทางแบบนั้น .... โอ๊ย ฉันตื่นเต้นอยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็ว ๆ จัง
หลังจากรับกระเป๋าเรียบร้อย ฉันยืนคอยรถที่ไกด์จะส่งมารับนานมาก จนผู้โดยสารคนอื่นหายไปกันหมดแล้ว ... อย่าเชียวนะ อย่าบอกว่าฉันต้องหารถไปโรงแรมเอง
1
ฉันมัวแต่ไถมือถือหาชื่อโรงแรมที่ไกด์เคยส่งมาให้ จึงไม่ได้สังเกตุว่ายังมีผู้โดยสารอีกคนที่คอยรถมารับเช่นกัน ... พ่อเทพบุตร นั่นเอง
1
พอฉันเงยหน้าหันไปมอง เขาก็เดินตรงเข้ามาหาทันที และยื่นความปรารถนาดีให้อีกครั้งว่า รถที่รับเขามาถึงแล้ว สามารถแวะส่งฉันที่โรงแรมได้ ... นี่มัน เทพบุตรชัด ๆ
ฉันตอบตกลงหลังจากที่สิ้นหวังกับการติดต่อไกด์ ซึ่งตอนนี้คงอยู่บนรถบัสที่วิ่งตุเลงตุเลงอยู่กลางหุบเขาลูกไหนซักลูกหนึ่ง
..
..
หลังจากที่รถส่งฉันที่โรงแรม ฉันมีเวลาทั้งวันที่จะเดินเล่นสำรวจเมือง กว่าจะเจอกับไกด์ที่คงมาถึงไม่ช่วงบ่ายก็เย็น ฉันนึกถึงเพื่อนสาวที่เคยไปเที่ยวด้วยกันทุกครั้ง นี่ถ้าคุณเธอไม่ติดว่าเพิ่งเริ่มงานใหม่ละก็เราคงสนุกกันมาก ทริปนี้เปิดประสบการณ์การเที่ยวคนเดียวของฉันไม่ว่าฉันจะพร้อมกับมันหรือไม่ก็ตาม
เช้านี้ฉันเตรียมตัวเสร็จเร็ว ลงมาทานอาหารเช้ารอไกด์และภาวนาในใจว่า ขออย่าให้มีอะไรพลิกล๊อคอีกเลย มันหลายเรื่องเกินไปละ
ไกด์หนุ่มรูปงามเดินยิ้มร่า มาช่วยยกสัมภาระของฉันไปขึ้นรถ เราต้องนั่งรถไปเกือบ 2 ชั่วโมงจึงจะถึงจุดเริ่มต้นการเดิน คุณไกด์ตาหวานหันมาบอกฉันเมื่อเราขึ้นรถเรียบร้อยว่าขอแวะรับเทรคเกอร์อีกคน ก็โอเคคนเดียวนั่งได้อยู่แล้วแม้รถจะคันเท่าฟักทองซินเดอเรลล่า
ฉันแทบไม่เชื่อสายตา ว่าคนที่จะมาร่วมทางคือพ่อเทพบุตร นี่กามเทพก็มาเดินตามป่าเขาด้วยรึ ฉันนึกถึงแม่เพื่อนของฉัน กลับไปฉันคงมีเรื่องเล่าให้คุณเธอฟังเป็นกระบุง
เขาแนะนำตัวง่าย ๆ ว่าชื่อทิม แต่ฉันก็คงเรียกว่า “เทพ” อย่างเดิมนั่นแหละ
1
สองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนฉันแปลกใจว่าฉันเป็นคนคุยเก่งตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเพื่อน ๆ ชอบบอกว่าเวลาไปเดินป่าเดินเขา ฉันจะเก็บปากใส่เป้ เงียบกริ๊บรูดซิบตลอด จะได้ยินก็แค่เสียงบ่นพึมพำในบางครั้งและเสียงกดชัตเตอร์ คราวนี้ฉันพลาดที่มัวคุยจนไม่ได้เก็บภาพข้างทางมากนัก แต่คู่สนทนาดูจะไม่มีปัญหา เพราะคนตัวสูงยังสามารถหันขวับจับภาพได้ตามต้องการ แถมโชว์เทคนิคยืดคอใช้หัวยันหลังคารถ ล๊อคตัวไม่ให้เหวี่ยงไปมาบนเส้นทางที่ขรุขระ
..
การเดินเท้าเริ่มต้นขึ้น ฉันกระชับเจ้าเป้ 48 ลิตรคู่ใจให้เข้ารับพอดีกับสะโพก เสียงหัวเราะหึหึพอได้ยิน ก่อนจะมีเสียงลอยลมมาว่า “เป้เท่ากับตัวคน” ใช่ซี้ … ฉันมันขี้ก้างไม่อวบอึ๋ม
การรวมตัวของ 2 กรุ๊ปเกิดขึ้นเมื่อไหร่ฉันไม่ได้สังเกตุ แต่ภาพในปัจจุบันคือ กรุ๊ปนี้มีไกด์ 2 คน พอร์ตเตอร์ 2 คน และนักท่องเที่ยว 2 คนไปซะแล้ว
..
การเดินวันแรกผ่านไปด้วยดี ทั้งอากาศ สภาพพื้นที่ และวิวทิวทัศน์ทำให้ความเหนื่อยล้าน้อยลงเกือบครึ่ง ความตื่นตาตื่นใจทำให้ใจเต้นระริกเกือบตลอดเวลา
..
วันนี้เราจะไต่ระดับสูงขึ้นไปอีก ไกด์ตาหวานบอกว่าทางเดินจะเป็นทางขึ้นและขึ้นและขึ้น แต่นิดหน่อยเท่านั้น “ถ้ายังไงคุณเอาเป้ของคุณมาฝากผม หรือแบ่งของใส่กระเป๋าที่พอร์ตเตอร์ก็ได้” .. คนอย่างฉัน หยามไม่ได้นะ รีบฝากทันที จริง ๆ แล้ว เป้ฉันใบใหญ่แต่ไม่หนักมาก คงไม่เกิน 4 กิโลเท่านั้น
..
เราทั้ง 6 คนยังรวมเป็นกรุ๊ปเดียวกัน การเดินแบบนี้เรามักต่างคนต่างเดิน ตามความเร็วของตนเอง พอร์ตเตอร์ล่วงหน้าไปก่อนทั้งที่แบกของแสนหนัก ไกด์จะเดินตามหลังเราในระยะพอประมาณ บางช่วงเราทั้งหมดก็เดินไปพร้อม ๆ กัน มักเป็นช่วงที่ต้องการคุยหรือสอบถามข้อมูลบางอย่าง แต่โดยปกติฉันชอบเดินเงียบ ๆ อยู่กับตัวเอง ส่วนครั้งนี้รู้สึกจะไม่ปกตินัก
..
ถึงเวลาอาหารกลางวัน ฉันสั่งอาหารมาตราฐานนักท่องเที่ยวตามด้วยน้ำขิงร้อน ๆ ส่วนพ่อเทพสั่งอาหารประจำถิ่นกับน้ำขิงผสมมะนาว อาจเป็นเพราะเราเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น บทสนทนาในวันนี้จึงเป็นเรื่องที่มากกว่าลมฟ้าอากาศ
เขาบอกว่าเห็นฉันตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องบิน ฉันไม่ถูกใจกับรอยยิ้มเดาความหมายยากนั้นเลย ใจแอบพองโตเล็กน้อยว่าฉันสะดุดตาผู้คนเหมือนกัน แต่ก็แทบตกเก้าอี้เมื่อเขาขยายความ “ผมสะดุดตาจี้ห้อยคอคุณมาก”
เขาอาจจะเห็นสีหน้าความหวังพังครืนของฉัน เลยเล่าต่อว่า เมื่อปีก่อนเขาซื้อหินลาพิสลาซูลีดิบมาหนึ่งก้อน จากพ่อค้าหน้าแปลกหน้าที่พูดก็แปลกคนหนึ่ง “ถ้าไม่ซื้อจะเสียใจ แต่ถ้าซื้อวันหนึ่งจะนึกขอบคุณ”
เฮ้อ .. ฉันต้องตีปริศนาแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ซินะ
..
..
ความที่เขาเป็นนักถ่ายภาพมืออาชีพ ทั้งกล้องและอุปกรณ์ดูอลังการในความรู้สึกของฉัน เขาคงเห็นฉันแอบมองมันหลายครั้ง จนกระทั่งขณะที่ฉันกำลังนั่งยอง ๆ ปรับโฟกัสเจ้ากล้องคู่ใจอยู่ เค้าก็เอากล้องเทพมาสวมคอฉันฉึ่บ พร้อมบอกให้ลองใช้ดู ฉันรู้สึกแขนขาอ่อนแรงชั่วขณะ นี่ฉันนั่งยอง ๆ นานเกินไป หรือว่ากล้องมันหนัก หรือว่าเพราะมืออุ่น ๆ ที่จับสายกล้องยังค้างอ้อยอิ่งอยู่บนไหล่
2
ฉันอิดออดไม่กล้าทดลองใช้กล้อง รู้สึกอายที่ไม่ประสาเทคนิคถ่ายภาพใด ๆ เลย ฉันอายที่ถ่ายรูปไม่เก่งใช่มั๊ย
เราคุยกันเรื่องถ่ายรูปอย่างออกรส ถึงฉันจะถ่ายรูปไม่เก่งแต่รับรอง ฉันถ่ายได้เยอะไม่เป็นรองใครทีเดียว อย่างน้อยถ้าเลือกเฉพาะรูปดี ๆ ก็คงจะมีเหลืออยู่บ้าง
เมื่อก่อนฉันชอบถ่ายรูปวิวแบบที่ไม่ติดคนในรูปเลย ฉันเคยยืนรอนานมากเพื่อที่จะได้รูปมุมมหาชนโดยไม่มีผู้คน คุณเพื่อนกลับบอกว่า รูปที่ฉันถ่ายมันแห้งแล้งไม่มีชีวิตชีวา ดีนะที่เราเป็นเพื่อนกัน
ฉันถามถึงแนวการถ่ายรูปของเขา ซึ่งเขาบอกว่าเขาถ่ายทุกแนว “everything but nude” ฉันมองหน้าเขาเดาไม่ออกว่าจะมาไม้ไหน เขาพูดกลั้วหัวเราะต่อไปว่า “ผมยังไม่มีโอกาส” เฮ้อ .. นี่มุกของคนวัยเกือบครึ่งร้อยนะ
ตัวเขาเองชอบการถ่ายรูปทิวทัศน์เหมือนกัน จะมีคนหรือไม่มีคนนั้นแล้วแต่จังหวะ ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่ครั้งนี้การที่มีคนในรูปแม้ว่าจะมองไม่เห็นใบหน้าชัดเจน หรือเห็นเพียงเสี้ยวด้านหลัง ก็ยังนำมาซึ่งเรื่องราวที่น่าประทับใจ ฉันนึกออกแล้วว่าฉันไม่มีอาการของโรคแพ้ความสูง หรือ AMS (Acute Mountain Sickness) คงเพราะฉันแพ้ความหวานไปก่อนแล้วนั่นเอง
..
..
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วราวติดปีก ลืมไปเลยว่าฉันอยู่มาได้หลายวันโดยไม่มีอินเตอร์เน็ต และไม่ได้นึกถึงมันด้วยซ้ำ ฉันถามตัวเองซ้ำ ๆ ฉันยังเหมือนเดิม ยังเป็นคนเดิมก่อนที่จะเดินทางมาหรือเปล่า
วันนี้เป็นวันที่เส้นทางของเราจะแยกจากกัน พ่อเทพจะเดินขึ้นไปอีกทางตามโปรแกรมของเขา ส่วนฉันจะเดินลงกลับไปตามทางเก่า ซึ่งก็เป็นไปตามโปรแกรมเดิมเหมือนกัน ฉันอดคิดเล่น ๆ ไม่ได้ว่า ความรู้สึกเมื่อตอนที่เดินขึ้นมา กับตอนที่เดินลงมันจะต่างกันมั๊ยนะ
..
..
ทุกเส้นทางที่ฉันเคยเดิน แม้เป็นเส้นทางเดียวกัน จากประสบการณ์พบว่าจะเห็นทิวทัศน์ที่ไม่เหมือนกัน อาจเป็นเพราะมุมมอง เวลา แสง และที่สำคัญคืออารมณ์ ฉันจะเป็นอารมณ์ไหนกัน อีตาไกด์มีพูดแซวนิดหน่อยตอนที่ถามฉันว่า เหงาหรือเปล่า แต่ฉันก็ตอบเสียงสูงในใจว่า “ม๊ายยย”
อากาศที่หนาวเย็นลงรายชั่วโมง ทำให้ฉันใช้พลังไปมากและเหนื่อยง่ายขึ้น เพราะร่างกายต้องพยายามสร้างความอบอุ่นนั่นเอง ถ้าอุ่นกายแต่หนาวใจล่ะ ... ฉันนึกชงเองตบเองในใจซะอย่างนั้น
..
..
ในที่สุด ฉันก็กลับมาถึงจุดหมาย จุดเริ่มต้นที่เริ่มเดิน แต่เป็นจุดสิ้นสุดของทริปในครั้งนี้ เราสามคน .. ไกด์ พอร์ตเตอร์ และฉัน เราประสานมือกันร้องไชโยตามธรรมเนียม โอบกันหลวม ๆ ขณะกล่าวขอบคุณ ก่อนที่จะโบกมือและแยกย้ายกันไปตามเส้นทางของแต่ละคน
..
บทเพลงหนึ่งแว่บเข้ามาในหัว ฉันแปลงเนื้อเพลงนั้นเสียในฉับพลัน!
🎶 💕💕💕
 
วอนให้ลม ช่วยพัดหัวใจฉันลอยไป
สู่ดินแดน ถิ่นเหนือที่ไกลแสนไกล
สุดขอบฟ้า ที่ไกลแสนไกล ล่องลอยไป
วอนให้ลม ช่วยพัดหัวใจ ฉันไปให้ถึง
💕💕💕 🎶..
..
ฉันเผลอกุมจี้ลาพิส ลาซูลีที่คอไว้ในอุ้งมือ .... เราจะได้เจอกันอีกมั๊ยนะ 🥰
 
..
.
2
♡ ♡ ♡ ♡ ♡ ♡ ♡
แรงบันดาลใจที่ทำให้ลงบทความวันนี้คือ ความคิดถึงเขา และคิดถึงบทความในซีรีส์ “หิน” ที่เคยโพสต์ไปก่อนหน้านี้ด้วยค่ะ แปะลิงค์ให้ด้านล่างหากใครอยากตามไปอ่านนะคะ (ขายของเก่งป่าวคะ ฮาา)
ขอบคุณคอมเม้นต์ของเพื่อนเซเล็ปท่านนึงที่พูดถึงการผูกเรื่องความมหัศจรรย์ของหินด้วยนะคะ 😉😉
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำแนะนำจากคุณผู้อ่านทุกท่าน บทความนี้เป็นบทความแรกที่เขียนขึ้นในลักษณะนี้และปรากฏต่อสายตาบุคคลที่สองค่ะ
🙂🙂🙂🙂🙂
สุขสันต์กับวันหยุดสุดสับดาห์ค่ะ
🌹🌹🌹🌹🌹
คนไทยตัวเล็กเล็ก
14 พฤศจิกายน 2653

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา