18 พ.ย. 2020 เวลา 07:16 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เฉลยผลกระทบไทย เมื่อ Biden ไม่ได้มากับ Blue Wave
2
บทความโดย KKP Research
หลังการเลือกตั้งทั่วไปสหรัฐฯ สิ้นสุดลง Joe Biden จากพรรค Democrat คาดว่าจะได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ
2
ในขณะที่ Donald Trump ยังคงประท้วงไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งและจะนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการศาล
1
เพื่อตัดสินว่ามีความผิดปกติของบัตรเลือกตั้งที่ถูกส่งผ่านไปรษณีย์หรือไม่
แต่ถึงแม้ว่าจะมีการตรวจสอบและนับคะแนนใหม่ในแต่ละรัฐก็ตาม
แต่ความเป็นไปได้ที่จะพลิกผลการเลือกตั้งให้ Donald Trump กลับมาชนะมีน้อย
ในด้านของรัฐสภา (Congress) ถึงแม้ผลการเลือกตั้งจะยังไม่เสร็จสิ้น แต่มีโอกาสสูงมากที่จะเกิดกรณี ‘Split Congress’
2
กล่าวคือ Democrat คุมเสียงข้างมากในสภาล่าง ขณะที่ Republican ครองเสียงข้างมากในสภาสูงหรือวุฒิสภา (Senate)
แทนที่จะเป็น Blue Wave (Democrat ครองทั้งสองสภา)
เนื่องจากคะแนนล่าสุด พรรค Republican นำอยู่ 50-48 ตำแหน่ง
1
แต่ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาอีกสองที่นั่งในรัฐ Georgia ไม่มีผู้สมัครคนใดได้คะแนนถึง 50%
ตามกฎหมายรัฐจึงต้องมีการเลือกตั้งรอบสอง (Run-off elections) อีกครั้งในวันที่ 5 มกราคม 2021
ซึ่งหากพรรค Republican ชนะเพียงหนึ่งที่นั่งก็จะครองเสียงข้างมากในสภาสูง (แต่หากพรรค Democrat ชนะ Run-off elections ทั้งสองที่นั่งก็จะทำให้ Democrat กลับมาได้เปรียบในสภาสูง จากการให้อำนาจรองประธานาธิบดีเป็น Tie-breaker)
4
ซึ่งกรณี Split Congress เช่นนี้จะเป็นอุปสรรคต่อ
การผลักดันนโยบายที่จำเป็นต้องผ่านสภาออกมาเป็นกฎหมาย ทั้งนโยบายระยะสั้นและระยะยาว
โดยทิศทางของนโยบายจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินทั้งในสหรัฐอเมริกา และในต่างประเทศรวมทั้งไทย
1
KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ประเมินทิศทางของนโยบายสหรัฐฯ ในประเด็นต่าง ๆ ภายใต้การน าของ Joe Biden และSplit congress ดังนี้
อุปสรรคต่อการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Fiscal stimulus) เพิ่มมากขึ้น
ขนาดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะออกมาได้น้อยกว่าที่เคยพูดคุยกัน และอาจล่าช้าจากความยืดเยื้อในการเจรจาระหว่างฝั่งรัฐบาลและสภา Congress
ถึงแม้ว่าทั้งพรรค Democrat และ Republican จะเห็นพ้องตรงกันว่าควรมีมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
1
แต่ยังมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องขนาดของการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเป้าหมายการใช้เงิน
ซึ่งจะทำให้บรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ยากจนเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐฯ โดยมาตรการที่เห็นด้วยร่วมกันคือ
เรื่องการส่งเช็คให้กับชาวอเมริกันเป็นเงิน 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อสัปดาห์ต่อคน
รวมถึงงบประมาณสำหรับการรับมือ COVID-19 แต่ประเด็นที่ขัดแย้งกัน คือ สิทธิประโยชน์การว่างงาน (Unemployment benefit) และการให้เงิน
อุปสรรคต่อการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Fiscal stimulus) เพิ่มมากขึ้น
ขนาดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะออกมาได้น้อยกว่าที่เคยพูดคุยกัน และอาจล่าช้าจากความยืดเยื้อในการเจรจาระหว่างฝั่งรัฐบาลและสภา Congress
ถึงแม้ว่าทั้งพรรค Democrat และ Republican จะเห็นพ้องตรงกันว่าควรมีมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
แต่ยังมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องขนาดของการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเป้าหมายการใช้เงิน
ซึ่งจะทำให้บรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ยาก จนเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐฯ
โดยมาตรการที่เห็นด้วยร่วมกัน คือ เรื่องการส่งเช็คให้กับชาวอเมริกันเป็นเงิน 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อสัปดาห์ต่อคน
รวมถึงงบประมาณสำหรับการรับมือ COVID-19 แต่ประเด็นที่ขัดแย้งกัน คือ สิทธิประโยชน์การว่างงาน (Unemployment benefit) และการให้เงินสนับสนุนมลรัฐหรือรัฐบาลท้องถิ่นซึ่งวง เงินที่ Republican เสนอนั้นน้อยกว่าของ Democrat อยู่มาก
(ตารางที่ 1)
1
KKP Research มองว่าด้วยผลการเลือกตั้งเช่นนี้และการไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของ Donald Trump
จะทำให้ไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาในช่วงเปลี่ยนถ่ายรัฐบาล (Presidential transition)
และทำให้การเริ่มดำเนินงานของรัฐบาลใหม่ล่าช้าออกไป
จึงคาดว่ามาตรการกระตุ้นรอบใหม่จะออกใช้ได้หลังจากประธานาธิบดีคนใหม่เริ่มเข้าดำงตำแหน่งในวันที่20 มกราคม 2021 ไปแล้ว
เน้นการควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อ แต่ไม่กลับไปล็อกดาวน์ทั่วประเทศ
สิ่งที่ Joe Biden จะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกหลังจากเข้ารับตำแหน่งหรือที่เรียกว่านโยบายในช่วง 100 วันแรกของประธานาธิบดีคนใหม่คือ
การควบคุมการแพร ่ระบาดของ COVID-19 เนื่องจากสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ Donald Trumpประสบความล้มเหลวในการบริหารจัดการกับสถานการณ์ COVID-19
กระทั่งจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องเป็นระลอกที่สอง
นโยบายที่คาดว่าจะเห็นหลัก ๆ ได้แก่ การกลับมาสนับสนุนองค์การอนามัยโลกหรือ WHO มากขึ้น
การรณรงค์การสวมหน้ากากอนามัย การสนับสนุนโรงพยาบาลและบุคลากรด้านสาธารณสุข และการจัดซื้อจัดเก็บวัคซีน
อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับสนับสนุนจากรัฐสภาและมลรัฐต่างๆ สิ่งที่จะทำได้ยากคือ
การออกกฎหมายบังคับการใส่หน้ากากอนามัย และการกลับไปปิดเมืองทั่วประเทศ (Nationwide lockdown)
เหมือนในช่วงแรกของการระบาด
เพราะหลายมลรัฐให้ความสำคัญกับการเปิดเศรษฐกิจให้กลับมาเป็นปกติ
การกลับเข้าร่วม Paris Climate Agreement
Biden และพรรค Democrat ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
1
และมีจุดยืนที่จะพาสหรัฐฯ กลับเข้าร่วม Paris Climate Agreement ทันทีที่เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายการกำจัดการปล่อยคาร์บอนสู่สิ่งแวดล้อม หรือ “Net zero emission” ภายในปี 2050
ซึ่งการกลับเข้าร่วม Paris Agreement นี้เป็นสิ่งที่ Biden สามารถทำได้โดยไม่ต้องพึ่งการรับรองของสภา Congress
โดยนโยบายที่คาดว่า Biden จะสามารถผลักดันได้เพื่อพาสหรัฐฯ ให้ไปถึงเป้าหมายนั้นคือ
(1) การเพิ่มมาตรการดูแลสิ่งแวดล้อมในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
(2) การลดภาษีทางการค้าและผลักดันการลงทุนสีเขียว (Green investments) และ(3) การออกกฎข้อบังคับให้ธุรกิจรายงานผลกระทบและความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม
1
นโยบายทั้งหมดนี้จะสนับสนุนการลงทุนในเรื่องสิ่งแวดล้อมและเร่งการเติบโตของตลาด EV (Electric vehicles) มากยิ่งขึ้น
และจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างการส่งออกของหลายๆ ประเทศ รวมถึงไทยอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การยกเลิกการให้เช่าสัมปทานขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะทำได้ยาก
เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรค Republican ซึ่งจะเป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปยังพลังงานหมุนเวียน (Renewable energy)
การขึ้นอัตราภาษีและนโยบายอื่น ๆ จะทำได้ยาก
แม้ Biden จะเสนอนโยบายที่มีการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น พร้อมกับขึ้นภาษีนิติบุคคลเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับภาครัฐ
แต่สภาที่เป็น Split Congress อาจเป็นอุปสรรคต่อการผลักดันการใช้จ่ายของภาครัฐ การขึ้นภาษี
การผ่านร่างงบประมาณและนโยบายอื่นๆ ที่ต้องออกเป็นกฎหมาย
แม้การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนด้าน R&D น่าจะเป็นสองด้านที่ทั้งสองพรรคตกลงกันได้
แต่นโยบายด้านภาษี 3 รายการที่เป็นนโยบายหลักของ Biden คือ
(1) การขึ้นภาษีนิติบุคคล (Corporate incometax) จาก 21% เป็น 28%
(2) การขี้นภาษีรายได้ที่มาจาก global intangible assets จาก 10.5% เป็น 21% และ
1
(3) การเก็บภาษีขั้นต่ำ 15% บนรายได้ทางบัญชีจากบริษัทที่มีกำไรตามบัญชีมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
1
ทั้ง 3 รายการนี้จะไม่สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้หากไม่ได้การรับรองจากสภา Congress
ซึ่งพรรค Republican น่าจะคัดค้านข้อเสนอเหล่านี้
1
การที่รัฐบาลใหม่จะเจอกับอุปสรรคในการขึ้นภาษีส่วนหนึ่งอาจจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ
1
เพราะลดความเสี่ยงที่รายได้ของบริษัทต่างๆ จะถูกกระทบจากมาตรการภาษีภายใต้การนำของ Biden
ตามที่ตลาดกังวลก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
นอกจากนี้ ภายใต้ Split congress กระบวนการกำหนดร่างงบประมาณระยะยาวจะมีความยืดเยื้อและอาจถึงขั้นหาข้อตกลงร่วมกันไม่ได้
อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ (Government shutdown) และปัญหาวิกฤตเพดานหนี้สาธารณะ (Debt ceiling) ได้ในช่วงข้างหน้า
เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของรัฐบาล Barack Obama สมัยแรก
(รูปที่ 1)
อีกทั้งนโยบายอื่น ๆ ที่เสนอโดยฝั่ง Democrat เช่น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 7.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 15 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อชั่วโมง
ซึ่งจะส่งผลกระทบทางลบต่อกลุ่มธุรกิจที่มีต้นทุนแรงงานสูง (Labor-intensive sectors)
มีแนวโน้มที่จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรค Republican ทำให้เป็นไปได้ยากที่จะออกมามีผลบังคับใช้ ซึ่งการที่ไม่สามารถขึ้นภาษีได้บวกกับการใช้จ่ายภาครัฐที่จะไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก
จะทำให้การขาดดุลทางการคลังของสหรัฐฯ ไม่เพิ่มสูงขึ้นมากจนเกินไปนัก
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจต้องกระตุ้นมากขึ้น
หากมาตรการด้านการคลังไม่สามารถออกมาได้มากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหรือใช้เวลานานกว่าที่จะเจรจาแล้วเสร็จ
จะส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเปราะบางเพิ่มขึ้นและยาวนานยิ่งขึ้น
ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ จำเป็นต้องดำเนินนโยบายผ่อนคลายต่อไปโดยการกดให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำนานขึ้น
1
และอาจเพิ่มปริมาณการทำมาตรการ QE มากขึ้นเพื่อทดแทนบทบาทของภาคการคลัง
อย่างไรก็ตาม งบดุลของ Fed ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (รูปที่ 2)
และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงดอกเบี้ยทั้งระยะสั้นและระยะยาวของ
สหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับติดขอบล่างอยู่แล้ว (รูปที่ 3)
จะทำให้พื้นที่ที่ Fed สามารถกระตุ้นเพิ่มขึ้นมีค่อนข้างจำกัด และอาจเพิ่ม
ความเสี่ยงทางด้านเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้นอีกด้วย
แต่ถ้าหากมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถฟื้นตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง Fed จะยังคงดำเนินนโยบายผ่อนคลายต่อไปสักระยะแต่จะไม่เพิ่มปริมาณการทำมาตรการ QE
แรงกดดันต่อจีนจากสหรัฐฯ และความต้องการแยกห่วงโซ่อุปทานโลก ยังคงมีอยู่
การก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีของ Biden แทนที่ Trump
1
น่าจะช่วยลดความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่
เป็นปัจจัยสำคัญกดดันภาวะการค้าโลกตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้ในระดับหนึ่ง
และจะช่วยให้สถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และประเทศอื่นๆ กลับมาดีขึ้น
เมื่อเทียบกับที่ Trump ทำสงครามการค้าโดยใช้ภาษีนำเข้า
อย่างไรก็ตามการผงาดขึ้นอย่างรวดเร็วของจีนทั้งในด้านการเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะยังคงเป็นภัยคุกคามในมุมมองของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ผู้นำจากพรรคใดก็ตาม
KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร เชื่อว่าแรงกดดันจากสหรัฐฯ ต่อจีนจะยังคงมีต่อไป ในระยะสั้น
Biden เองอาจยังไม่ปรับภาษีนำเข้าเพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อรอง
แต่ในระยะต่อไป นโยบายที่จะใช้กดดันจีนจะเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นการหาพันธมิตรแนวร่วมเพื่อจำกัดอำนาจของจีน
เช่น การพาสหรัฐฯ กลับเข้าร่วมข้อตกลงการค้าเสรี Trans-Pacific Partnership (TPP)
รวมทั้งนโยบายด้านการต่างประเทศ เช่น Indo-Pacific Strategy
แม้ความไม่แน่นอนด้านการค้าอาจจะมีน้อยลง แต่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะยังคงมีอยู่ต่อไป
1
รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในทะเลจีนใต้ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อไทยได้
นอกจากนี้ จะยังคงเห็นแนวโน้มของการแยกออกจากกันระหว่างเศรษฐกิจสหรัฐฯ กับจีนต่อไป (US-China economicdecoupling)
ทั้งในเรื่องของการลงทุนและห่วงโซ่อุปทานโลก (Global supply chain) ที่มีแนวโน้มจะออกจากจีนกลับไปยังสหรัฐฯ
1
หรือกระจายไปยังภูมิภาคอื่นๆ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน
ซึ่งอาจกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในประเทศไทยด้วย
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
ความไม่แน่นอนที่ลดลงในด้านสงครามการค้าเป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออกไทยในระยะสั้น
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะฟื้นตัวดีขึ้นและมีแนวโน้มจะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น
ประกอบกับความไม่แน่นอนในเรื่องสงครามการค้ากับจีนที่ลดลง
จะส่งผลให้การส่งออกไทยขยายตัวดีขึ้น (รูปที่ 4) จากการต้องการนำเข้าสินค้าที่มากขึ้นของสหรัฐฯ
แต่ไทยอาจไม่ได้ประโยชน์มากนักจากการย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติออกจากประเทศจีน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ
(1) บริษัทสหรัฐฯ และจีนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง และมีมูลค่าเพิ่มสูง
(High value-added manufacturing)
มีแนวโน้มที่ จะย้ายกลับประเทศตนเอง (Reshoring)
เพื่อเป็นการปกป้องเทคโนโลยีของตัวเองเอาไว้
(2) ไทยขาดความสามารถในการแข่งขันที่จะดึงดูดการลงทุนเมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคโดยเฉพาะเวียดนาม
1
ทั้งที่เป็นอุตสาหกรรม High-technology และอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง (Labor intensive)
(ดู KKP Research, “เศรษฐกิจไทย กลับไม่ได้ไปไม่ถึง หากไม่พึ่งเทคโนโลยี”)
2
ซึ่งจะทำให้เงินลงทุนต่างชาติและกระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology transfer) มายังไทยเป็นไปได้อย่างจำกัด
ในระยะยาว ภาคการผลิตและการส่งออกไทยจะแข่งขันได้ยากขึ้นอีกหากไทยไม่เข้าร่วม TPP
ถึงแม้ว่าการลงนามการเข้าร่วมสนธิสัญญาทางการค้าจะต้องได้รับการรับรองจากทางสภา Congress ที่มีแนวโน้มครองโดยสองพรรค
แต่ผู้แทนจากพรรค Republican จำนวนไม่น้อยพร้อมสนับสนุนการค้าเสรีและการเข้าร่วม TPP
เพราะฉะนั้น หากสหรัฐฯ กลับเข้าร่วมจะทำให้ต้นทุนของการไม่เข้าร่วม TPP ของไทยนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
เพราะสหรัฐฯ เป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สำคัญต่อตลาดส่งออก
ของไทย
คู่แข่งที่สำคัญอย่างเวียดนามซึ่งเป็นสมาชิก CPTPP อยู่แล้ว จะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากความได้เปรียบในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นเนื่องจากเรื่องค่าแรงที่ถูกกว่าอยู่แล้ว
นอกจากจะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าออกจากไทยแล้ว อาจจะกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนหรือย้ายฐานการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ
โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่อยู่ใน CPTPP เช่นกัน
จนอาจมีความเสี่ยงทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากไทย
เนื่องด้วยกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rule of origin) ที่ให้อัตราภาษีพิเศษเฉพาะกับสินค้าที่ผลิตและใช้วัสดุจากกลุ่มประเทศสมาชิก TPP เท่านั้น
2
ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าในระยะถัดไป
หากนโยบายการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ของ Biden ประสบ
ความสำเร็จ
และวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสามารถใช้ได้อย่างแพร่หลาย จะเป็นแรงสนับสนุนให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวได้เร็วและแข็งแกร่งขึ้น
ซึ่งจะทำให้ภาวะตลาดกลับมาเป็น risk-on และมีความต้องการเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
รวมทั้งสินทรัพย์ในประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) หรือในอีกหนึ่งกรณี คือ
หากจำนวนผู้ติดเชื้อยังอยู่ในระดับสูง วัคซีนยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และมาตรการกระตุ้นของสหรัฐฯ หลักออกมาได้น้อย
โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องกระตุ้นมากขึ้นจะมีความเป็นไปได้สูงขึ้น
ซึ่งจะสนับสนุนทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลงถึงแม้ว่าตลาดจะกลับไปเป็น
risk-off ก็ตาม
ทั้งสองกรณีนี้สนับสนุนให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในระยะข้างหน้า และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ฯ ซึ่งจะกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคการส่งออกไทย
หากความขัดแย้งในทะเลจีนใต้เพิ่มสูงขึ้นจะเป็นความเสี่ยงที่อันตรายต่อการค้าไทย ถึงแม้ว่าความไม่แน่นอนทางด้านการค้าจะลดลงภายใต้การนำของ Biden เมื่อเทียบกับ Trump
แต่แนวโน้มที่จะเกิดการทำกลุ่มการค้า (Trade bloc) กับกลุ่มประเทศในทะเลจีนใต้เพื่อกีดกันจีน และการสนับสนุนไต้หวันโดยการขายอาวุธให้ไต้หวันต่อไป
อาจเพิ่มโอกาสที่จะเกิดความตึงเครียดในภมิภาคและในทะเลจีนใต้ขึ้นได้
ซึ่งถึงแม้ว่าไทยจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากข้อพิพาททางพรมแดน แต่สัดส่วนการค้าไทยที่ผ่านทะเลจีนใต้อยู่ในระดับสูง
โดยทาง Center for Strategic and International Studies (CSIS) ได้ประมาณไว้ว่า 74% ของการค้าไทยทั้งหมดผ่านทะเลจีนใต้
ถึงแม้จะมีโอกาสไม่มากแต่หากความตึงเครียดประทุขึ้นจริงก็จะเป็นความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อการค้าไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
#Biden #ประธานาธิบดีสหรัฐ #เศรษฐกิจไทย #บริบทแบบไทย #Economy #KKPReseach #KiatnakinPhatra@Blockdit #ตลาดหุ้นไทย #อุตสาหกรรม #Ecommerce #เปิดเสรี #ทำลายอำนาจผู้ขาด #โควิด #เกียรตินาคินภัทร #ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก #สถานการณ์COVID19 #KKPAdviceCenter #วิเคราะห์ #facebook #google #อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด #ผลเลือกตั้ง #โจไบเดน #SplitCongress #BlueWave #Democrat #สองสภา #Republican #Senate #อุปสรรค # รัฐบาล #BarackObama #วิเคราะห์ #ห่วงโซอุปทานโลก #ผู้นำ #USA #Congress #Senate #IndoPacific #Strategy #ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย #ThaiEcomomic #พันธมิตรแนวร่วมเพื่อกำจัดอำนาจของจีน #TPP #ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในทะเลจีนใต้ #สงครามการค้า #DinaldTrump #LaborIntensive sectors #ค่าแรงขั้นต่ำ #ดอกเบี้ย #QE #FED #ธนาคารกลางสหรัฐ
โฆษณา