18 พ.ย. 2020 เวลา 11:00 • กีฬา
#ChangsuekOutField แคมป์สุดท้ายของปี 2020 ผ่านไปแล้ว ซึ่งความสำคัญคือเป็นการเรียกเก็บตัวครั้งสุดท้ายก่อนที่ทีมชาติไทยจะเจอกับการแข่งขันที่เป็น “ของจริง” ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก กับทีมชาติอินโดนีเซีย ช่วงเดือมีนาคม 2021 โดยเราได้โอกาสพูดคุยเกี่ยวกับทิศทางของการส่งต่อแคมป์ล่าสุด สู่ปี 2021 กับผู้ช่วยของกุนซืออากิระ นิชิโนะอย่าง “โค้ชจุ่น” อนุรักษ์ ศรีเกิด
ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก รอบสอง ในปีหน้าทีมชาติไทยยังเหลือโปรแกรมอีก 3 นัด คือการเปิดบ้านรับมือ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย โดยมีงานหนักสุดคือบุกไปเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีก 1 นัด รวมถึงหากเข้ารอบสามได้เร็จ จะมีโปรแกรมลากยาวถึงปี 2022 อีก 10 นัดเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีโปรแกรม AFF Suzuki Cup ที่รออยู่ในเดือนเมษายนอีกด้วย ทำให้การเรียกผู้เล่นเข้ามาในแคมป์นี้ เราจะได้เห็นถึงแนวทางเบื้องต้นที่จะเกิดขึ้นในแคมป์ปี 2021 แม้ว่านักเตะตัวหลักจากบางสโมสรจะยังไม่ถูกเรียกติดทีมใน 2 แคมป์ที่ผ่านมา
“เราดูผู้เล่นที่พร้อมที่สุดในลีก ทั้งเรื่องผลงานและนำมาเปรียบเทียบกัน รวมถึงการอยู่ร่วมกันว่าผู้เล่นที่เป็นโครงสร้างหลักของเรา กับนักเตะใหม่ที่เรามองว่าเป็นตัวตายตัวแทนได้ในอนาคต การอยู่ร่วมกันเป็นยังไง”
“ซึ่งตอนนี้โครงสร้างทีมมันขยายขึ้น แต่ว่าหัวใจที่เป็นแกนหลักของทีมจริงๆยังไม่ได้ทำงานร่วมกันเลย มันก็เป็นผลกระทบในเรื่องความสัมพันธ์ แต่สิ่งที่เราได้คือโครงสร้างของทีมที่เราจะมีผู้เล่นที่สามารถหยิบมาทดแทนกันได้ในอนาคต ตรงนี้เองสมัยที่ตัวผมยังเป็นผู้เล่นอยู่ ก็ต้องยอมรับว่าเวลามีผู้เล่นซุปเปอร์สตาร์เข้ามา การอยู่ร่วมกัน ความเกรงใจระหว่างซีเนียร์-จูเนียร์มันเกิดขึ้น มันก็เลยดูทำให้ไม่ไหลลื่น ซึ่งมันต้องใช้เวลาในการละลายพฤติกรรม ตัวอย่างคือธีระพล เยาะเย้ย ที่มาแคมป์นี้เป็นครั้งที่ 3 เขาก็ดูมีความเป็นซีเนียร์มากขึ้น ก็เชื่อว่านักเตะใหม่ๆที่เรียกมา พอเวลาผ่านไปแล้วเขาติดทีมเข้ามาบ่อยๆ พวกเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้น และมันจะส่งผลต่อการทำงานในสนามด้วย” โค้ชจุ่นเริ่มเกริ่นเกี่ยวกับการเรียกผู้เล่นเข้าสู่แคมป์ในช่วง 2 แคมป์สุดท้ายของปี
ซึ่งคู่แข่งของทีมชาติไทยในแคมป์สุดท้ายถือว่าน่าสนใจกว่าครั้งก่อน เพราะพวกเขาคือผู้เล่นที่มีความแตกต่างไปจากเดิมแม้ว่าจะเคยเจอกันมาในการแข่งขันฟุตบอลไทยลีกก็ตาม อย่างทีมไทยลีก ออลสตาร์ ที่รวมเอาแข้งต่างชาติในไทยลีกมาประชันฝีเท้ากับทัพช้างศึก
“เราได้เจอกับทีมที่มีทักษะคุณภาพที่สูงในเรื่องของเทคนิคการเล่น แต่ในเรื่องของแทคติกหรือรูปแบบการเล่นเขาไม่ได้เหนือไปกว่าเรา เราอาศัยความเป็นทีมเวิร์ค ที่สร้างขึ้นระหว่างผู้เล่นใหม่และผู้เล่นเก่าของเรา ซึ่งน้องๆเองก็เคยเจอกันมาแล้วในลีก เพียงแต่ว่าจะปรับยังไงกับเพื่อนร่วมทีมให้ความสัมพันธ์ในการเจอกับผู้เล่นต่างชาติที่มีคุณภาพสูงสามารถนำมาปรับใช้หรือแก้ไขสถานการณ์ให้เข้ากับแทคติกที่เราวางไว้”
ทีมชาติไทยชุดนี้มีผู้เล่นหน้าใหม่ติดเข้ามา 5 คน ประกอบด้วย ธนชัย หนูราช , ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม , สิทธิโชค ภาโส , เกียรติศักดิ์ เจียมอุดม และ ฉัตรมงคล เรืองฐนโรจน์
“ธนชัย หนูราช ที่เราเห็นในสนามกับสโมสรเขาก็ยอดเยี่ยมอยู่แล้วครับ ดูมีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ก็น่าพอใจระดับนึงครับ ส่วนณัฐวุฒิ สุขสุ่ม เคยเจอตอน U23 พอมาเจออีกครั้งในแคมป์นี้เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ตอนนี้เป็นผู้นำครอบครัวด้วย เราก็รู้สึกว่าน้องเขาเรียนรู้กับตัวเองมากขึ้น เข้าใจเพื่อนร่วมทีมมากขึ้นเพราะได้เล่นกับหลายคนในสโมสร ซึ่งมันก็มีประโยชน์กับตัวเองมากขึ้น ถ้าหากว่าเขาใช้คนรอบข้างให้เกิดประโยชน์”
“สิทธิโชค ภาโส ตอนเล่นกับตราดเขาออกแนวเป็นกองกลาง คอยป้อนบอลให้เพื่อน การจ่ายบอลดูพัฒนามากขึ้น แต่พอมาในแคมป์เขาต้องทำหน้าที่รับบอลและสร้างสรรค์ต่อ ซึ่งมันแตกต่างกัน แต่สิทธิโชคเป็นแนวบอลมันสมอง มีความแข็งแกร่ง ก็อยากให้เขาเพิ่มจังหวะให้กับตัวเองหน่อย ”
“แบ็คซ้ายใหม่ 2 คนอย่างเกียรติศักดิ์ เจียมอุดม กับ ฉัตรมงคล เรืองฐนโรจน์ ก็ถือว่าลงตัวนะ มีความแตกต่างกันในวิธีการเล่น แต่จุดหนึ่งที่ทำให้เห็นเลยคือเรื่องของเทคนิคส่วนตัวที่ทำได้ดี เหลือแค่จูนเพื่อเล่นกับพี่ๆ ว่าจะประสานงานกับใคร ต้องเล่นยังไงเพื่อให้เกิดประโยชน์ แต่ที่สำคัญคือเราเล่นหลังสี่คน ก็ต้องมาปรับเพื่อเน้นเกมรับด้วย”
อย่างที่ทราบกันว่า “โค้ชแบน” ธชตวัน ศรีปาน ได้แยกทางกับทีมชาติไทยไปจับงานสโมสร ทำให้ทีมผู้ช่วยของอากิระ นิชิโนะ เหลือ 2 คนคือ “โค้ชจุ่น” อนุรักษ์ ศรีเกิด และ “โค้ชหระ” อิสสระ ศรีทะโร
“มันก็โหลดขึ้นนะ เราต้องละเอียดกันมากขึ้นกว่าเดิม แต่เราทุกคนก็เต็มใจนะที่เราจะได้เจอการทำงานที่ต้องตื่นตัวมากขึ้นไปกว่าเดิม ทำงานหนักขึ้นไปกว่าเดิมภายใต้เวลาที่จำกัดในการเก็บตัวฝึกซ้อม”
ใน 2 แคมป์ที่ผ่านมาเป็นการอุ่นเครื่องของทีมชาติไทยกับ 2 ทีมที่อยู่ในประเทศเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ชาติอื่นที่จะเป็นด่านสำคัญของทัพช้างศึกอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้มีการอุ่นเครื่องกับทีมในละแวกเดียวกันอย่างทาจิกิสถานและบาห์เรน แน่นอนว่าตรงนี้ย่อมมีจุดที่ได้เปรียบเสียเปรียบกัน
“พวกเขารวมตัวกันได้เร็ว มีทักษะที่สูงกว่าเรา ตรงนี้เราต้องมาเรียนรู้ว่าเราจะรับมือกับพวกเขายังไง แม้ว่ายูเออีจะถือว่าเป็นเบอร์ 1 ในกลุ่มเราในแง่ของวิธีการเล่น แต่พี่คิดว่าระบบของเรามีผู้เล่นที่สามารถเล่นได้หลายรูปแบบ”
โฆษณา