18 พ.ย. 2020 เวลา 23:56 • หุ้น & เศรษฐกิจ
3 ส่วนประกอบของ ROE
ในการดูความสามารถการทำกำไรของกิจการ อัตราส่วนหนึ่งที่คุ้นเคยกันดี คือ อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity: ROE) โดย ROE บอกความสามารถในการทำกำไรเทียบกับส่วนของเจ้าของ (ทุน) ซึ่งทุนของกิจการก็คือ ส่วนของผู้ถือหุ้นนั่นเองนะ ค่า ROE นั้นยิ่งสูง ยิ่งดี แต่การดู ROE ต้องอย่าลืมดูหนี้สินประกอบกันไปด้วยนะ แล้วส่วนประกอบของ ROE นั้นมีอะไรบ้าง และทำไมต้องดูหนี้สินประกอบ มาอ่านได้จากโพสนี้กัน
ROE คิดมาจาก กำไรสุทธิ/ ส่วนผู้ถือหุ้น
แล้วนำมาทำให้เป็น % โดยการคูณ 100 จากอัตราส่วนง่ายๆ แบบนี้ ถ้าเราลองแยกย่อยดู จะเห็นส่วนประกอบที่มีผลกระทบต่อค่า ROE ได้ชัดเจนขึ้น
ROE = (กำไรสุทธิ/ ยอดขาย) x (ยอดขาย/ สินทรัพย์รวม) x (สินทรัพย์รวม/ ส่วนผู้ถือหุ้น)
ROE = อัตรากำไรสุทธิ x อัตราการหมุนเวียนสินทรัพย์ x อัตราส่วนสินทรัพย์รวมต่อส่วนของเจ้าของ
ดังนั้น ROE (return on equity) จะขึ้นกับ 3 ปัจจัยนี้
1. อัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin) อัตราส่วนนี้เป็นการดูว่า ยอดขาย 100 บ. ทำกำไรได้กี่บาท จึงบอกถึงประสิทธิภาพในการขาย การควบคุมค่าใช้จ่าย ความสามรถในการแข่งขัน ยิ่งอัตราส่วนนี้สูง ก็ส่งผลให้ ค่า ROE สูงขึ้นด้วย
2. อัตราการหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset turnover) แสดงถึงความสามารถในการใช้สินทรัพย์เพื่อสร้างรายได้ เป็นการบอกว่า ทรัพย์สิน 100 บ. สามารถนำไปสร้างยอดขายได้กี่บาท กิจการที่ยิ่งมีการหมุนเวียนของสินทรัพย์มาก ก็จะทำให้ อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น มากไปด้วย
3. อัตราส่วนสินทรัพย์รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity Multiplier) จะเห็นว่า ถ้าอัตราส่วนนี้สูง ก็จะทำให้ ROE สูง ซึ่งจากงบดุลที่ทราบกันดีว่า
สินทรัพย์รวม = หนี้สินรวม + ส่วนของผุ้ถือหุ้น
นั่นก็คือ มีการใช้พลัง leverage จากหนี้สินมาทำให้เกิดกำไรนั่นเอง แต่หนี้สินที่มาก ก็ทำให้กิจการมีความเสี่ยงมากถ้าเกิดมีวิกฤตเข้ามา ดังนั้นจุดนี้เป็นสิ่งที่ต้องระวัง
จากการที่เรารู้ส่วนประกอบของ ROE จะเห็นว่า ค่า ROE ยิ่งสูง ยิ่งดี แต่ให้ระวัง ROE สูงที่เกิดจากการที่มีหนี้สินมากไว้ด้วย เพราะกิจการจะมีความเสี่ยงทางด้านการเงินจากภาระหนี้สินได้ ดังนั้นเมื่อดู ROE ควรดูเรื่องหนี้สินประกอบด้วย
#หมอยุ่งอยากมีเวลา
#งบการเงิน
#ROE
#อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น
#ส่วนประกอบROE
โฆษณา