19 พ.ย. 2020 เวลา 04:13 • ไลฟ์สไตล์
ตื่นแล้วใช้ชีวิตอย่างไร?
ก็ทำงานเหมือนอย่างที่เคยทำ ในโลกที่ไม่เหมือนเดิม
คำเตือน:
โปรดอ่านด้วยใจเป็นกลาง ข้อความนี้เป็นประโยชน์สำหรับคนบางคนที่นี่เท่านั้น
หากไม่สามารถอ่านด้วยใจเป็นกลางได้ กรุณาหยุดอ่าน
ผู้ถาม:
ในเมื่อชีวิต​มันมีแต่ความฝัน แล้วเราจะทำอะไรไปเพื่ออะไรคะ?
.
Odinarility:
ก็แค่ตื่นขึ้นแล้วก็เล่นเกมไปตามสมมุติ
.
ผู้ถาม:
ในพระคัมภีร์​บอกว่า การงาน เราต้องทำให้สมบูรณ์​ประมาณว่า ให้ทำงานจนกระทั่งพระเจ้า เลือกรับคนคนนี้ ในวันที่พระเจ้าเสด็จกลับมาเลยค่ะ
.
Odinarility:
ถ้าต้องทำงานให้สมบูรณ์แบบจนพระเจ้าเลือกในวันพิพากษา นั่นก็คือกติกาตามสมมุติของเกม
ความจริงเวลาที่เราเล่นเกมไปตามสมมุติคือ เราจะทำตามกติกาหรือไม่ก็ได้ แต่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เช่น ถ้ากติกาบอกว่าพุทธที่ดีต้องถือศีล 5 แต่คนที่ไม่ได้สมาทานศีล แต่มีปกติประจำวันไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ฯลฯ ถือว่าทำตามกติกาของศาสนาหรือไม่? เช่นนั้นคริสเตียนที่ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ ฯลฯ ก็เป็นพุทธที่ดีเช่นกันหรือไม่? เช่นนั้น มุสลิมที่ดี ในกติกาอันดีที่ common intersect กัน ถือว่าเป็นพุทธหรือคริสเตียนที่ดีหรือไม่? หรือเราจะสามารถนับได้ไหมว่าชาวศาสนาเบคอนที่มีการปฏิบัติตัวอันดีในแนวทางที่ common intersect กันก็คือชาวพุทธชาวคริสเตียนและชาวมุสลิมที่ดีเช่นกัน?
จะเห็นว่ากติกาเป็นเพียงสมมุติ มันเป็นคนละเรื่องกับความจริง มันเป็นเพียงสิ่งที่นำมาใช้ซ้อนกับความจริง มันคนละ layer มนุษย์คือความจริง กติกาเป็นเพียงมายา แต่การเล่นเกมทำไปตามสมมุติก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันทำให้โลกไปต่อ มันค้ำจุนโลกไว้ แต่ถ้าทำไปโดยไม่รู้ว่ามันเป็นเพียงความฝันเราก็จะวนเวียนอยู่ในความฝันต่อไป ดังนั้นเราจึงต้องรู้ตัวตื่นขึ้นมาก่อน แล้วค่อยทำไปตามสมมุติ
.
ผู้ถาม:
เรียกว่าทำงานด้วยการว่างจากตัวกู
ประมาณนี้ไหมคะ?
.
Odinarility:
ทำงานมันว่างจากตัวกูไม่ได้เพราะทำงานเราต้องคิด การคิดต้องใช้สมมุติเพราะมันต้องใช้ทุกอย่างที่เราเรียนมา เราต้องเข้าถึงอดีตไปเอาความรู้ประสบการณ์ความทรงจำ เราต้องไปอนาคตเพื่อวางแผน เพื่อทำ risk mitigation เราต้องใช้สังขารเพื่อคิดวิเคราะห์และจัดการกับสภาพที่เป็นอยู่เพื่อ align กับ objective ให้ได้ตามกติกา เราต้องอยู่กับสัญญากับสังขารปรุงแต่งตลอดเวลาดังนั้นเราจึงตกอยู่ในห้วงเวลาเราไม่ได้อยู่ในปัจจุบันขณะจึงว่างจากตัวกูไม่ได้ เพราะตอนว่างจากตัวกูนั้นมันไม่มีสมมุติ
จริงๆแล้ว "ตัวกู" กับ "ความว่างจากตัวกู" มันอยู่ที่เดียวกันนะ เพียงแต่มันแค่เป็นคนละ layer เท่านั้น คือถ้าไม่มีความว่างจากตัวกูแล้วตัวกูมันจะเข้ามาอาศัยอยู่ได้ยังไง? มองตรงนี้เห็นมั้ย? ความว่างจากตัวกูนั้นไม่ต้องมีตัวกูก็ได้ แต่การจะมีตัวกูได้นั้นก็ต้องมีความว่างจากตัวกูมารองรับเอาไว้ก่อน พระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์ถึงได้เคยบอกเอาไว้ว่าจริงๆแล้วเรามันเป็นอรหันต์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ที่เรายังไม่รู้ก็เพราะว่าเรา focus กันผิด layer การบรรลุของเราถึงเรียกว่า enlightenment ไง เมื่อ enlighten ไปแล้วมันก็ awake เท่านั้น เราไม่ได้ต้องไปทำอะไรเพื่อไปเป็นอะไร มันก็แค่รู้ รู้แล้วก็แค่ตื่น ดังนั้นที่สอนในคลาสวิมุติครูถึงบอกไว้ว่ามันไม่ได้ผิดอะไรที่จะอยู่กับความคิดอยู่กับสัญญาหรือสังขาร เราไม่ต้องไปกำจัดมันไม่ต้องไปเพียรทำให้มันสงบ หยุด นิ่ง ว่าง ของพวกนี้มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นแค่สเตท ยิ่งเราทำเรายิ่งแทรกแซง เราพยายามจะไปฝืนธรรมชาติมันก็เลยรู้สึกขัดแย้ง
ทางออกคือการรู้ไปพร้อมกันที่ว่าตถตานั่นเอง รู้ในความเป็นเช่นนั้นของมัน รู้ความจริงไปตามสมมุติ พอรู้ความจริงแล้วสมมุติมันจะถูกแขวนลอยไว้ จะให้หรือไม่ให้ความสำคัญกับมันก็ได้ เหมือนตอนเรากินข้าวเราก็รู้ไปพร้อมกับการเห็นข้าวรู้ไปพร้อมกับการเคี้ยวข้าวเราก็รู้ไปพร้อมกับการได้กลิ่นข้าวกลิ่นของอาหารที่อยู่ในปากและรสและสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งของมัน รู้ไปทุกอายตนะ นั่นคือรู้ไปพร้อมๆกัน รู้ในความเป็นอย่างนั้นของมัน ตอนรู้สมมุติของการทำงานมันก็รู้อยู่แล้วว่าการงานต้อง perform ยังไง ท่าไหน method ไหน การทำนี้ต้องทำไปตามกติกาไหนเพื่อให้บรรลุ objective อะไร แต่ความจริงแล้วหาได้มีอะไรสำคัญมั่นหมายในกติกาไม่ ดังนั้นจะยึดหรือไม่ยึดกติกาก็ได้ แต่มันก็สำคัญกับเกมเกมนั้นเพราะมันสำคัญไปตามสมมุติของคนที่ตั้งสมมุติไว้ เพราะความสำคัญนี้ถ้าเราไม่ยึดตามกติกาและเราไม่สนผลลัพธ์ของมันเราก็อาจจะถูกประณามตามกติกาได้ (จริงๆแล้วกติกาไม่ได้บอกว่าต้องประณามแต่คนเรามักจะใส่เพิ่มเข้าไปเอง) แต่ถ้าเรายึดกติกาและทำได้ดีเราก็จะถูกเชิดชูชมเชยตามกติกาเช่นกัน (หรืออาจจะไม่ถูกเชิดชูชมเชยเลยก็ได้ เพราะเราอยู่ในโลกกันคนละใบแต่ดันใช้กติกาเดียวกัน) ก็คือโดยสมมุติเช่นกัน ดังนั้นถ้าเราจะถูกเราก็ถูกไปตามสมมุติ ถ้าเราจะผิดเราก็ผิดไปตามสมมุติ ซึ่งจริงๆแล้วมันมีแต่ outcome นะ ผลลัพธ์ของ outcome นี้คือสิ่งที่คน ชอบ/ไม่ชอบ แล้วก็กำหนดเอาว่าถ้าทำแล้ว outcome ออกมาแบบนี้แปลว่าถูก ทำแบบนี้แปลว่าผิด คนที่เห็นซึ้งไปแล้วก็จะมองว่ามันไร้แก่นสาร มันเพียงนำมาให้เราได้ซึ่งอัตภาพความเป็นอยู่ของชีวจักรกลนี้เท่านั้น แต่จะทำให้ outcome มันออกมาดีได้มั้ย? คำตอบก็ต้องบอกว่า "ได้" หรือจะถามใหม่ว่าจะทำให้มันออกมาไม่ดีได้มั้ย? คำตอบก็บอกว่า "ได้" อีกเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาอะไรหรือไม่เอาอะไร
ไม่ต้องกังวลว่าแค่ทำงานไปตามสมมุติและกติกาแล้วผลลัพธ์ของการงานจะออกมาไม่ดี นี่ยังไม่ได้รวมไปถึงความชอบ/ไม่ชอบของเราในการเล่นนะ ถ้าชอบก็ถือว่าเป็นโบนัสไป แต่ถ้าไม่ชอบก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้มันออกมาดีไม่ได้ เราสามารถทำให้ถึงตาม objective ได้ด้วย KPI แบบ professional (สมัยนี้โดนบังคับให้ทำให้ได้ตาม KPI ด้วยซ้ำ) แต่อย่างที่บอก คนที่ถึงแล้วเห็นซึ้งแล้วมันไม่มีชอบหรือไม่ชอบ มันก็ทำไปตาม KPI เท่านั้น agree กันที่กี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่าไป ส่วนคนที่ยังถึงไม่สุดก็จะมีการสลับเข้าสลับออกของความรู้สึกว่ามีหรือไม่มีใช่หรือไม่ใช่ชอบหรือไม่ชอบเอาหรือไม่เอาก็ต้องเป็นแบบนี้ไปอีกสักพัก แต่สักพักของบางคนนี้ก็อาจจะนานเป็นปีเหมือนกันสั้นยาวไม่เท่ากันอันนี้ก็แล้วแต่วาสนา
.
ผู้ถาม:
ยาวและชัดเจนค่ะครู
ขอบคุณ​มากค่ะ
หมายเหตุ
เมื่อเห็นซึ้งได้จริงๆแล้วตอนทำงานก็สามารถว่างจากตัวกูได้ เพียงแต่มือใหม่จะยังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตัวกูได้เพราะชินกับมันมาตลอดชีวิตแล้ว วิธีการก็วิธีการเดิมนั่นแหล่ะ เพียงแต่ degree ของมันเข้มกว่าเดิมเท่านั้น
โฆษณา