3 ก.พ. 2021 เวลา 22:00 • การศึกษา
ที่พึ่งในภพหน้า ...
เราเกิดมาภพชาติหนึ่งเพื่อสร้างบุญบารมี ไม่ใช่เพื่อเพลิดเพลินอยู่ในโลกนี้ ปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันหนึ่ง ๆ เป้าหมายสูงสุดในการเกิดเป็นมนุษย์ทุก ๆ คน จะต้องบรรลุมรรคผลนิพพาน มนุษย์ส่วนใหญ่มักใช้เวลาไปกับการทำมาหากิน หาทรัพย์มาหล่อเลี้ยงครอบครัว สนใจกับเรื่องนอกตัว เช่น คน สัตว์ สิ่งของ มากกว่าเวลาที่ให้กับสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น เราควรใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์ต่อการทำพระนิพพานให้แจ้ง ด้วยการใช้เวลาอันน้อยนิดนี้ให้เกิดคุณประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมซึ่งถือเป็นภารกิจหลักและเป็นแก่นแท้ของชีวิตทุกๆ คน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในชนสูตรว่า...
“ชีวิตถูกชรานำเข้าไปใกล้ความตาย ผู้ที่ถูกชรานำเข้าไปใกล้แล้ว ย่อมไม่มีที่ต้านทาน เมื่อบุคคลเล็งเห็นภัยในความตายนี้ ควรทำบุญทั้งหลายอันนำความสุขมาให้
ความสำรวมกาย วาจา ใจในโลกนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความสุขแก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้ว
ผู้ซึ่งสั่งสมบุญไว้ตั้งแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ฯ”
สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์หรือสิ่งของ เมื่อเกิดขึ้น ก็ตั้งอยู่ได้ชั่วขณะ ในที่สุดทุกอย่างต้องแตกสลายไปตามกาลเวลา มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับความแก่ ความเจ็บและความตาย เหมือนดอกเห็ดที่โผล่ขึ้นมาจากดิน ย่อมนำดินติดขึ้นมาด้วย ชีวิตเราถูกความชราและมรณะครอบงำตลอดเวลา โดยที่เราไม่ทันได้เฉลียวใจว่า นั่นคือศัตรูที่รุกรานอย่างเงียบ ๆ และยิ่งนานวัน ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน หรือเปลี่ยนอิริยาบถ ก็ไม่กระฉับกระเฉงเหมือนเดิม บางคนกว่าจะรู้ตัว อายุก็ล่วงไปถึงเลข ๕ หรือเลข ๖ ก็มี
ถ้ามนุษย์มีอายุมากขึ้น พร้อมกับมีบุญบารมีแก่รอบขึ้น นับว่าได้กำไรชีวิต แต่หากยิ่งแก่แล้วยิ่งแย่ บารมีก็ยังอ่อนอยู่ เพราะไม่ได้สั่งสมบุญกุศลไว้ ปล่อยชีวิตให้ผ่านไปกับสิ่งที่ไร้สาระไร้แก่นสาร ชีวิตเช่นนี้ชื่อว่าเป็นชีวิตที่ขาดทุน เป็นโมฆะบุรุษ เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว ขอให้ตั้งใจสั่งสมบุญกันให้เต็มที่ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาด ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต
สมัยเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ วิหารเชตวัน ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น มีพราหมณ์ชรา ๒ คน อายุ ๑๒๐ ปี ได้ชักชวนกันไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งสองได้กราบเรียนพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นพราหมณ์ชรามีอายุถึง ๑๒๐ ปีแล้ว แต่ยังไม่ได้สร้างความดี ไม่ได้ทำบุญกุศลอันเป็นที่พึ่งในโลกหน้าไว้เลย ขอพระองค์ผู้เจริญทรงให้โอวาทสั่งสอนพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่พวกข้าพระองค์ตลอดกาลนานด้วยเถิด”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ที่แท้พวกท่านเป็นคนแก่เฒ่าชราล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ มีอายุได้ ๑๒๐ ปีนับตั้งแต่เกิดมา แต่มิได้สร้างความดี ไม่ได้ทำกุศล ไม่ได้ทำกรรมอันเป็นที่พึ่งในโลกหน้าไว้ ดูก่อนพราหมณ์ โลกนี้ถูกชรา พยาธิ มรณะ นำเข้าไปอยู่ เมื่อถูกชรา พยาธิ มรณะนำเข้าไปอยู่เช่นนี้ ความสำรวมทางกาย วาจาและใจ ย่อมเป็นที่ต้านทาน เป็นที่เร้นภัย เป็นเกาะ เป็นที่พึ่ง เป็นที่ยึดเหนี่ยวของท่านผู้ละโลกนี้ไปแล้ว”
พราหมณ์ทั้งสองได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว เกิดความเลื่อมใสศรัทธา มีใจตั้งมั่นในพระรัตนตรัย จึงทูลขอบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา แต่เนื่องจากพราหมณ์ทั้งสองแก่ชรา ไม่เหมาะแก่การออกบวช และไม่สามารถบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติของนักบวชให้บริบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงให้พราหมณ์สมาทานตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะแก่วัยของพราหมณ์ พราหมณ์ทั้งสองต่างมิได้น้อยอกน้อยใจ ได้ตั้งมั่นสมาทานรักษามิให้ด่างพร้อยจนตลอดชีวิต เมื่อละโลกแล้ว ทั้งสองได้ไปบังเกิดในสวรรค์
ต่อมามีพราหมณ์อีก ๒ คนได้ชักชวนกันไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทพระพุทธองค์ พลางกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์แก่เฒ่า เป็นผู้ล่วงมัชฌิมวัยถึงปัจฉิมวัย จนอายุได้ ๑๒๐ ปีแล้ว เนื่องจากเป็นผู้ประมาท จึงมิได้ทำความดี ยังมิได้สร้างบุญกุศล มิได้ทำที่ป้องกันภัย ขอพระโคดมผู้เจริญทรงให้โอวาทแก่ข้าพระองค์ทั้งสอง ขอพระองค์ทรงพร่ำสอนในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ เพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพเจ้าสิ้นกาลนานด้วยเถิด”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “พราหมณ์ ท่านแก่เฒ่ายังไม่ได้ทำที่ป้องกันภัย โลกนี้อันชรา พยาธิ มรณะเผาไหม้แล้ว เมื่อโลกถูกชรา พยาธิ มรณะไหม้อยู่อย่างนี้ ความสำรวมทางกาย วาจาและใจ ย่อมเป็นที่ต้านทาน เป็นที่เร้นภัย เป็นเกาะ เป็นที่อาศัย เป็นที่ไปในเบื้องหน้าของบุคคลผู้สำรวม ผู้ละโลกนี้ไปแล้ว” จากนั้นพระพุทธองค์ตรัสพระคาถาเป็นโอวาทานุสาสนีแก่พราหมณ์ทั้งสองคนว่า...
“เมื่อเรือนถูกไฟไหม้ สิ่งของใดที่นำออกได้ สิ่งนั้นย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เขา สิ่งของที่ถูกไหม้อยู่ในเรือนนั้น หาเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เขาไม่ ฉันใด เมื่อโลกถูกชราและมรณะแผดเผาแล้ว ก็ฉันนั้น บุคคลควรนำออกมาด้วยการให้ทาน สิ่งที่ให้ไปแล้ว ย่อมเป็นอันบุคคลนำออกมาดีแล้ว ความสำรวมทางกาย วาจาและใจในโลกนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความสุขแก่ผู้ที่ละโลกนี้ไป ผู้ซึ่งได้สั่งสมบุญไว้ตั้งแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่”
พราหมณ์ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว เกิดความปีติเลื่อมใส ยึดมั่นในพระรัตนตรัย และได้สำรวมกาย วาจา ใจ ประพฤติปฏิบัติธรรมจนตลอดชีวิต ละโลกนี้แล้ว ทั้งสองได้ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์
จากเรื่องนี้ เราจะเห็นว่า ทุกชีวิตที่เกิดมาไม่ได้นำทรัพย์สมบัติใดๆ ติดตัวมา ครั้นแก่ตัวและละโลกนี้ไป ต่างต้องทิ้งทรัพย์สมบัติทั้งหมดไว้เบื้องหลัง ไม่มีสิ่งใดติดตัวไปได้ นอกจากบุญกุศลที่ได้ตั้งใจทำไว้ดีแล้วนี้เท่านั้น ดังนั้น เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ เราต้องหมั่นสั่งสมบุญ เพราะบุญเท่านั้นจะเป็นที่พึ่งของเรา เป็นเพื่อนแท้ที่ติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ เหมือนเงาติดตามตัวเราไปฉะนั้นขอให้เราอย่าได้ประมาทในชีวิต ให้รีบสั่งสมบุญบารมีให้มากๆ วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เผลอประเดี๋ยวเดียว ก็แก่ ก็ชรากันแล้ว เมื่อถึงวันนั้น หากเราได้มองย้อนกลับมาพิจารณาการกระทำที่ผ่านมา จะพบว่า เราได้ใช้วันเวลาอย่างมีคุณค่า ทำสิ่งที่เป็นที่พึ่งแก่ชีวิต ด้วยการบำเพ็ญทาน รักษาศีลและเจริญภาวนา เราจะไม่นึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านไป หากจะมีแต่ความปลื้มปีติเบิกบานใจตลอดเวลา
เมื่อต้องละโลกนี้ เราจะไปด้วยความองอาจ ไปอย่างมีความสุขและภาคภูมิใจเป็นที่สุด บุญในตัวที่กลั่นกลายเป็นดวงบุญสุกใสสว่าง จะช่วยกลั่นกาย วาจา ใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ ดึงดูดแต่สิ่งที่ดีงามเข้ามาหาตัวและเป็นที่พึ่งให้แก่เรา เมื่อบุญบารมีเต็มเปี่ยม จะได้หลุดพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร หลุดพ้นจากกรอบอวิชชา เป็นอิสระในตนเอง ได้ที่พึ่งอันเกษมและปลอดภัย คือเข้าถึงพระรัตนตรัย มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ตลอดเวลาโปรดอย่าเอาภารกิจประจำวันมาเป็นข้ออ้าง ข้อแม้หรือเงื่อนไข ที่จะทำให้เราเกียจคร้าน หรือละเลยในการปฏิบัติธรรม ให้หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดให้นิ่ง ให้สะอาดบริสุทธิ์ทั้งวันทั้งคืน รักษาใจให้สบายๆ ที่กลางกาย ทำอย่างนี้ทุกวัน ทำภารกิจหลักคือการทำใจหยุดนิ่ง ควบคู่ไปกับภารกิจประจำวัน คือทำงานทั้งภายนอกและภายในไปพร้อมๆ กัน ถ้าทำได้อย่างนี้ทุกวัน ทุกๆ เวลาและสถานที่ วันเวลาที่ผ่านไปย่อมเป็นช่วงที่มีความหมายสำหรับชีวิตของเรา เพราะใจเรานั้นตั้งมั่น มีพระรัตนตรัยภายในเป็นที่พึ่ง ให้หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งตลอดเวลา ในที่สุดเราจะสมปรารถนา เข้าถึงพระรัตนตรัยกันทุกๆ คน
จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับมงคลชีวิต ๓ หน้า ๔๓๓ - ๔๔๑
อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
ปฐมชนสูตร เล่ม ๓๔ หน้า ๒๑๔
โฆษณา