22 พ.ย. 2020 เวลา 12:00 • ธุรกิจ
ของสิ่งนี้ ผลิตที่ไหน EP.2: กำเนิด iPhone
วันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 2007 ที่งาน Macworld expo เมืองซานฟรานซิสโก
ในช่วงก่อนที่จะขึ้นเวทีเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท
สตีฟ จ๊อบส์ รวบรวมทีมงานแล้วบอกให้ทุกคนจดจำช่วงเวลาในตอนนั้น…
ช่วงเวลาก่อนที่ จะเริ่มงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท Apple
เพราะว่าอีกไม่กี่นาทีต่อไป ทุกๆ สิ่งจะ “เปลี่ยนแปลง” ไปตลอดกาล
และผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ ชิ้นนั้น ถูกเรียกว่า “iPhone”
ผ่านมามากกว่า 13 ปี iPhone ก็ได้กลายเป็น ผลิตภัณฑ์ที่ “เปลี่ยนแปลง” โลก โดยมีการขาย iPhone ไปทั่วโลกมากกว่า 2.2 พันล้านเครื่อง
และคงปฏิเสธไม่ได้ว่า iPhone เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัท Apple ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าเกิน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นบริษัทแรกในโลก
1
Apple share price Cr. ZD.Net
สำหรับบทความในซีรีส์ “ของสิ่งนี้ ผลิตที่ไหน” ใน EP.2 นี้
แอดมินจะพาย้อนอดีตไปที่จุดกำเนิด “iPhone” กัน
หากพร้อมแล้ว เราไปติดตามกันเลย
=========================
นำเข้า "ความรู้" ส่งออก "ความคิด" ติดตาม
"นำเข้าส่งออก สุดขอบฟ้า"
=========================
ก่อนจะมี iPhone
เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายท่าน คงเกิดทันกันแน่นอนกับยุคที่โทรศัพท์มือถือ ยังมีปุ่มกด แน่นอนว่าถ้าในไทย มือถือรุ่นที่ดังที่สุดก็คงหนีไม่พ้นโทรศัพท์ยี่ห้อ Nokia “3310” ที่ดังมากๆ ในช่วงปลายปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543)
Nokia 3310 Cr. Whatphone
Nokia 3310 เป็นมือถือตัวแรก ที่มาพร้อมกับเสาอากาศที่ซ่อนในตัวเครื่อง (ก่อนหน้านั้น โทรศัพท์มือถือจะต้องมีเสาอากาศงอกออกมา เหมือนวิทสุสื่อสาร Walkie Talkie
โดยมาพร้อมกับฟีเจอร์การส่ง SMS และเกมงูที่ลำยุคมากๆ (ในสมัยนั้น)
ถัดมาก็เป็นยุคที่ Blackberry ครองเมือง (โดยเฉพาะในสหรัฐฯ) เหล่านักธุรกิจ องค์กรต่างนิยมใช้กันมากๆ
โดย Blackberry คือโทรศัพท์มือถือที่ย่อส่วน Keyboard แบบ “QWERTY” มาเป็นแป้นพิมพ์ในโทรศัพท์มือถือได้อย่างลงตัวมากๆ ในยุคนั้น และมีจุดเด่นเรื่องการแชต ส่งข้อความกันฟรีในกลุ่มคนที่ใช้งาน Blackberry หรือที่เรียกว่าบริการ BlackBerry Messenger (BBM)
2
BlackBerry cr. phoneArena.com
ตัดภาพมาที่บริษัท Apple ในช่วงปี ค.ศ. 1993 ช่วงที่ไร้ สตีฟ จ๊อบส์ นั้น ได้มีการพยายามออกผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่ง ที่ถือเป็นสิ่งที่จุดผลักดันให้เกิด iPhone ในเวลาต่อมา สิ่งนั้นก็คือ อุปกรณ์ผู้ช่วยดิจิตอลขนาดพกพา หรือ PDA ที่มีชื่อว่า “Newton”
Newton ประกอบด้วยหน้าจอสัมผัส ที่ออกแบบมาให้ผู้ใช้งาน สามารถส่งข้อความหากันผ่านระบบอินเตอร์เน็ต และยังเอาไว้บันทึกข้อมูล และจัดการตารางงานได้…แต่จุดอ่อนสำคัญที่สุดของ Newton ก็คือ “หน้าจอสัมผัส” นั่นเอง
โดยหน้าจอสัมผัสในเครื่อง Newton ใช้ระบบ “Resistive touch” ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องกดแรงๆ ถึงจะเลือกปุ่มต่างๆ บนหน้าจอได้ และความแม่นยำต่ำ ตัวอย่างห้คิดภาพเวลาเรากดหน้าจอตู้ ATM บางรุ่น
2
แต่แล้วในปี ค.ศ.1998 ก็มีบริษัทสตาร์ทอัพเล็กๆ ในเดลาแวร์ ที่ชื่อว่า FingerWorks ได้คิดค้นเทคโนโลยี “Capacitive Multi-touch” ซึ่งลบจุดอ่อนของระบบเดิมไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความแม่นยำ ความเร็ว และฉลาดมากพอที่จะตรวจสอบได้ว่า ผู้ใช้งานกดนิ้วมาที่หน้าจอกี่นิ้ว และพยายามจะทำอะไรอยู่
1
เวย์น เวสเตอร์มัน ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท FingerWorks คิดค้นเทคโนโลยีนี้ในช่วงที่เรียนปริญญาเอก โดยเวย์นเอง มีอาการอักเสบที่ข้อมือเรื้อรัง ทำให้พิมพ์คีย์บอร์ด นานๆ ไม่ได้
แต่แทนที่จะยอมแพ้ต่อโชคชะตา เวย์นกลับนำปัญหาของเขาเป็นแรงผลักดัน ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยคนที่มีปัญหาแบบเขา
เวย์น ยังได้ออกแบบ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เพื่อช่วยแยกแยะ ด้วยว่าผู้ใช้งานเผลอเอามือไปโดนหน้าจอ หรือว่าตั้งใจกดจริงๆ
1
Gesture Pad ผลิตภัณฑ์ของบริษัท FingerWorks
การกลับมาของ สตีฟ จ๊อบส์
ในช่วงปี ค.ศ.1996 บริษัท Apple ที่ธุรกิจกำลังย่ำแย่ จำเป็นต้องเชิญสตีฟ จ๊อบส์ กลับมาบริหารงาน และหลังจากได้อำนาจบริหารกลับมา สตีฟ จ๊อบส์ ก็ทำการสะสางบริษัทที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้นมาครั้งใหญ่
สตีฟ จ๊อบส์ มองเห็นปัญหาหลักของบริษัท Apple ก็คือ การขาด “Focus” ทำให้สตีฟ ตัดสินใจลดจำนวนสินค้าของบริษัทจากหลายร้อยรายการ ลงเหลือเพียงสินค้า 4 ตัวเท่านั้น ซึ่งสินค้าที่หยุดขายนั้นรวมไปถึง PDA อย่าง Apple Newton ที่ปิดตัวลงในปี ค.ศ.1998
Apple Newton เทียบ iPhone Cr. Apple
ในตอนนั้น ไอเดียเรื่องโทรศัพท์มือถือหน้าจอสัมผัสอย่าง iPhone ไม่อยู่ในหัวสตีฟ จ๊อบส์ เลย แถมสตีฟยังมองว่า โทรศัพท์มือถือ ในยุคนั้น ยังเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) และใช้งานยากมากๆ
ช่วงปี ค.ศ.2002 ทีมวิศวกรและนักออกแบบของ Apple ได้มีการนำเสนอไอเดียการใช้ระบบหน้าจอสัมผัส มาผสมผสานกับระบบปฏิบัติการของเครื่อง Mac ซึ่งทาง สตีฟ จ๊อบส์ เองก็ยังไม่ซื้อไอเดีย
แต่แล้วในปี ค.ศ.2004 สตีฟ ได้ตรวจพบมะเร็งในตับอ่อน หมอบอกเขาว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่เกิน 3-6 เดือน ในทุกๆวัน ที่สตีฟ ตื่นขึ้นมา เขามองกระจกแล้วถามตัวเองว่า “ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เขายังอยากทำสิ่งที่เขาวางแผนเอาไว้ว่าจะทำในวันนี้หรือไม่?”
หากคำตอบ ที่ได้คือ “ไม่” เป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน นั่นคือ สิ่งที่บอกว่า ต้องมีการเปลี่ยนแปลง
1
สตีฟ รู้ว่าตัวเองเหลือเวลาอีกไม่มาก และนั่นเป็นแรงผลักดันที่ทรงพลังให้กับตัวของสตีฟเอง และเป็นจุดเปลี่ยนของบริษัท Apple
1
Steve Jobs
กำเนิดโปรเจค iPhone
หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับ iPod เป็นอย่างดี ทีมวิศวกรก็ได้เสนอไอเดีย การใส่ Wifi ให้ iPod เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ และเชื่อมโยงต่อไปถึงใช้ใช้ Design ของ iPod ที่มีปุ่ม Click Wheel ในการใช้งานเป็นโทรศัพท์ (คิดภาพโทรศัพท์สมัยโบราณที่ต้องหมุนทีละเบอร์) ซึ่งเป็นไอเดียที่แย่มาก และสตีฟยังเอามาล้อเลียน ตอนงานเปิดตัว iPhone อีกด้วย
iPod + วงล้อหมุนเพื่อโทรซัพท์
ทีมงานนำเสนอไอเดียให้ สตีฟ เพิ่มเป็นระยะๆ แต่ก็ดูเหมือนไอเดียก็ยังกระจัดกระจาย หาจุดเชื่อมโยงไม่ได้
ช่วงต้นปี ค.ศ. 2005 สตีฟจึงบอกทีมงานว่าให้เวลาอีก 2 สัปดาห์ ให้คิดผลิตภัณฑ์ที่สุดยอดให้ได้ (ไม่งั้นก็ออกไปซะ)
ซึ่งทีมพัฒนา ต้นแบบของโทรศัพท์มือถือหน้าจอสัมผัส ก็ไม่ต้องหลับต้องนอน พยายามคิด วางระบบ จะโทรศัพท์โดยใช้หน้าจอสัมผัสยังไงดี การจัดการปฏิทิน การท่องเว็บไซต์ เชื่อมโยงสิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน
และแล้วก็ถึงกำหนด 2 สัปดาห์ โดยพอสตีฟ ได้เห็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ เขาก็เงียบไป...
สตีฟ บอกทีมงานให้แสดงให้ดูอีกครั้ง
และหลังจากนั้น โปรเจค iPhone ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น และเป็นโปรเจคลับขั้นสุดยอดของบริษัท
ในช่วงเวลาเดียวกัน ทาง Apple ก็ได้ซื้อกิจการของบริษัท FingerWorks โดยเปรียบเสมือนการยิงนัดเดียวได้ยกสองตัว คือ ได้ครอบครองเทคโนโลยี “Capacitive Multi-touch” และตัวผู้ก่อตั้งอย่าง เวย์น เข้ามาเป็นพนักงาน Apple
ถึงจะได้เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์มาแล้ว แต่การประกอบร่าง ไอเดียและสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย
พนักงานของ Apple ที่มีส่วนร่วมในโครงการ iPhone ถูกแบ่งกันทำงาน แยกทีมซอฟต์แวร์, ฮาร์ดแวร์, และงานออกแบบ โดยส่วนใหญ่ แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่า iPhone จะออกมาหน้าตาแบบไหน และทำอะไรได้บ้าง
1
ที่น่าสนใจคือ พวกเขาทำสำเร็จได้อย่างไรเพียงเวลาแค่ 2 ปี นับจากจุดที่ไอเดียได้ตกผลึกในปี ค.ศ. 2005 ไปจนถึง งานเปิดตัว iPhone ต้นปี ค.ศ. 2007
ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากแรงผลักดันแบบสุดกำลังของ CEO อย่างสตีฟ จ๊อบส์ ที่ไม่รู้ว่า เวลาชีวิตของตัวเอง จะหมดลงเมื่อไหร่...
เรื่องราวที่เหลือจะเป็นอย่างไร เราไปติดตามต่อกันในตอนหน้าละกันนะครับ ^^
และหากไม่อยากพลาดบทความ กดไลค์เพจ กันเอาไว้ได้เลย
หากบทความมีประโยชน์ กดไลค์ และแชร์ให้เพื่อนๆ ได้เลย
1
หรือเพื่อนๆ มีข้อสงสัยเรื่องไหน อยากให้แอดมินเล่าให้ฟัง ก็ส่ง inbox มาคุยกันเลยได้ที่ https://bit.ly/3j7BwBW
=========================
นำเข้า "ความรู้" ส่งออก "ความคิด" ติดตาม
"นำเข้าส่งออก สุดขอบฟ้า"
=========================
*** ด่วน!! สำหรับบริษัทที่ต้อง นำเข้า สินค้ามาผลิตหรือขาย หรือ ส่งออก สินค้าไปต่างประเทศ ช่วงนี้คงเจอปัญหา จองเรือไม่ได้ ไม่มีตู้ ค่าขนส่งแพงขึ้นเป็นเท่าตัว!!
เชิญชวน มาทดลองใช้งาน ZUPPORTS ช่วยจอง Booking เรือ เครื่องบิน รถ ผ่านช่องทางออนไลน์
ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษได้แล้ววันนี้ที่ https://zupports.co/register/
❤️ อ่านบทความย้อนหลังได้ที่
นำเข้าส่งออก สุดขอบฟ้า marketplace: ใครมีสินค้าดีๆ โพสขายกันได้เลย
#นำเข้าส่งออกสุดขอบฟ้า #นำเข้า #ส่งออก
#ZUPPORTS

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา