24 พ.ย. 2020 เวลา 04:05 • กีฬา
ทำไมนักเตะทุกคนในลีกอิตาลี ถึงต้องป้ายหน้าสีแดง ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา วิเคราะห์บอลจริงจังมาอธิบายให้ฟัง
2
นับจากปี 2018 เป็นธรรมเนียมที่ในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี จะมีหนึ่งแมตช์เดย์ ที่นักเตะในกัลโช่ เซเรีย อา ทุกคน จะนำลิปสติกสีแดงมาป้ายที่หน้าของตัวเอง ทำเป็น Red Mark ที่ชัดเจน ให้ผู้คนได้เห็น
ที่อิตาลี จะมีองค์กรการกุศลชื่อ Weworld Onlus (วีเวิลด์ ออนลัส) ถูกก่อตั้งที่เมืองมิลานในปี 1999 มีจุดประสงค์คือเพื่อสนับสนุนสิทธิสตรีและเด็ก
วีเวิลด์ ออนลัส เห็นปัญหาการใช้ความรุนแรงในครัวเรือน เพิ่มสูงอย่างมากทั่วโลก เช่นเดียวกับที่อิตาลี มีสถิติการลงไม้ลงมือของสามีต่อภรรยา หรือของพ่อกับลูก เยอะขึ้นจนน่าตกใจ นั่นทำให้ องค์กรวีเวิลด์ ออนลัส สร้างแคมเปญที่ชื่อ "แจกใบแดงให้ความรุนแรง" โดยจับมือกับเลก้า กัลโช่ ให้นักเตะทุกคนในเซเรีย อา ทำ Red Mark เป็นเวลาหนึ่งวีก
1
เจาะจงเป๊ะๆ คือแมตช์เดย์ที่ใกล้เคียงกับวันที่ 25 พฤศจิกายนมากที่สุด เพราะนี่เป็นวันกำจัดความรุนแรงต่อสตรีสากล ที่ทางสหประชาชาติกำหนดขึ้นมา
สาเหตุที่ต้องเป็นสีแดง เพราะเวลาผู้หญิงโดนซ้อม โดนตบ ก็จะมีเลือดตกยางออก บางคนเลือดกบปาก หน้ามีรอยช้ำ แคมเปญนี้จะสื่อว่า ไม่มีผู้หญิงหรือเด็กคนไหน ที่สมควรมีแผลที่ร่างกายหรือใบหน้าทั้งสิ้น
สีแดง ยังสื่อถึง "ใบแดง" ได้ด้วย ว่าเป็นการไล่ความรุนแรงในครัวเรือนออกไปจากสังคม
มาร์โก คิซาร่า ประธานองค์กรวีเวิลด์ ออนลัส อธิบายว่า "เราอยากให้ผู้หญิงที่โดนซ้อมจากคนรักได้เข้าใจว่า เธอไม่ได้เผชิญเรื่องนี้เพียงลำพัง ผมดีใจมากที่เราได้พันธมิตรอย่างกัลโช่ เซเรีย อา เพราะสารที่เราต้องการส่งไป จะเข้าสู่สายตาของผู้คนมากขึ้น และผู้หญิงเหล่านี้จะได้เข้าใจว่า ชีวิตที่ดีกว่าเดิมมันสามารถเกิดขึ้นได้จริงๆ"
แคมเปญนี้ ทำมาตั้งแต่ปี 2018 , 2019 และล่าสุดคือ 2020 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งแฟนบอลคงได้เห็นนักเตะดังๆทั้ง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือ โรเมลู ลูกากู มี Red Mark ที่ใบหน้ากันทุกคน ก็ด้วยเหตุผลนี้นั่นเอง
สาเหตุที่วีเวิลด์จับมือกับเซเรีย อา ก็เพราะ 2 เหตุผล ข้อแรกผู้ชายดูฟุตบอลเยอะ เมื่อเห็นแมสเซจนี้ จะได้เข้าใจว่า การใช้ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องปกตินะ และข้อสองถ้าผู้หญิงเห็นแมสเซจนี้ จะได้รู้ว่า มีคนมากมายบนโลกที่รู้ว่าการโดนซ้อมไม่ใช่เรื่องถูกต้อง ดังนั้นอย่าไปกลัว แต่จงกล้าเอาตัวออกมาจากจุดเกิดเหตุให้ได้
ปัญหาที่เกิดขึ้นในอิตาลี เกี่ยวกับความรุนแรงในครัวเรือน คือคนโดนกระทำจะไม่พูด ผู้หญิงจะยอมรับไปโดยปริยายว่า มันเป็นเรื่องปกติ ผู้ชายลงไม้ลงมือนิดหน่อย มันก็เป็นปกติของความสัมพันธ์ ซึ่งกลายเป็นว่า ไปๆมาๆ จึงยอมรับเรื่องนี้ไปเอง ทั้งๆที่ความจริง ไม่มีใครมีสิทธิ์จะทำร้ายร่างกายของใครทั้งนั้น
1
ดังนั้น จึงมีการผลักดันแคมเปญนี้อย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 3 ซึ่งถ้าหากมีคนตระหนักรู้ และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างน้อย 1 คน แคมเปญนี้ก็ถือว่าเข้าเป้าแล้ว
ที่ยุโรป วงการกีฬาจะให้ความสำคัญกับกิจกรรมเพื่อสังคมมากๆ เพราะทุกคนรู้ดีว่า แมสเซจจากนักกีฬา ที่เป็นเซเลบริตี้ สามารถส่งตรงถึงผู้คนได้ดี ยิ่งกว่านายกรัฐมนตรีของประเทศด้วยซ้ำ
ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา วีเวิลด์ ออนลัส ก็มีแคมเปญชื่อ "พวกเราเท่าเทียม" โดยนักกีฬาผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จมากๆ จะเอารูปถ่ายวันแรกก่อนจะดัง เอามาแชร์ให้ผู้คนได้เห็น เพื่อทำให้เห็นว่า จากคนที่ไม่มีอะไร ถ้าหากมุ่งมั่น ก็สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน โดยไม่สำคัญว่าคุณจะเป็นเพศไหน
ความรุนแรงในบ้าน กับวงการกีฬา เหมือนจะเป็นคนละเรื่อง แต่จากสถิติมีการบ่งบอกว่า มันเชื่อมโยงกันอยู่นะ
ในประเทศไทย เราอาจจะไม่ได้รู้สึกขนาดนั้น แบบดูบอลแพ้ แล้วตบเมียดีกว่า เพราะการดูกีฬาของคนไทย ยังเน้นไปที่ความบันเทิงมากกว่า และพื้นฐานของคนไทย ถ้าไม่พอใจผลการแข่งขัน ก็ไปด่าคู่แข่ง ด่ากรรมการดีกว่า แต่จะไม่เอามันมาลงกับคนใกล้ตัว
แต่ในยุโรป หรืออเมริกา ต่างกันออกไป เพราะกีฬาแทรกซึมอยู่ในจิตวิญญาณ สโมสรฟุตบอลเป็นยิ่งกว่าทีมกีฬา ดังนั้นผลแพ้ชนะ จึงมีผลกระทบต่อความรู้สึกอย่างมาก
ในปี 2018 ที่อังกฤษ มีโปสเตอร์โฆษณาขององค์กรชื่อ Pathway Project สร้างความตื่นตะลึงได้พอตัว โดยโปสเตอร์ดังกล่าวเขียนว่า
"ไม่มีใครอยากให้ทีมชาติอังกฤษ คว้าชัยชนะในสนามมากยิ่งกว่าผู้หญิงอีกแล้ว เพราะสถิติระบุว่า ความรุนแรงในบ้าน จะมีตัวเลขเพิ่มขึ้น 38% ในวันที่อังกฤษแพ้"
ตัวเลขนี้ ไม่ได้กล่าวขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย แต่มหาวิทยาลัยแลนคาสเตอร์ ทำงานวิจัย โดยอ้างอิงจากการข้อมูลการแจ้งความที่อังกฤษ ระบุว่าในฟุตบอลโลก 2002, 2006 และ 2010 วันไหนก็ตามที่อังกฤษแพ้คู่แข่ง ในวันต่อมา จะมีผู้หญิงไปแจ้งความ ว่าโดนสามีหรือแฟน ทำร้ายร่างกายเพิ่มขึ้นเสมอ
ไม่ใช่แค่ที่อังกฤษ แต่ที่มหาวิทยาลัยคัลการี่ ในแคนาดา ก็วิจัยว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ทีมฟุตบอลท้องถิ่นแพ้การแข่ง จะมีสายฮอตไลน์ โทรมาแจ้งเรื่องโดนทำร้ายร่างกายในบ้านเพิ่มขึ้น 15%
ส่วนที่สหรัฐอเมริกา มีการสำรวจอัตราการแจ้งความเรื่องการใช้ความรุนแรง พบว่า ถ้าหากทีม NFL ในท้องถิ่นแพ้คู่แข่ง วันรุ่งขึ้นจะมีคนโทรมาแจ้งเพิ่มขึ้นกว่าปกติ 10%
ที่ยุโรป และอเมริกา มีผู้ชายจำนวนมาก ที่ยึดโยงเรื่องกีฬา ซีเรียสกับผลการแข่งขัน แล้วเอามันมาระบายกับคนใกล้ตัว
ซึ่งจุดนี้แหละ ที่วีเวิลด์ ออนลัส กับ กัลโช่ เซเรีย อา อยากจะช่วยแก้ไข คือทำให้ผู้คนได้เห็นว่า เฮ้ย คุณดูฟุตบอลด้วยแพชชั่นได้ แต่ความเดือดดาลก็ให้มันจบที่ในสนาม หรือหน้าจอทีวีก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องไปลงไม้ลงมือกับใครเลย
ขนาดนักกีฬา ที่ร่างกายแข็งแกร่ง แม้เกมจะแพ้ เขาก็ยังไม่ได้ไปตบตีเมียเลย แล้วในฐานะกองเชียร์ จะเอาความหงุดหงิดนั้น ไปลงกับคนใกล้ตัวทำไมล่ะ
แน่นอน เราปฏิเสธไม่ได้ว่า โครงสร้างร่างกายของมนุษย์เพศชาย ถูกสร้างมาให้แข็งแรงกว่าเพศหญิง แต่นั่นไม่ได้แปลว่า คุณจะใช้สิ่งที่ธรรมชาติสร้างมา แล้วเอามา "กด" อีกฝ่ายไว้ ให้ยอมทำตามด้วยพละกำลังที่เหนือกว่า
1
ถ้าหากพละกำลังจะมีประโยชน์ในความสัมพันธ์ ก็เพื่อช่วยปกป้องคนรักจากอันตราย ไม่ใช่เอามาทำอันตรายให้อีกฝ่ายหนึ่งให้เจ็บตัวหรอกนะ
ถ้าเรารักใครสักคนจากใจ เราจะไม่อยากให้เขาเจ็บปวด ไม่ว่าจะทั้งจิตใจ และร่างกาย
สำหรับแคมเปญ "รอยแดงบนแก้มนักบอล" ส่วนหนึ่งอาจช่วยให้ฝ่ายชายตระหนักว่าความรุนแรงมันไม่ดี แต่อีกส่วนหนึ่ง คือต้องการกระตุ้นให้ฝ่ายหญิงลุกขึ้นมาสู้ คือไม่ใช่ตบกลับ แต่กล้าลุกขึ้นเปลี่ยนแปลง อย่ายอมรับว่ามันเป็นเรื่องปกติ
ราเชล โกลด์สมิธ รองประธานองค์กรการกุศล Safe Horizon กล่าวว่า ตัวเลขที่มีคนกล้าแจ้งความ น้อยกว่าตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงมาก เพราะผู้หญิงหลายคนโดนตบแต่ไม่กล้าแสดงออก บางคนอาจทำเพราะรักอีกฝ่าย บางคนอาจจะกลัว หรือบางคนคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ใครก็ทำกัน
1
บางคนคิดว่าฝ่ายชายเมามา ตบตีตัวเองนิดหน่อยในตอนค่ำ แต่พอตื่นเช้าก็กลับมาเป็นปกติ ตัวเองอย่าทำเป็นเรื่องใหญ่เลย ยอมรับสภาพไป อยู่เพื่อลูกไปเถอะ มีผู้หญิงที่คิดลักษณะนี้อยู่เช่นกัน
"จากประสบการณ์ของดิฉัน ผู้หญิงที่ถูกทำร้าย จะไม่กล้าแสดงตัวใน 1 เดือนแรก พวกเธอจะจำยอมไปก่อน ซึ่งคุณไม่มีทางรู้หรอก ในช่วง 1 เดือนนั้น คุณอาจโดนฆ่าตายไปแล้วก็ได้ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องจำยอม เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ปกติในสังคม"
ดังนั้นปัญหา Domestic Violence หรือความรุนแรงในครัวเรือน จะลดได้จริงๆ ต้องลดจากสองทาง ฝ่ายชายเองก็ต้องหยุดกระทำ และฝ่ายหญิงก็ต้องอย่ายอม ถ้าโดนหนึ่งครั้ง ต้องเทกแอ็กชั่นทันที ไม่ใช่เป็นกระสอบทราย ให้โดนต่อยอยู่อย่างเดียว
ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะคู่ควรกับการทำร้ายร่างกายทั้งสิ้น ฝ่ายหญิงอย่าหาเหตุผล หาข้อดี เพื่อลบล้างความผิดนั้นถ้าตัวเองโดนซ้อม
อย่าบอกว่าจะทนเพื่อลูก - ไม่มีลูกคนไหนทนได้ถ้าเห็นแม่เป็นกระสอบทรายหรอก
อย่าบอกว่าทนเพราะไม่รู้จะไปไหน - คนเรามีทางออกเสมอ ถ้าโดนซ้อมแล้วตายคามือจะทำไง กล้าเอาตัวออกไป ยังมีอนาคตอะไรสักอย่างรออยู่
อย่าบอกว่าทนเพราะไม่รู้จะหาใครได้อีกแล้ว - คนดีที่ไม่ซ้อมผู้หญิงมีเยอะแยะ รอแค่คุณเปิดใจเท่านั้นแหละ ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในโลกเสียหน่อย
คำว่า "รัก" ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องทนอะไรก็ได้ และที่สำคัญคนรักกัน ไม่ทำร้ายกันหรอกนะ
สำหรับผู้เขียนตอนนี้มีลูกสาว 1 ขวบกว่าๆ ผมตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะให้อิสระในความคิดกับเธออย่างเต็มที่ โตขึ้นอยากทำอะไร อยากเรียนด้านไหน ผมโอเค ได้หมดเลย ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบได้เลย
1
ส่วนเรื่องความรัก ผมยังไงก็ได้ เขาอยากชอบเพศไหน อยากมีแฟนเป็นคนชาติอะไร อยากมีแฟนสนับสนุนการเมืองฝั่งใด ผมยืนยันว่าจะให้เธอเลือกเส้นทางความรักของตัวเอง
เราในฐานะพ่อ ก็คงมีความต้องการในใจแหละ แต่ถ้าเราเสนอแนะไปแล้ว เขาไม่เห็นด้วย ผมก็ยินดีจะยอมรับนะครับ
แต่สิ่งเดียว ที่ผมจะไม่ยอมเป็นอันขาด คือถ้าคบแฟน แล้วโดนคนนั้นซ้อม ตบ ตี ต่อให้แค่ครั้งเดียวก็ต้องจบความสัมพันธ์ทันที
4
แม้เธอบอกว่าเธอเลือกจะรักเขาเอง ก็ไม่ได้ ผมจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวเธอออกมาจากจุดนั้นให้ได้
1
ถ้าเขาไม่รักตัวเอง อย่างน้อยก็อยากให้คิดถึงพ่อแม่ ที่ดูแล ประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก ยุงสักตัวเรายังไม่อยากให้กัด แค่เขาเดินไปชนขอบโต๊ะเจ็บหัวร้องไห้ เราก็เสียใจแล้ว แล้วนี่มาโดนใครก็ไม่รู้ ตบตีทำร้ายร่างกาย แน่นอนว่าผมไม่ยอมให้ความสัมพันธ์แบบนี้เกิดขึ้นกับลูกเราแน่นอน
สำหรับหลักการเรื่องความรักที่ผมยึดถือเสมอ และตั้งใจจะบอกลูกสาวเมื่อเขาโตขึ้น คือ "คนรักกันจะไม่ทำร้ายกัน"
ถ้าเรารักใครสักคนจากหัวใจจริงๆ สิ่งที่เราอยากเห็นจากเขาคือรอยยิ้มแห่งความสุข ไม่ใช่รอยเลือดและคราบน้ำตา
และสิ่งที่ผมต้องการที่สุดจากลูก ไม่ต้องมาตอบแทนบุญคุณ ไม่ต้องมาเลี้ยงดูตอนแก่เฒ่า พ่อไม่ต้องการอะไรแบบนั้น
สิ่งที่เดียวที่พ่อต้องการจากลูก คืออยากให้ลูกเคารพและศรัทธาในตัวเอง
3
จำไว้ว่าไม่มีใครแม้แต่คนเดียวบนโลก ที่มีสิทธิ์จะมาลดทอนคุณค่าของเราได้
4
#DomesticViolence
โฆษณา