26 พ.ย. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
ย้อนไปเมื่อช่วงต้นปี 2002 สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ได้ทำการเปิดให้แฟนบอลทั่วโลกได้โหวต “ประตูแห่งศตวรรษ” หรือประตูที่ยอดเยี่ยมที่สุด เท่าที่ประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกเคยมีมาผ่านทางเว็บไซต์ของฟีฟ่า ก่อนที่ศึกเวิลด์คัพที่ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพร่วมจะเริ่มขึ้น
ประตูที่ได้รับคะแนนโหวตมาเป็นอันดับหนึ่งคือ ลูกโซโล่เดี่ยวจากครึ่งสนามของ ดีเอโก้ มาราโดน่า อดีตตำนานทีมชาติอาร์เจนตินา ที่กระชากหนีนักเตะอังกฤษถึง 5 คน ก่อนหลุดไปซัดประตูที่สองอย่างเหนือชั้น ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 1986 ที่เอาชนะทีมสิงโตคำรามไป 2-1
ประตูดังกล่าวได้รับคะแนนโหวตสูงถึง 18,062 คะแนน เอาชนะลูกยิงของ ไมเคิ่ล โอเว่น ที่กระชากไปซัดใส่ อาร์เจนตินา ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 1998 ซึ่งมาเป็นอันดับสองอย่างขาดลอย
ประตูของโอเว่นได้คะแนนโหวตไป 10,631 คะแนน ส่วนอันดับสามคือลูกยิงของ เปเล่ ที่ซัดใส่สวีเดน ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1958 ที่ได้ไป 9,880 คะแนน
ปัจจัยที่ทำให้ลูกโซโล่เดี่ยวของ มาราโดน่า เป็นที่จดจำมากกว่าประตูอื่นๆ ที่เคยเกิดขึ้นบนโลก เป็นเพราะการเจอกันระหว่าง อาร์เจนตินา กับ อังกฤษ ในศึกฟุตบอลโลกที่ประเทศเม็กซิโก เป็นเกมที่เปี่ยมไปด้วยความหมาย และประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ตลอดกาล
1
สำหรับอาร์เจนตินาแล้ว นั่นคือโอกาสอย่างดีที่สุด ที่ทีมฟุตบอลของพวกเขาจะได้ล้างแค้นให้คนทั้งชาติ เพราะในปี 1982 อาร์เจนตินาพ่ายแพ้ให้กับสหราชอาณาจักร ในสงครามหมู่เกาะฟอล์กแลนด์
นอกจากนั้นแล้ว ทีมฟ้าขาวก็ไม่เคยลืมรอยแผลที่โดนเขี่ยตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 1966 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพด้วยพิษกรรมการ เกมนั้น อันโตนิโอ รัตติน ถูกผู้ตัดสินไล่ออกอย่างไม่มีเหตุผล ส่วนประตูชัยจาก เจฟฟ์ เฮิร์สท์ ก็ยังมาจากตำแหน่งล้ำหน้า
เกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 1986 อาร์เจนตินา เอาชนะ อังกฤษ ไปด้วย 2 ประตูที่โลกไม่มีวันลืมของสตาร์ตัวเอกประจำทีมอย่าง ดีเอโก้ มาราโดน่า
ประตูนำ 1-0 มาจาก “หัตถ์พระเจ้า” ที่ มาราโดน่า กระโดดเจตนาใช้มือชัดเจน ในการชกบอลให้ลอยข้าม ปีเตอร์ ชิลตัน เข้าไปตุงตาข่าย ทุกคนในสนามเห็นกันหมดยกเว้น อาลี บิน นาสเซอร์ ผู้ตัดสินจากตูนิเซีย
1
มาราโดน่า เปิดเผยในเวลาต่อมาว่า “ในตอนนั้น ผมรอให้เพื่อนๆ วิ่งเข้ามากอด แต่ไม่มีใครเข้ามา”
“ผมเลยบอกพวกเขาว่า “เฮ้ย! มาหากูซะ” เดี๋ยวผู้ตัดสินก็ไม่ให้ประตูหรอก”
1
ประตูแรกมาจากความเหลี่ยมจัด แต่ประตูที่ 2 ได้มาจากความเหนือชั้น แม้ส่วนหนึ่งมันอาจขึ้นได้เพราะผู้เล่นของอังกฤษหัวร้อน อยากจะรีบเข้าไปหวด มาราโดน่า ที่ทำประตูแรกแบบโกงๆ ก็ตาม
1
นักเตะอังกฤษ 5 คนที่โดน มาราโดน่า ลากหลบซะจนเสียเชิงประกอบด้วย เทอร์รี่ บุทเชอร์ (โดน 2 จังหวะ), ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์, ปีเตอร์ รีด, เทอร์รี่ เฟนวิค และนายประตูอย่าง ปีเตอร์ ชิลตัน
“เสียเตี้ย” ใช้เท้าสัมผัสบอลรวมกันเพียง 12 ครั้ง กับเวลาเพียงแค่ 11 วินาที ในการพาบอลจากแดนตัวเองผ่านกลางสนาม แล้วกระชากเข้าไปยิงอย่างสมบูรณ์แบบ
มาราโดน่าเอง ยังยอมรับในภายหลังเลยว่า ถ้าให้ทำแบบนั้นอีกครั้ง เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีปัญญาทำได้อีกหนหรือไม่
“ผมจะปล่อยให้ ฮอร์เก้ วัลดาโน่ ได้เล่นบอล แต่พอเขาส่งมาให้ผม พื้นที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยนักเตะอังกฤษเข้ามาล้อม และผมไม่เหลือที่ว่างอีกแล้ว ผมจึงต้องไปต่อด้วยตัวเอง และจบสกอร์เองให้ได้”
2
“ไม่ว่าตอนไหนก็ตาม ที่ผมได้ดูมันอีกครั้ง ผมไม่เชื่อเลยว่าผมจะทำได้ มันเหลือเชื่อมาก"
"ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะผมยิงเข้า แต่มันดูเหมือนว่าจะเป็นประตูที่ไม่มีทางเป็นไปได้ มันคือประตูที่คุณคงทำได้แต่ในความฝัน แต่ไม่มีทางทำได้จริงๆ”
แม้แต่นักเตะอังกฤษเองอย่าง แกรี่ ลินิเกอร์ ผู้ซัดตีไข่แตกในช่วงท้ายเกมให้ทัพ ทรี ไลอ้อนส์ ยังเคยให้สัมภาษณ์แบบยอมใจกับความ “โคตรสุด” ของประตูนี้
“ตอนที่ดีเอโก้ยิงประตูที่ 2 ใส่เรา ผมรู้สึกเหมือนจะต้องปรบมือให้เขา ซึ่งผมไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้นมาก่อน แต่มันคือความจริง”
1
“แล้วไม่ใช่แค่ว่ามันเกิดขึ้นในนัดสำคัญ มันคือประตูที่เป็นไปไม่ได้และสวยงาม เขาคือนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียว”
ส่วน เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน กุนซือทีมสิงโตคำรามชุดที่พ่ายแพ้ต่อ มาราโดน่า ในวันนั้น ก็ยกย่องว่า “คุณจะเห็นประตูแบบนี้มากมาย ในเกมฟุตบอลของเด็กที่สวนสาธารณะ แต่ มาราโดน่า สามารถทำได้ในฟุตบอลโลกรอบก่อนรองชนะเลิศ”
1
อันที่จริงในเกมอุ่นเครื่องปี 1980 ที่ อาร์เจนตินา บุกไปแพ้ อังกฤษ 3-1 ที่เวมบลีย์ มาราโดน่าเกือบที่จะประตูจาก “โซโล่โกล” ให้เห็นได้ก่อน
เพียงแต่ข้อแตกต่างก็คือความพยายามในครั้งนั้นเขายิงไม่เข้า เพราะในจังหวะสุดท้ายที่ดวลตัวต่อตัวกับผู้รักษาประตู เขาเลือกที่จะยิงวัดดวง แล้วบอลก็หลุดกรอบออกไป
นั่นทำให้ 6 ปีถัดมา มาราโดน่า รู้ดีว่า ถ้าหากเลี้ยงบอลเข้าไปดวลตัวต่อตัวกับผู้รักษาประตูอีกครั้ง เขาต้องเลี้ยงหลบเพื่อให้แน่ใจที่สุด ว่าจะไม่มีใครขวางเขาได้อีก
หลังจากนั้นมา นักเตะที่สามารถโชว์การกระชากโซโล่เดี่ยวจากกลางสนามผ่านฝั่งตรงข้ามหลายคนเข้าไปทำประตู ก็มีอีกหลายคน
ซึ่งหากบอกด้วยความสัตย์จริง หลายๆ คนยิงได้สวยกว่าที่ มาราโดน่า ยิงใส่อังกฤษเสียอีก
3
ลิโอเนล เมสซี่ ซึ่งกลายเป็นพระเจ้าคนใหม่ของอาร์เจนตินาแทนที่ของ มาราโดน่า ในตอนนี้ เคยทำได้มาแล้วถึง 2 ครั้ง ภายใต้เครื่องแบบของบาร์เซโลน่า นัดที่พบกับ เคตาเฟ่ เมื่อปี 2007 และ แอธเลติก บิลเบา ในปี 2015
ไรอัน กิ๊กส์ เคยลากแหวกนักเตะอาร์เซน่อล 4 คน ก่อนหลุดเข้าไปซัดแสกหน้า เดวิด ซีแมน ในรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ปี 1999 และถูกยกให้เป็นประตูที่ดีที่สุดตลอดกาลในประวัติศาสตร์ฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษ
หรือหากนับเฉพาะในเวทีระดับฟุตบอลโลก ซาอิด อัล โอไวรัน อดีตกองหน้าทีมชาติซาอุดิอาระเบีย ก็เคยเลี้ยงครึ่งสนามเข้าไปยิงใส่ เบลเยียม อย่างเหนือชั้นมาแล้ว ในปี 1994
เพียงแต่ว่า ผลงานที่ “เสือเตี้ย” ทำไว้ในศึกฟุตบอลโลก 1986 มันคือฟอร์มมาสเตอร์พีซที่โลกจะไม่มีทางลืมได้
เขาได้ตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ คว้ารองดาวซัลโวด้วยผลงาน 5 ประตู และพาทีมทะลุไปถึงตำแหน่งแชมป์โลกสมัยที่ 2 ซึ่งยังคงเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของอาร์เจนตินา มาจนถึงทุกวันนี้
ดีเอโก้ มาราโดน่า ถูกยกขึ้นหิ้งให้เป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกจริงๆ ก็เพราะเขามีแชมป์ฟุตบอลโลกมาประดับบารมี
ซึ่งลูกยิงอันเหนือชั้นในเกมกับอังกฤษ คือสะพานที่พาเขาไปสู่จุดนั้น
1
บางครั้งประตูที่มหัศจรรย์ หากมันถูกยิงด้วยนักเตะชื่อชั้นธรรมดาๆ “ความขลัง” ของมันก็คงจะไม่มากเท่าไร
แต่ถ้านักเตะระดับตำนานสักคน สามารถทำประตูที่เหลือเชื่อได้สักลูก แถมทำได้ในเกมที่ทุกคนต้องจับตามอง ประตูนั้นจะถูกผู้คนนำมาเปิดย้อนดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตราบใดที่ไฟล์วิดีโอมันยังไม่หายไปจากโลกนี้
และนั่นแหละ ที่เป็นเหตุผลว่าทำไม ดีเอโก้ มาราโดน่า ถึงได้ครอบครองประตูที่แฟนบอลส่วนใหญ่ในโลก ยกให้เป็นประตูที่ดีที่สุดตลอดกาล
R.I.P. ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานนักเตะที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก ที่เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันเมื่อคืนนี้ ด้วยวัย 60 ปี
#เสียบสามเหลี่ยม #RIPMaradona #DiegoMaradona #Maradona #Argentina #England #FIFAWorldCup #Legend
โฆษณา