5 ธ.ค. 2020 เวลา 05:26 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Big Series : EP. 1
เปิดกลยุทธ์จีน 5 ปี เตรียมสร้างพื้นฐานให้แข็งแกร่ง
พร้อมขึ้นสู่มหาอำนาจเศรษฐกิจโลกแทนสหรัฐใน 10 ปี
นาทีนี้คงไม่มีใครปฏิเสธได้อีกต่อไปแล้วว่า ประเทศจีนคือคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของสหรัฐฯ ในการแย่งชิงตำแหน่งมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเบอร์ 1 ของโลก หลังจากการวางรากฐานยุทธศาสตร์ประเทศเมื่อ 30 สิบปีก่อนที่พัฒนาในทุกๆ มิติอย่างรวดเร็วและจริงจัง ต่อให้ไม่ว่าประเทศใดจะชอบหรือไม่ชอบจีน แต่สุดท้ายก็เลือกไม่ได้ที่จะต้องทำมาค้าขาย คบค้าสมาคมกับจีน เพราะหากเลือกทะนงตัว ไม่เอาจีนขึ้นมาก็มีแต่เสียกับเสีย โดยเฉพาะตลาดการบริโภคขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ที่แม้แต่อเมริกาในตอนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำสหรัฐฯ เต็มตัวก็ยังไม่กล้าเล่นแรงทุบตลาดรอบเดียวให้ตาย เหมือนที่เคยทุบสหภาพโซเวียต หรือญี่ปุ่นมาก่อนหน้านี้ เพราะรู้ว่าถ้าทุบเองก็เจ็บเอง และไม่ใช้เจ็บเบาๆ ด้วย แต่เจ็บหนักจนกระอักเลือดเหมือนกัน
10
การที่จีนสามารถเติบโตมาได้จนถึงขนาดนี้ในเวลาอันรวดเร็วมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือวางแผนแบบ “ตะตอนยอน” เป็นปีๆ ไป แต่มันถูกวางรากฐานมาตั้งแต่ก่อนการเปิดประเทศช่วงต้นยุค 90 หลังจากนั้นก็ดำเนินการตามแผนมาอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยพลังแห่งการบริโภคภายในประเทศเป็นแรงผลักดันอย่างมหาศาล การชูตัวเองเป็นโรงงานของโลกที่มีแรงงานราคาถูกให้เลือกใช้งานไม่อั้น ก่อนจะก้าวสู่การพัฒนานวัตกรรมของตัวเองแม้จะถูกตราหน้าว่าก็อบปี้ ขี้เลียนแบบมานานนับทศวรรษ แต่วันจีนได้กระโดดขึ้นสู่ “ตัวท็อป” ในตลาดโลกอย่างไร้ข้อกังขา จนประเทศบางประเทศที่คอยแต่จิกๆ กัดๆ เหน็บๆ จีนมานั้นยังต้วมเตี้ยมจนถูกทิ้งไว้ข้างหลังไกลๆ ลิบๆ จากการทะนงตัวเองว่าเคยดีกว่ามาก่อน
12
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือ ถ้าใครจำกันได้เมื่อการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จีนได้ประกาศยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะโค่นล้มสหรัฐฯ ในอีก 10 ปีข้างหน้าเอาไว้แล้วก็คือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ 5 ปี ฉบับที่ 14 ดำเนินการตั้งแต่ช่วงปี 2021 – 2025 โดยมีคีย์เวิร์ดอย่าง 3 ตัวที่เป็นหัวใจสำคัญของแผนนี้คือ
11
Dual Circulations
China 5.0
Clean Energy
 
จุดเปลี่ยนของจีนที่ประกาศแผนกลยุทธ์นี้ก็คือ จีนรู้ว่าการกระโดดออกไปต่อสู้บนตลาดโลกตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาที่แม้ว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นและก้าวกระโดด แต่ก็ยังพบจุดบอดหลายจุดที่ทำให้โดนโจมตีกลับมาได้ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่ไม่มีวันยอมที่จะให้จีนได้ผงาดขึ้นมาเทียบชั้นง่ายๆ ซึ่งสิ่งที่เป็นจุดเจ็บปวดที่สุดของจีนเมื่อโดนโจมตีก็คือ เรื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีการพึ่งพานวัตกรรมจากภายนอกมากเกินไป จนเมื่อเกิดสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ทำให้ได้รับผลกระทบอย่างจัง เพราะประเทศพันธมิตรของสหรัฐที่เป็นทั้งนักลงทุน และซัพพลายเชนต่างบอยคอตจีนตามลูกพี่ใหญ่ จนจีนก็เกือบเป๋ไปเหมือนกัน ซึ่งถ้าใครติดตามข่าวจะทราบว่าบริษัทเทคโนโลยีจีนทั้ง หัวเว่ย ไบท์แดนซ์ เทนเซ็น และอื่นๆ ต่างโดนรัฐบาลทรัมป์หาเรื่องเล่นงานเพื่อโจมตีไม่เว้นแต่ละวัน จนต้องปรับเกมส์สู้ยิบตากันอย่างเมามันส์
7
ประกอบกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ที่เป็นตัวแปรสำคัญในการปรับแผนเดินเกมส์รบใหม่ของจีนที่รู้แล้วว่าตลาดที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย แต่เป็นตลาดภายในประเทศต่างหากที่ยังเติบโตสวนกระแสได้นั่นเอง
11
3 คีย์เวิร์ดสำคัญที่จีนยึดถือนั้นมีรายละเอียดอย่างไร ผู้เขียนจะอธิบายทีละตัวอย่างง่ายๆ สั้นๆ กระชับที่สุด
1
Dual Circulations : วงจรแบบคู่ ขยายความก็คือ จีนมุ่งให้ความสำคัญกับการสร้างโมเมนตัมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ควบคู่ไปกับเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ ในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกัน ไม่ทุ่มตลาดไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งมากเกินไป แต่หากจะทุ่มก็จะทุ่มตลาดในประเทศเป็นอันดับหนึ่ง เพื่อเน้นการพึ่งพาตัวเองโดยใช้กำลังซื้อมหาศาลภายในที่มีมากถึง 1,400 ล้านคน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้
4
จีนกำลังเปลี่ยนมาเน้นเศรษฐกิจภายในเป็นแกนหลัก แตกต่างจากในยุคอดีตที่จีนเน้นการเติบโตโดยการส่งออก (Export-oriented growth) ซึ่งเป็นโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเอเชียตะวันออก และพาให้จีนประสบความสำเร็จ มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา
6
แต่อย่างที่บอกคือสงครามการค้าที่แสนน่ารำคาญใจมันคือจุดเปลี่ยน เพราะมันส่งผลอย่างชัดเจนต่อจีนที่ทำให้การส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ ชะงัก จีนต้องนำธุรกิจของตัวเองออกไปตั้งโรงงานยังประเทศอื่นเพื่อลอกชื่อ Made in China ออกจากสินค้าตัวเองแล้วสวม Mead in … แทนสำหรับหลบเลี่ยงกำแพงภาษี ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและเสียเปรียบต่อจีนเป็นอย่างมาก ทำให้จีนพลิกกลับหันหลังมาเล่นตลาดในประเทศแทน เพราะด้วยกำลังซื้อของกลุ่นชนชั้นกลางที่เพิ่มมากขึ้น จากในอดีตคนจีนยังยากจนไม่มีกำลังซื้อ แต่วันนี้คนจีนรวยขึ้นและพร้อมจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยในปี ค.ศ.2017 ตลาดชนชั้นกลางของจีนมีขนาดใหญ่แซงหน้าสหรัฐฯ ถึงหนึ่งเท่าตัว โดยสหรัฐฯ มีกลุ่มชนชั้นกลางราว 300 ล้านคน แต่จีนมีมากถึง 600 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นั่นคือขุมพลังสำคัญที่ต่อให้จีนจะโดนเล่นงานจากภายนอก แต่ภายในยังอยู่ได้
15
ปัจจุบันจีนมีเมืองที่มีประชากรเกิน 1 ล้านคนถึง 167 เมือง และพร้อมผลักดันให้มี 300 เมืองในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ในขณะที่สหรัฐฯ มีเมืองที่ประชากรเกินล้านไม่เกิน 30 เมือง นอกจากนี้จีนมีถึง 4 คลัสเตอร์เมืองที่มีการกระจุกตัวของประชากรของเขตเมืองขนาดใหญ่หลายเมืองรวมกันที่มีประชากรมากว่า 50 ล้านคนขึ้นไปครอบคลุมพื้นที่ เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ของประเทศ ที่มีกำลังซื้อมหาศาลคิดเป็นเกือบ 10% ของกำลังซื้อคนทั้งโลกได้แก่
7
ทิศเหนือ : ปักกิ่ง เทียนจิน เป่าติ้ง สงอัน (ประชากร 90 ล้านคน)
ทิศตะวันออก : เซี่ยงไฮ้ หนานหนิง อู๋ซี หนานทง หางโจว ไห่หนิง (154 ล้านคน)
ทิศตะวันตก : ฉงชิง เฉิงตู (91 ล้านคน)
ทิศใต้ : ฮ่องกง เซินเจิ้น กว่างโจว จูไห่ มาเก๊า (65) ล้านคน
2
การลดการพึ่งพาภายนอกของจีน ก็สะท้อนไปยังภาคการส่งออกด้วย โยเมื่อเปรียบเทียบในปี ค.ศ.2006 สัดส่วนของการส่งออกต่อเศรษฐกิจจีนทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 35.4% แต่ในปี ค.ศ.2019 ปรับลดลงเหลือเพียง 17.4% เท่านั้น ที่เหลืออีก 82.6% คือการบริโภคหมุนเวียนภายในประเทศล้วนๆ
6
อีกสิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างก็คือ จีนจะเปลี่ยนจากการจัดมหากรรมการส่งออก (Export Expo) ที่เดิมทีเคยให้ผู้ประกอบการทั่วโลกมาเดินเลือกซื้อของจากจีนส่งออกไปขายยังประเทศต่างๆ เปลี่ยนมาเป็นมหกรรมการนำเข้า (Import Expo) แทน เพื่อให้ให้ผู้ประกอบการจากทั่วโลกนำสินค้าของตนมาขายในตลาดจีน เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ที่จันสามารถควบคุมระบบนิเวศน์ได้เอง และเป็นการนำเข้าเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อต่อยอดไปสู่การสร้างนวัตกรรมของจีนเองจากองค์ความรู้ที่ได้มาผ่านมหกรรมการนำเข้านี้ ซึ่งแน่นอนว่าใครล่ะจะไม่สนใจ เพราะขายของให้จีนได้ใครๆ ก็อยากขาย ไม่ได้สนใจว่าจีนจะขโมยนวัตกรรม (ยกเว้นผู้เชี่ยวชาญแห่งโลกโซเชียลจากประเทศแถวๆ นี้บางคน)
8
ในขณะที่เกือบทุกประเทศทั่วโลกกำลังสะบักสะบอมจากการโดนไวรัสโจมตีเศรษฐกิจและกำลังซื้อ แต่จีนกลับฟื้นตัวและเติบโตสวนกระแสขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตลาดจีนกลับมาจนเกือบจะปกติ และคนจีนกระหายที่จะซื้อ จะท่องเที่ยว อยากใช้เงิน นั่นคือสิ่งที่ทำให้ทั่วโลกอยากจะเข้าไปในตลาดจีนให้ได้จนใจจะขาด แม้โควิด – 19 จะขวางกั้นก็มิกลัวเกรง เพราะถ้าใครช้าคนนั้นก็พลาด โดยศาสตราจารย์จางจุน คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟูตั้น ถึงกับกล่าวว่า แม้ว่าสหรัฐฯ จะพยายามตีตัวออกห่างจากจีน ประเทศอื่นก็คงไม่ทำตามสหรัฐฯ
4
“เพราะโลกอาจจะต้องพึ่งพาจีนมากกว่าที่จีนจะต้องพึ่งพาโลก”
6
แล้วตอนนี้ขนาดเศรษฐกิจของจีนกับสหรัฐมีมูลค่าเท่าไหร่?
ปัจจุบันสหรัฐอเมริกามีขนาดเศรษฐกิจ (GDP) 22.32 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มการเติบโตชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2023 คาดว่าสหรัฐจะมี GDP ราว 24.88 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อย
5
ส่วนประเทศจีนปัจจุบันมีขนาดเศรษฐกิจราว 14.14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ด้วยอัตราเร่งทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาและในอนาคต มีการคาดการณ์ว่า GDP ของจีนจะเติมโตไล่ตามสหรัฐที่ราว 20 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2023 ภายใต้เงื่อนไขการเติบโตที่ 5.6% ต่อปี ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับประเทศจีนที่จะเติบโตได้ในอัตรานี้
5
และจีนก็ตั้งเป้าว่าจะเพิ่ม GDP ต่อหัวประชากรให้อยู่ในระดับ “ประเทศที่พัฒนาแล้ว” ภายในปี 2035 และขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกแทนที่สหรัฐแบบขาดลอยในปี 2040
6
นี่เป็นเพียงคีย์เวิร์ดตัวแรกเท่านั้นของแผนการพัฒนาของประเทศจีนในอีก 5 ปีข้างหน้า ยังเหลืออีก 2 ตัวก็คือ กลยุทธ์ China 5.0 และ Clean Energy ที่ก็ไม่สำคัญไม่แพ้กัน โดยผู้เขียนจะมาลงให้อ่านในตอนถัดไปเพราะหาเขียนต่อเลยเกรงว่าจะยาวจนคนอ่านเบื่อเสียก่อนที่จะอ่านจบ ดังนั้นรอติดตามได้ใน Big Series EP.2 ซึ่งจะมาเล่าต่อถึง 2 กลยุทธ์ที่เหลือต่อไป
3
โฆษณา