15 ธ.ค. 2020 เวลา 14:29 • ประวัติศาสตร์
The American Revolution ตอนที่ 1/2 X Ocylens
3
บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Ocylens คอนแทคเลนส์รายวัน
1.
ถ้าย้อนเวลากลับไปประมาณสัก 1-2 ปีก่อนที่การปฏิวัติอเมริกาจะเกิดขึ้น แล้วเราไปบอก ชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกา ว่า อีกไม่นานพวกเขาจะปฏิวัติแยกประเทศออกจากประเทศอังกฤษ ชาวอังกฤษส่วนใหญ่คงไม่เชื่อ และคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้
5
เพราะอังกฤษในเวลานั้นคือ มหาอำนาจของยุโรป และชาวอังกฤษในทวีปอเมริกาก็ภูมิใจที่ได้เป็นประชาชนของกษัตริย์อังกฤษ ไม่มีเหตุผลเลยว่าพวกเขาจะอยากแยกตัวออกจากประเทศที่ยิ่งใหญ่อย่างอังกฤษแล้วตั้งประเทศชาวนาเล็กๆไปเพื่ออะไร
3
แต่เรารู้ว่าสุดท้าย อเมริกาจะประกาศอิสรภาพและต่อสู้เพื่อแยกตัวจากอังกฤษ
1
ในบทความนี้ เราจะไปหาคำตอบกันว่า ทำไมชาวอังกฤษในทวีปอเมริกาจึงตัดสินใจทำเช่นนั้น ? อะไรคือ ต้นเหตุของสงคราม ?
6
แล้วผลกระทบที่เกิดขึ้นต่ออเมริกาและยุโรปมีอะไรบ้าง ?
2
2. พื้นหลังของความขัดแย้ง

ถ้าจะสรุปย่อที่สุด ก็อาจจะพูดได้ว่า American Revolution เป็นเหตุการณ์ที่มีจุดเริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆอย่าง “ภาษี” แล้วต่อมาบานปลายขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นความขัดแย้งในเรื่องที่ใหญ่ขึ้นอย่าง “แนวคิดหรือปรัชญาของการปกครอง”
1
สำหรับรายละเอียดของเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้ครับ
1
ทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจากสงครามใหญ่ระหว่างมหาอำนาจในยุโรปหลายประเทศ ที่รู้จักในชื่อ 7 years war หรือสงคราม 7 ปี
5
แต่ด้วยความที่หลายประเทศในยุโรปขณะนั้น เดินเรือไปยึดครองดินแดนต่างๆ ในหลายทวีปทั่วโลก การรบจึงไม่ได้จำกัดแค่แต่ในยุโรป แต่การต่อสู้เกิดขึ้นใน 5 ทวีป ทั่วโลก
3
และหนึ่งในทวีปที่อังกฤษและฝรั่งเศสไปรบกันในสงคราม 7 ปีนี้ ก็คือ ทวีปอเมริกาเหนือ
3
ในเวลานั้น ฝรั่งเศสครอบครองดินแดที่ปัจจุบันเป็นภาคเหนือของประเทศอเมริกา และส่วนที่เป็นประเทศแคนาดาปัจจุบัน ส่วนอังกฤษก็มีชุมชนของชาวอังกฤษไปตั้งรกราก เป็นชุมชนต่างๆ รวม 13 ชุมชน หรือ 13 รัฐ ที่อยู่ทางทิศตะวันออกของอเมริกาปัจจุบัน เช่น นิวยอร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ เมืองบอสตันรัฐแมสซาชูเซต เมืองฟิลาเดลเฟียรัฐเพนซิลเวเนีย เป็นต้น
3
สำหรับชาวอังกฤษทั้ง 13 ชุมชนที่อาศัยอยู่ในอเมริกา พวกเขาเรียกสงคราม 7 ปีนี้ว่า French and Indian war เพราะศตรูที่พวกเขารบด้วยคือ กองทัพที่เกิดจากความร่วมมือกันระหว่างฝรั่งเศสและชาวพื้นเมืองอเมริกา (หรือที่พวกเขาเรียกว่าอินเดียนแดง)
6
สงครม French and Indian war จบลงด้วยชัยชนะของอังกฤษ ทำให้ฝรั่งเศสต้องเสียดินแดนในทวีปอเมริกาจำนวนมากให้กับอังกฤษ ซึ่งสร้างความอับอาย และโกรธแค้น ให้กับฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก
3
เป็นที่น่าสนใจคือ แม้ว่าอังกฤษจะชนะสงครามและได้ดินแดนมามากมาย แต่ชัยชนะครั้งนั้นก็สร้างปัญหาให้กับอังกฤษมากมายเช่นกัน
1
ปัญหาแรกคือ อังกฤษจะดูแลและป้องกันดินแดนต่าง ๆ ยังไง เพราะในตอนนั้น ชุมชนต่างๆ หรือรัฐทั้ง 13 รัฐของอังกฤษนั้น มีความเป็นเอกเทศกันมาก คือแต่ละรัฐก็มีวัฒนธรรมต่างกันไป ปกครองตัวเองโดยไม่ขึ้นต่อกัน หน่วยเงินที่ใช้ก็ต่างกัน การเดินทางระหว่างกันก็มีไม่มากนัก ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันสักเท่าไหร่ การประสานงานระหว่างกันจึงทำได้ยาก
7
ปัญหาที่สองคือ ชาวอินเดียนแดงจำนวนมากมาย ที่อาศัยอยู่ทางชายแดนตะวันตกชุมชนเหล่านี้ เคยเข้าร่วมรบเป็นพวกเดียวกับฝรั่งเศสมาก่อน พูดง่ายๆก็คือ ยังไงก็เคยเป็นศตรูกันมาก่อน จะรู้ได้ยังไงว่าวันหน้าจะไม่ต้องรบกันอีก
1
ปัญหาที่สาม คือ แม้ว่าอังกฤษจะชนะแล้ว แต่ก็ยังมีชุมชนชาวฝรั่งเศสอาศัยอยู่ทางตอนเหนืออีกหลายหมื่นคน ซึ่งก็คือบริเวณที่เป็นแคนาดาปัจจุบัน จะรู้ได้ยังไงว่าวันหน้าจะไม่กระทบกระทั่งจนเกิดเป็นสงครามรุกรานกันอีก
6
และเพื่อให้แน่ใจว่า จะไม่มีปัญหาจนต้องส่งทหารมารบที่อเมริกาอีกรอบ อังกฤษจึงมีนโยบายที่พยายามจะเลี่ยงไม่ให้เกิดสงคราม เช่น
5
อังกฤษตกลงกับชาวอินเดียนแดง ที่จะเคารพดินแดนของชนพื้นเมือง โดยสัญญาว่าจะไม่เข้าไปรุกราน
1
อังกฤษให้เสรีภาพของชาวฝรั่งเศสที่อยู่ทางตอนเหนือ โดยให้สามารถปกครองตนเอง ด้วยกฎหมายของตัวเอง และให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งก็คือ คาทอลิก โดยอังกฤษจะไม่เข้าไปยุ่ง
5
คำถามคือ ชาวอังกฤษ 13 รัฐที่อาศัยอยู่ในอเมริกาคิดยังไงกับนโยบายเหล่านี้กันบ้าง ?
5
คำตอบคือ ไม่พอใจเป็นอย่างมาก
อย่างแรกชาวอังกฤษในอเมริกาจำนวนหนึ่งหมายตาดินแดนของชาวพื้นเมืองที่อยู่ทางตะวันตกไว้อยู่แล้ว พออังกฤษมาสัญญาแบบนี้จึงเท่ากับปิดโอกาสที่จะขยายดินแดนของพวกเขา
1
อย่างที่สอง การผ่อนปรนให้กับชาวฝรั่งเศสก็เหมือนเป็นการไปอ่อนข้อแล้วยังให้สิทธิพิเศษกับคนที่ก่อนหน้าเพิ่งจะเป็นศตรูกันมาหยกๆ
แต่ยังมีสิ่งที่สร้างความไม่พอใจไปมากไปกว่านั้นและจะสุดท้ายจะบานปลายไปใหญ่โตอีกปัญหาหนึ่ง ... นั่นก็คือเรื่องของภาษี
5
3. ภาษีที่ไม่ชอบธรรม
3
แต่ไหนแต่ไรมา อังกฤษมีนโยบายที่ให้อิสระกับผู้อพยพชาวอังกฤษที่ไปตั้งรกรากในทวีปอเมริกาอย่างเต็มที่ คือ แทบไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับการปกครองหรือการเก็บภาษีเลย แต่ละชุมชน หรือแต่ละรัฐ จัดตั้งสภาของตัวเองกันขึ้นมา ตัดสินในเกี่ยวกับนโยบายเศรษกิจและการเงินของตัวเอง ซึ่งการไม่เข้าไปยุ่งมากนี้เป็นนโยบายทีมีชื่อว่า Salutary neglect
3
แต่หลังสงครามเจ็ดปีสิ้นสุดลง นโยบายของอังกฤษก็เปลี่ยนไป เพราะอังกฤษหมดเงินไปกับสงครามเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในการรบกับฝรั่งเศสในทวีปอเมริกา
5
ขณะเดียวกัน อังกฤษก็ยังกังวลว่า ฝรั่งเศสจะร่วมมือกับชนพื้นเมือง แล้วลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้ง
1
รัฐบาลของอังกฤษจึงมองว่า ถึงเวลาแล้วที่ชาวอังกฤษในอเมริกา ซึ่งได้รับผลประโยชน์จากสงครามไปเต็มๆ ควรจะควักกระเป๋ามาช่วยจ่ายบ้างเสียที จึงให้มีการออกกฎหมายภาษีฉบับใหม่ขึ้นมา เรียกว่า The Sugar Act 1764
5
ความแปลกคือ กฎหมายที่ออกใหม่นี้ คือ การให้ “ลด” ภาษีน้ำตาลลงจากเดิม ครึ่งนึง
คืออย่างนี้ครับ กฎหมายนี้เป้าหมายคือ เพิ่มการเก็บภาษีให้ได้มากขึ้น แต่ภาษีของเดิมที่มีอยู่ถูกมองว่าแพงไปจนเก็บภาษีไม่ค่อยได้ ชาวอังกฤษในอเมริกาจึงหาทางเลี่ยงภาษีด้วยการลักลอบนำเข้าน้ำตาลเถื่อนมาขาย
5
รัฐบาลอังกฤษจึงคิดว่าถ้าลดภาษีลง คงจะเก็บภาษีได้มากขึ้น จึงออกกฎหมายฉบับใหม่ขึ้นมา โดยนอกเหนือจากการลดภาษีแล้ว ยังมีบทลงโทษเพิ่มขึ้น คือให้มีการตรวจค้นเรือสินค้า ถ้าพบว่ามีการลักลอบนำน้ำตาลเถื่อนเข้ามาขาย ก็สามารถลงโทษได้ทันทีโดยไม่ต้องขึ้นศาล
3
ผลปรากฎว่า การลดภาษีนี้ สร้างความไม่พอใจให้กับชาวอเมริกัน
3
กลุ่มแรกที่ไม่พอใจก็แน่นอนครับ เหล่าพ่อค้าที่เกี่ยวข้องกับการนำน้ำตาลเถื่อนเข้ามาขาย ซึ่งไม่พอใจเพราะเสียผลประโยชน์
1
กลุ่มที่สองไม่พอใจเพราะมองว่าการลงโทษทันทีโดยไม่ต้องขึ้นศาล มันละเมิดสิทธิ์ของพวกเขาในฐานะประชาชนของชาวอังกฤษ
นอกจากนั้นการออกกฏหมายนี้ก็นำไปสู่การตั้งคำถามว่า รัฐบาลอังกฤษสามารถออกกฎหมายมาบังคับชาวอังกฤษในอเมริกาได้อย่างไร ก็ในเมื่อชาวอังกฤษในอเมริกาไม่ได้มีตัวแทน เพื่อที่จะไปโต้แย้งในสภาเลยสักคน
5
ถ้าการออกกฎหมายมาบังคับแบบนี้เกิดขึ้นได้ ก็หมายความว่า ในวันข้างหน้า รัฐบาลอังกฤษอยากจะออกกฎหมายอะไรมาบังคับใช้กับชาวอังกฤษในอเมริกาก็ได้สิ
3
อ่านมาถึงตรงนี้พอจะเห็นอะไรไหมครับ ?
1
ใช่ครับ ไอเดียที่ใช้โต้แย้งเหล่านี้ มันมีกลิ่นอายของ The Enlightenment ที่เกิดขึ้นในยุโรป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชนชั้นกลางที่มีการศึกษาในอเมริกา ได้อ่านหนังสือของเหล่า ฟิโลโซฟส์ ทั้งหลาย ทำให้เขารู้สึกว่าสิทธิ์ของพวกเขากำลังถูกรุกล้ำโดยรัฐบาล
4
Sugar Act เป็นแค่ก้าวแรกๆของความขัดแย้งเท่านั้น เพราะอีกประมาณหนึ่งปีถัดมา รัฐบาลอังกฤษก็ออกกฏหมายที่โด่งดังและมีปัญหามากกว่าอีกครั้ง
นั่นก็คือกฎหมายที่รู้จักกันในชื่อ Stamp Act 1765
4. Stamp Act
หัวใจสำคัญของ Stamp Act คือ เอกสารต่างๆ ของราชการจะต้องประทับตราอาการหรือ Stamp ลงไป รวมไปถึงเอกสารอื่นๆ เช่น พินัยกรรม สิ่งตีพิมพ์อย่างหนังสือพิมพ์ แผ่นพับ รวมไปถึงไพ่หรือลูกเต๋าก็ต้องจ่ายภาษีนี้ด้วย
1
คำถามว่า ภาษีนี้แพงมากไหม ?
คำตอบคือ ไม่เลยครับ ถูกมาก
3
แต่ประเด็นสำคัญที่เป็นจุดสร้างความไม่พอใจก็ยังเหมือนเดิมนั่นก็คือ กฎหมายนี้ รัฐบาลประกาศใช้โดยที่ชาวอังกฤษในอเมริกาไม่มีสิทธิ์จะได้ออกความเห็นเลย และคราวนี้คนที่ได้รับผลของกฎนี้มีค่อนข้างกว้าง จึงนำไปสู่การรวมตัวของม็อบชาวบ้านที่เรียกตัวเองว่า The Sons of Liberty ขึ้นมา
1
จากนั้นม็อบที่เต็มไปด้วยความโกรธก็เริ่มใช้ความรุนแรงคือไป จับตัวเจ้าหน้าที่เก็บภาษีอากร ซึ่งเป็นคนของรัฐบาลอังกฤษ จากนั้นก็เอาน้ำมันดินเหนียวๆไปทาไปตามตัว แล้วก็เอาขนนกมาติดตามตัว ให้เหมือนตัวตลก
5
นอกเหนือไปจากการไม่ยอมจ่ายภาษีแสตมป์นี้แล้ว ชาวอเมริกันก็ยังบอยคอต ไม่สั่งซื้อสินค้าต่างๆที่นำเข้าจากอังกฤษด้วย ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับพ่อค้าชาวอังกฤษที่ส่งของมาขายที่อเมริกา
1
สุดท้ายหลังจากพ่อค้าชาวอังกฤษเรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษหาทางแก้ไขปัญหา รัฐสภาของอังกฤษก็ยอมถอยโดยยกเลิกภาษีนี้ไป แต่ก็ออกกฎหมายมาใหม่ที่มีชื่อว่า มีชื่อว่า Declaratory Act ใจความหลักคือ ต่อจากนี้ไปรัฐสภาของอังกฤษสามารถออกกฎหมายบังคับใช้ในอเมริกาได้แม้ว่าชาวอเมริกาจะไม่มีตัวแทนในสภาก็ตาม
7
ไม่เพียงเท่านั้น พระเจ้าจอร์ชที่ 3 ยังส่งกองทัพอังกฤษมาที่เมืองบอสตัน เพื่อควบคุมสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมากขึ้น คือจะไม่ปล่อยให้ม็อบชาวอังกฤษทำอะไรตามอำเภอใจหรือใช้ความรุนแรงกับคนของรัฐอีกต่อไป
3
หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็ แหย่ๆ แย็บๆ อีกฝ่ายมาเรื่อยๆ ทางรัฐบาลอังกฤษก็ออกกฎหมายเก็บภาษีเล็กๆน้อยๆ ออกมาเป็นระยะ เป้าหมายหลักคือ เพื่อให้เห็นว่า รัฐบาลอังกฤษมีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้นได้
4
ส่วนทางอเมริกาก็หาข้ออ้างที่จะไม่จ่ายภาษีนั้น ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษเมื่อเห็นว่ากฎหมายไหนโดนต่อต้านมากขึ้น ก็ยอมยกเลิกภาษีนั้น แล้วก็ออกกฎหมายภาษีอื่นมาแทน เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ทำให้ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายแม้จะไม่ยอมกัน แต่ก็ยังไม่พร้อมจะแตกหักเสียทีเดียว
5
แต่แล้วก็มีเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง จนสงครามไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป
5. Boston tea party
ในปีค.ศ. 1773 รัฐบาลอังกฤษออกกฎหมายใหม่มาอีกชื่อว่า Tea Act
กฎหมายฉบับนี้จริง ๆ แล้ว เป้าหมายหลักไม่ได้ออกมาเพื่อจะขูดรีดภาษีจากอเมริกา แต่เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อช่วยบริษัทสำคัญของอังกฤที่ชื่อ British East India company ซึ่งขณะนั้นกำลังมีปัญหาการเงินอย่างรุนแรง
3
ใจความหลักของกฎหมายฉบับนี้คือ บริษัท East India สามารถที่จะมาขายชาที่อเมริกาได้โดยไม่ต้องเสียภาษีใหอังกฤษ และยังให้สิทธิ์บริษัท British East India ที่จะขายชาในอเมริกาแต่ผู้เดียว
3
ที่น่าสนใจคือ ผลโดยรวมของกฎหมายนี้ทำให้ชาที่ขายอย่างถูกกฎหมายในอเมริกา แม้ว่าจะบวกภาษีเข้าไปแล้ว ก็ยังถูกกว่าชาเถื่อนที่ลักลอบขายกันอยู่ในอเมริกา
คำถามคือ แล้วชาวอเมริกันชอบกฎหมายนี้ไหม ?
3
คำตอบคือ ไม่ครับ เพราะด้วยเหตุผลเดิม ๆ คือพ่อค้าชาที่ลักลอบนำชาเข้ามาเสียผลประโยชน์ ซึ่งหลายคนเป็นเศรษฐีผู้มีอิทธิพล นอกจากนั้นหลายคนก็มองว่า เป็นการใช้ ราคาของชา มาล่อให้ยอมรับกฎหมายภาษี ซึ่งถ้ายอมรับไปสักครั้งแล้ว ก็คงจะโดนกฎหมายอื่นตามมาอีก ผลคือ ชาวอังกฤษในอเมริกาจึงโกรธแค้นกับกฎหมายนี้มาก
3
คืนวันที่ 16 ธันวาคม กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า Son of Liberty จึงปลอมตัวด้วยการแต่งกายเป็นอินเดียนแดงแล้วลักลอบขึ้นไปบนเรือของบริษัท British East India company จากนั้นก็โยนหีบใส่ใบชาทิ้งลงทะเลไป 300 กว่าหีบ
3
เหตุการณ์ในคืนนั้นต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อว่า Boston tea party
คราวนี้กษัตริย์กับรัฐบาลอังกฤษตัดสินใจที่จะไม่ทนอีกต่อไป
1
มีคำสั่งให้นำเรือรบมาปิดอ่าวของเมืองบอสตัน
นายพล Thomas Gage ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการรัฐ
มีการประกาศกฎอัยการศึกในเมืองบอสตัน
ผู้คนไม่สามารถมาชุมนุมกันได้
5
รัฐบาลอังกฤษหวังว่า การแสดงท่าทีว่าเอาจริงและส่งทหารมาเช่นนี้จะสามารถกำราบม็อบต่างๆให้กลัวและสงบลง
แต่ผลที่ได้กลับเป็นตรงกันข้าม
1
เมื่อเมืองบอสตันถูกบีบ ชาวอังกฤษที่อยู่ในทวีปอเมริกาทั้งหลายก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความไม่มั่นคง เพราะทุกคนรู้ดีว่า ถ้าการบังคับใช้กฎหมายเกิดขึ้นที่เมืองหรือรัฐหนึ่งได้ เมืองอื่นๆหรือรัฐอื่นๆ ก็มีโอกาสที่จะโดนเช่นเดียวกันได้
รัฐต่างๆทั้ง 13 รัฐ ที่ไม่เคยคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน จึงเกิดความรู้สึกร่วมของการเป็นชาวอังกฤษในทวีปอเมริกาขึ้นมา แต่ละรัฐจึงมีการส่งตัวแทนเพื่อมาประชุมกันที่เมือง ฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia) ในเดือนกันยายนปีค.ศ. 1774 เพื่อคุยกันว่าจะทำยังไงกันต่อดี จะตอบสนองต่อเหตุการณ์นี้ร่วมกันอย่างไร
5
และการประชุมกันครั้งนั้น ก็เป็นการรวมตัวกันครั้งแรกของคนที่ต่อมาจะเรียกตัวเองว่าเป็นชาวอเมริกัน เพียงแต่ในวันนั้น พวกเขาทุกคนยังคิดว่าตัวเองเป็นชาวอังกฤษที่พยายามหาทางต่อรองกับกษัตริย์และรัฐบาลของตัวเอง
การประชุมครั้งแรกนั้น ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ทั้ง 13 รัฐจะพยายามกดดันอังกฤษด้วยการแบนสินค้าของอังกฤษให้หนักขึ้น แล้วหวังว่ากษัตริย์และรัฐบาลของพวกเขาจะคิดได้และยกเลิกสิ่งที่พวกเขามองว่าไม่ถูกต้อง
1
ส่วนอังกฤษก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้และเลือกที่จะส่งทหารมามากขึ้น
ความขัดแย้งจึงตึงเครียดมากขึ้น
1
6. Paul Revere’s midnight ride
3
เดือนเมษายน ค.ศ. 1775
นายพล Gage ได้ข่าวจากสายลับมาว่า ทางอเมริกามีการแอบสะสมอาวุธและดินปืนที่เมือง คองคอร์ด (Concord) ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง บอสตันไปไม่มาก นายพลเกจจึงออกคำสั่งให้กองทหารจำนวนหนึ่งเดินทางไปคองคอร์ดเพื่อยึดอาวุธเหล่านั้นมาทำลาย และยังสั่งให้ไปจับกุมผู้นำของกลุ่ม Son of Liberty ที่เมือง Lexington ด้วย
แต่ข่าวการเคลื่อนพลของทหารอังกฤษ ก็รั่วไหลออกไปเสียก่อน ในคืนวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1775 ชายสองคน คือ วิลเลี่ยม ดอวส์ (William Dawes) และ พอล เรเวียร์ (Paul Revere) จึงตัดสินใจกระโดดขึ้นหลังม้า แยกเดินทางไปคนละทิศ เพื่อกระจายข่าวตลอดเส้นทางไปเมืองคองคอร์ด และเล็กซิงตัน ว่า ทหารอังกฤษกำลังจะมา
1
เหตุการณ์นี้ปัจจุบันเป็นเหตุการณ์สำคัญของชาวอเริกันที่มีชื่อเรียกว่า Paul Revere’s Midnight ride
กลุ่มของทหารชาวบ้านตามที่ต่างๆ ที่เรียกตัวเองว่า Minutemen (หมายถึงพร้อมรบในเวลาแค่ไม่กี่นาที) จึงจับอาวุธ และเดินทางไปเตรียมพร้อมรับมือกับทหารอังกฤษที่เมือง Lexington
1
แต่เมื่อเผชิญหน้ากันจริงๆ ทหารทั้งสองฝ่ายก็พยายามอย่างอย่างที่สุด ที่จะไม่โจมตีใส่กัน เพราะต่างก็ได้รับการกำชับมาว่า ห้ามยิงโดยเด็ดขาด เว้นเสียแต่ว่าไม่มีทางเลือกคือโดนโจมตีก่อน จึงจะต่อสู้กลับ
1
จนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนลั่นกระสุนแรกในวันนั้น แต่สุดท้ายกระสุนนัดแรกก็ถูกลั่นออกไป จากนั้นแต่ละฝ่ายก็ระดมยิงใส่กัน
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว สงครามคงจะเลี่ยงได้ยาก
3
>>> (ติดตามต่อตอนจบในวันพรุ่งนี้นะครับ)
1
ขอบคุณ Ocylens คอนแทคเลนส์รายวัน ที่ให้การสนับสนุนบทความนี้นะครับ
✅Ocylens คอนแทคเลนส์รายวันใส่สบายเพราะทำจากวัสดุพรีเมี่ยม Etafilcon A
🔥พิเศษสำหรับแฟนเพจหลงไปในประวัติศาสตร์ ซื้อ 1 แถม 1
เพียงใส่โค้ด OCY11 ในช่องโค้ดร้านค้า เพื่อรับสิทธิ์​ ซื้อ​ 2 กล่อง​ในราคาเพียงกล่องเดียว​ 🔥
3
(1 สิทธิ์/ท่าน​ โค้ดมีจำนวนจำกัดนะครับ)สนใจคลิกที่ลิงก์

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา