10 ม.ค. 2021 เวลา 12:01 • ครอบครัว & เด็ก
* Happy Song เพลงที่แต่งมาเพื่อทำให้เด็กทารกอารมณ์ดี
1
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาเกี่ยวกับอารมณ์และการตอบสนองต่อเสียงดนตรีของมนุษย์แต่ว่ามีน้อยมากที่ศึกษาในเด็กเล็ก เพราะเป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าเด็กแต่ละคนชอบหรือไม่ชอบอะไร นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าเด็กทารกสามารถได้ยินและจำเสียงดนตรีได้แม้ว่ายังอยู่ในครรภ์และเด็กแรกเกิดมักจะชอบฟังเพลงของโยฮันน์ เซบาสเตียน บาค มากกว่าแอร์โรสมิธ
ยังมีอีกหลายงานวิจัยพบว่าเด็กทารกชอบเพลงที่ฟังง่ายมากกว่าเพลงที่ซับซ้อนและสามารถจำจังหวะ/ทำนองของเพลงที่เคยฟังมาก่อนได้ นอกจากนี้ยังชอบเสียงผู้หญิงมากกว่าเสียงผู้ชายและจะชอบมากขึ้นไปอีกถ้าเสียงนั้นมีลักษณะ ‘ความเป็นแม่’ คือเสียงแหลมสูงคล้ายกับเวลาที่แม่พูดคุยกับลูกน้อย แต่อารมณ์ของเด็กในการตอบสนองต่อเสียงดนตรีนั้นยังเป็นเรื่องปริศนาอยู่ เพลงแบบไหนกันนะที่จะทำให้เด็กพอใจและมีความสุข?
Caspar Addyman ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กจาก University of London ได้รับคำเชิญชวนจาก C&G baby club ให้ร่วมมือกับ Lauren Stewart นักดนตรีจิตวิทยาเพื่อสร้างสรรค์เพลงที่พิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ว่าสามารถทำให้เด็กทารกมีความสุขได้จริง
สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือรวบรวมข้อมูลของเสียงหรือดนตรีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าทำให้เด็กหัวเราะได้
“พวกเราเคยทำโครงการสร้างเสียงหัวเราะให้เด็ก (Baby Laughter) และได้สอบถามพ่อแม่ของเด็กๆหลายคนว่ามีดนตรีจังหวะแบบไหนหรือเสียงอะไรที่ลูกๆของพวกเขาสนใจฟังเป็นพิเศษ”
หลังจากที่ได้ข้อมูลเพียงพอ ขั้นตอนต่อไปคือหานักแต่งเพลงฝีมือดี นักแต่งเพลงรางวัลชนะเลิศจากเวทีแกรมมี่อวอดส์ Imogen Heap เป็นผู้ถูกเลือก Heap เชี่ยวชาญทางด้านการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีใหม่ๆในการแต่งเพลง ที่สำคัญเธอเพิ่งมีลูกสาวตัวน้อยวัยเพียง 18 เดือน เธอจึงสนใจและใส่ใจในการแต่งเพลงครั้งนี้มาก มีนักแต่งเพลงน้อยคนที่จะเคยเขียนเพลงให้เด็กทารกถึงแม้ว่า Michael Janisch เคยอัดอัลบั้มเพลงแจ๊สสำหรับเด็ก แต่จังหวะของเพลงแจ๊สนั้นช้ามากและเหมาะกับการทำให้เด็กใจเย็นลงมากกว่า
Heap แต่งเพลงด้วยบันไดเสียงเมเจอร์ (Major Key) โดยใช้เมโลดี้ฟังง่ายเล่นซ้ำๆกับเครื่องดนตรีที่มีเสียงชัดเช่นกลอง ปรับคีย์เสียงให้สูงและเพิ่มจังหวะให้เร็วเนื่องจากจังหวะการเต้นของหัวใจเด็กทารกค่อนข้างเร็วกว่าของผู้ใหญ่ ส่วนประกอบที่สำคัญอย่างสุดท้ายคือนักร้อง จะต้องเป็นเสียงผู้หญิงที่เต็มไปด้วยพลังและมีชีวิตชีวา
-ออกแบบการทดลอง-
โชคดีที่ Heap มี Scout ลูกสาววัย 18 เดือนของเธอเป็นผู้ช่วย Heap สร้างเมโลดี้ขึ้นมา 4 แบบให้นำมาทดลองในแล็บ ช้า 2 แบบและเร็ว 2 แบบ ในแต่ละแบบยังแบ่งออกเป็นแบบที่มีเนื้อร้องและไม่มีเนื้อร้อง เด็กทารก 26 คนที่มีอายุระหว่าง 6-12 เดือนถูกพามาที่แล็บพร้อมกับพ่อแม่ของพวกเขา เป็นที่ประหลาดใจว่าเด็ก 20 คนจาก 26 คนมีการตอบสนองที่ดีกับเมโลดี้แค่แบบเดียว สิ่งหนึ่งที่เป็นไปตามสมมติฐานคือเป็นเมโลดี้ที่จังหวะเร็ว แต่มีเรื่องน่าแปลกใจกว่านั้นเพราะคนคิดเมโลดี้นี้คือเด็กน้อย Scout ซึ่งเธอได้ฮัมออกมาเป็นทำนองสั้นๆนั่นเอง
“พวกเรารู้ว่าบรรดาแม่ๆชอบเพลงไหนจากการถาม แต่พวกเราก็สามารถรู้ว่าเด็กๆชอบเพลงไหนจากการถามพ่อแม่ด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขาคือคนที่รู้จักลูกตัวเองดีที่สุด นอกจากนั้นพวกเรายังได้อัดวิดีโอเด็กๆเอาไว้เพื่อดูการตอบสนองต่างๆ เช่น การหัวเราะ ยิ้ม และ เต้น”
ในที่สุดทีมงานก็ได้เมโลดี้สุดท้ายที่ทุกคนพึงพอใจ Heap ทำการเปลี่ยนเมโลดี้นั้นให้เป็นเพลงสมบูรณ์โดยเน้นความสนุกสนานและทำให้ดูตลก ความลับคือการใส่เสียงแปลกๆเพิ่มลงไป ผลโหวตจาก 2500 ครอบครัวใน C&G baby club และ Heapäs fan club พบว่าเสียงยอดฮิตที่ทำให้เด็กมีความสุขได้แก่ “บู!” (66%), เสียงผายลม (57%), เสียงจาม (51%), เสียงสัตว์ (23%) และเสียงเด็กหัวเราะ (28%) นอกจากนั้นเด็กๆจะตอบสนองต่อเสียงพยัญชนะที่ต้องออกเสียงดังๆเช่น “ปา” และ “บา” ได้ดีกว่าเสียงพยัญชนะที่อยู่ในคอเช่น “ลา” ซึ่ง Heap ได้นำรายละเอียดทั้งหมดนี้ใส่เพิ่มลงไปในเพลง
ขั้นตอนต่อไปคือทำให้เพลงนี้สนุกสนานสำหรับพ่อแม่ด้วยเช่นกัน เป้าหมายที่แท้จริงของเพลงนี้คือความสุขที่ทั้งพ่อแม่ได้รับพร้อมกันกับลูกและทั้งครอบครับเกิดปฏิสัมพันธ์อันดีต่อกัน Heap เลือกใส่เนื้อร้องให้มีความหมายเชิงบวก บอกเล่าว่าพ่อแม่ของเด็กๆรักพวกเขามากไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน – ท้องฟ้าหรือมหาสมุทร, บนจักรยานหรือยานอวกาศ เป็นต้น
เหล่าพ่อแม่และเด็กๆกลับมารวมตัวกันที่แล็บอีกครั้งเพื่อฟังเพลงเต็ม 2 เวอร์ชั่นสุดท้าย ครั้งนี้พวกเขาโหวตให้เพลงที่ช้ากว่า (163 บีตส์ต่อนาที) ชนะเพลงที่เร็วกว่า (168 บีตส์ต่อนาที) เพราะว่าเพลงที่จังหวะช้ากว่าเล็กน้อยทำให้ทั้งพ่อแม่และเด็กมีเวลาตอบสนองต่อเนื้อร้องได้ดีกว่า
การทดลองสุดท้ายพวกเขานำเด็กเล็ก 20 คนมาอยู่รวมกันในห้องแล้วเปิดเพลงให้ทุกคนฟังไปพร้อมๆกัน ถ้าคุณเคยเลี้ยงเด็กเล็กๆหรืออยู่กับเด็กสักช่วงเวลาหนึ่งคุณจะเข้าใจว่ามันเป็นการยากที่จะทำให้เด็กทุกคนอยู่นิ่ง ซึ่งเพลงนี้มีความยาวประมาณสองนาทีครึ่งถือว่าค่อนข้างนานที่จะทำให้เด็กๆตั้งสมาธิและหันมาสนใจ แต่ว่าเมื่อเพลง “Happy Song” ดังขึ้นพวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่เด็กๆทุกคนยิ้ม หัวเราะและดูมีความสุข ถึงแม้ว่าการทดลองสุดท้ายนี้จะไม่ค่อยเป็นวิทยาศาสตร์และเหมือนจะใช้ความรู้สึกมากกว่า แต่ผลการทดลองก็ทำให้เชื่อว่าพวกเขาทำงานออกมาได้ประสบผลสำเร็จ
และนี่คือ Happy Song เพลงที่เป็นเพื่อนใหม่ของเด็กๆและช่วยให้ทุกคนอารมณ์ดี
References >>

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา