4 ม.ค. 2021 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #คำขอโทษที่ไม่เคยเกิดขึ้น ]
1
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยเล่าให้ฟังว่า อย่างหนึ่งที่จะไม่มีทางสูญเสียหลุดมือในช่วงเป็นผู้จัดการทีม นั่นคืออำนาจในห้องแต่งตัว
3
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามคำสั่งของเขาถือเป็นขั้นเด็ดขาด หากลูกทีมคนไหนหืออือไม่พอใจ จะพูดออกไปเลยว่า "ฟังไว้นะ ฉันไม่รู้ว่านี่มันจะดีหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆฉันคิดว่ามันโอเคและแกต้องทำตามนั้น"
2
นี่คือหนึ่งในศิลปะการปกครองคนตามแบบฉบับของ เฟอร์กี้ ซึ่งบางคนอาจแย้งและคิดว่าใช้ไม้นวมจะเวิร์คกว่า
อย่างไรก็ดีกุนซือสก็อตติชพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า วิธีดังกล่าวคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จได้
เดวิด เบ็คแฮม หรือ รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่กล้างัดข้อท้าทายอำนาจ ล้วนแต่มีชะตากรรมไม่แตกต่างกัน เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าแล้วเปิดประตูเดินออกไปได้เลย
อย่างไรก็ตามทั้งสองคนนี้สำนึกผิดภายหลัง เบ็คแฮม ยอมรับว่าฝืนกฎข้อบังคับ ไม่เชื่อฟังคำสั่ง จนกระทั่งถึงจุดแตกหักเหตุการณ์สตั๊ดบินในห้องแต่งตัวเมื่อปี 2003
เรื่องไลฟ์สไตล์ส่วนตัวที่ส่งผลกระทบต่อการฝึกซ้อมและฟอร์มในสนาม เคยมีการตักเตือนบ้างแล้ว แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองอย่างที่ควรจะเป็น
2
ซัมเมอร์ปีดังกล่าวหลังซีซั่นปิดฉากลงไม่นาน เบ็คแฮม เดินทางไปพักผ่อนที่สหรัฐอเมริกากับ วิคตอเรีย อดัมส์ แฟนสาวที่คบหาดูใจกันมาพักใหญ่
ระหว่างชีวิตรักเต็มไปด้วยความโรแมนติก กำลังหวานชื่นเป็นคู่ที่หลายคนอิจฉา เสียงโทรศัพท์ทางไกลจากยูเคก็ดังเตือนเข้ามา
เพื่อนคนหนึ่งของ เบ็คแฮม ต่อสายด่วนมาหา พร้อมเล่าเป็นฉากๆเลยว่าสกาย สปอร์ตส์เพิ่งลงข่าว แมนฯยูไนเต็ดโอเคปล่อยเขาให้บาร์เซโลน่าเรียบร้อยแล้ว
หากเดอะ ซันเล่นข่าวทำนองนี้ คงไม่น่าตื่นเต้นอะไรนัก แต่เมื่อเป็นสื่อซึ่งพอจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือได้ เบ็คแฮม จึงต้องเกี่ยวก้อยแฟนสาวบินด่วนกลับแมนเชสเตอร์ ด้วยความกระวนกระวาย
มาถึงรีบไปเจอ ปีเตอร์ เคนยอน ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารหรือซีอีโอในเวลานั้น รวมถึงดิ่งตรงหา เฟอร์กี้ ด้วยเพื่อขอคำอธิบายที่ชัดเจน
แต่จากคำบอกเล่าของ เบ็คส์ ที่เปิดเผยผ่านทาง BBC ระบุว่า เฟอร์กี้ ปฎิเสธไม่คุยด้วย พูดแค่ว่าตกลงกับทางนั้นจริงๆ ต้องย้ายสถานเดียว
เมื่อรู้ว่าอยู่กลายเป็นส่วนเกิน โดนเขี่ยทิ้งชัดเจนแล้ว จึงยื่นคำขาดบอกว่าถ้าจะปล่อยจริงๆ ขอไปเรอัล มาดริด เพราะมีการคุยกับทางโน้นไว้แล้วเช่นกัน
เบ็คแฮม อาจจะช็อกที่โดนขายทิ้งดื้อๆ แต่ในอีกทางก็มีการเตรียมพร้อมแล้ว เลือกมาดริดเป็นป้ายต่อไป
2
ภายหลัง เบ็คแฮม ก็ยอมรับผิดส่วนหนึ่งและนึกเสียดายที่ไม่ได้จบชีวิตค้าแข้งกับแมนฯยูไนเต็ด
1
ความสัมพันธ์ของเขากับ เฟอร์กี้ ดีขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ก็นั่นแหล่ะ มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ในขณะที่เคส รุด ฟาน นิสเตลรอย ก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก อาจดูรุนแรงกว่าในแง่ขาดความเคารพและท้าทายอำนาจ
ซีซั่น 2004/05 แมนฯยูไนเต็ดทะยานผ่านเข้าไปชิงเอฟเอคัพเจออาร์เซน่อล ซึ่งฟอร์มของ รุด ช่วงดังกล่าวไร้มาตรฐานคุ้มดีคุ้มร้าย ทำให้ เฟอร์กี้ ต้องชั่งใจในการเลือกไลน์อัพ
1
ไม่นานนัก เดวิด กิลล์ ซีอีโอของทีมเดินมาบอก เอเยนต์ของ รุด มาหา แจ้งว่านักเตะร้องขอย้ายทีม ด้วยเหตุผลว่าปีศาจแดงไม่น่าจะไปไกลได้กว่านี้แล้ว โดยเฉพาะความสำเร็จในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ก็ยังกล่อมให้อยู่ต่อได้สำเร็จ
1
ตลาดหน้าหนาวของฤดูกาล 2005/06 แมนฯยูไนเต็ดกระชากกองหลังมาพร้อมกัน 2 คนคือ เนมานย่า วิดิช กับ ปาทริช เอวร่า แล้วช่วงเดือนกุมภาพันธ์สามารถฝ่าด่านไปถึงนัดชิงชนะเลิศลีกคัพกับวีแกน
2
รายการนี้ เฟอร์กี้ เปิดโอกาสให้ หลุยส์ ซาฮา เล่นอยู่ตลอด เพราะปกติเป็นสำรองในเกมลีก ดังนั้นไม่แฟร์แน่ถ้าจะเข็น รุด ลงเป็นตัวจริง
1
เป็นไปตามคาดปีศาจแดงปูพรมถล่มแหลก เหนือกว่าทุกขุม เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรให้น่ากังวลแล้วจึงคิดว่าควรส่ง วิดิช กับ เอวร่า ที่นั่งสำรองให้ลงสัมผัสเกมนัดชิงในบรรยากาศเช่นนี้บ้าง
แล้วโควต้าเปลี่ยนตัวเหลืออีก 2 คน จึงหันไปบอกกับ รุด ว่าจะให้โอกาสเด็กใหม่ 2 คนนี้บ้าง รุด จึงเป็นแค่สำรองไม่ถูกใช้งาน
พอได้ยินเจ้านายพูดมาอย่างนี้เลยหลุดสบถออกมาเสียงดังชนิดทุกคนแถวนั้นได้ยินกันหมด ไอ้เฒ่าเอ๊ย!
คาร์ลอส เคยรอช ผู้ช่วยนั่งอยู่ใกล้ๆ ต้องหันไปตวาดในเชิงปรามไว้ เพื่อนร่วมทีมบางคนก็บอกให้ทำตัวดีๆ
แต่เฟอร์กี้ ไม่พูดอะไรอีกเลย นั่นหมายความว่าชะตาของ รุด ขาดเรียบร้อย
จบฤดูกาลนั้นแมนฯยูไนเต็ดยอมขายแบบขาดทุนไปให้เรอัล มาดริด แค่ 11 ล้านปอนด์
อย่างไรก็ตามมกราคม 2010 มีข้อความส่งมาหา เฟอร์กี้ ภายหลังจึงรู้ว่าเป็น รุด นั่นเอง
จากนั้นเมื่อได้รับอนุญาตจึงโทรตรงทันที พร้อมกับเอ่ยพูดคำว่าขอโทษต่ออดีตเจ้านาย
เขาอาจสำนึกมานานแล้วว่าได้ทำผิดลงไป แต่ไม่กล้าที่จะยอมรับ กระทั่งเห็นควรถึงเวลาเหมาะสมแล้วนั่นแหล่ะ จึงรวบรวมความกล้าหาญ เพื่อไม่ให้มีอะไรติดค้างอีก
1
สองคนนี้รู้สึกผิด รู้ว่าทำสิ่งไม่เหมาะไม่ควรลงไป แต่ไม่ใช่อีกคน
รอย คีน กลับไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย
อย่างที่เรารู้กันว่า รอย คีน โดนกำจัดพ้นจากแมนฯยูไนเต็ดในปี 2005 หลังไปออกรายการทางช่อง MUTV ของสโมสร แล้วด่ากราดเพื่อนร่วมทีมเรียงตัวแบบไม่ให้เกียรติกัน
นอกจากเทปนั้นจะโดนระงับไม่ให้ออกอากาศ เขายังโดนปรับ 5,000 ปอนด์ รวมทั้งเข้าประชุมด่วน เพื่อให้ขอโทษที่พูดจาไม่ดีด้วย
แต่มีหรือที่กองกลางไอริชจะทำตาม เขาเพิกเฉยและฉุนขาดที่โดนปรับ สู้หัวชนฝาอุทธรณ์ เพราะเชื่อว่าไม่ผิด การตำหนิเพื่อนร่วมทีมอย่างนั้นเพื่อประโยชน์สโมสร สำหรับปรับตัวให้ดีขึ้น
2
ภายหลังมีข่าวว่าเขาขอโทษทั้ง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ คาร์ลอส เคยรอช ที่เคยพูดล่วงเกิน ก็ยังบอกด้วยว่าไม่รู้คิดอย่างไรถึงพูดออกไป
ความจริงอาจไม่ได้รู้สึกผิดเลย ซ้ำร้ายยังระบุว่าความเชื่อและศรัทธาที่คนทั่วไปมีต่อ เฟอร์กี้ มันเหมือน propaganda หรือโฆษณาชวนเชื่อล้างสมอง
1
เพราะความจริงแล้วหากได้สัมผัส เฟอร์กี้ ไม่ใช่ดีอย่างที่คิด ไม่ได้เป็นคนอบอุ่นหรือเป็นธรรมหรอก
1
แค่มองประเด็นดึงคนในครอบครัวมาทำงานภายในสโมสรด้วย ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นแบบไหน
มาร์ติน เฟอร์กูสัน น้องชายมารับงานหัวหน้าแมวมอง คอยเฟ้นหาแนะนำนักเตะที่เข้ามาให้
ดาร์เรน เฟอร์กูสัน ลูกชายในไส้ก็ถูกผลักดันสู่ทีมชุดใหญ่ ได้รับเหรียญรางวัลพรีเมียร์ลีกอีกต่างหาก ทั้งที่คลาสไม่ถึง
1
ตอนไปเป็นผู้จัดการทีมเปรสตัน นอร์ทเอนด์ ก็ยืมผู้เล่นดาวรุ่งของแมนฯยูไนเต็ดไปใช้งานไม่น้อย นี่มันเส้นสายหรือคอนเน็กชั่นแห่งสายเลือด
ทำไมไม่หาตำแหน่งให้ภรรยาเขาอีกคนเลยล่ะ? คีน เคยประชดด้วยคำถามแบบนี้นี่เอง
1
การที่อดีตลูกทีมมากมาย ไม่มีใครหาญกล้ามาหือ ทางฝั่ง คีน กลับตรงกันข้าม มันบอกน้ำเนื้อตัวตนอยู่แล้ว ไม่ต้องการคำอธิบายอะไรนัก เพราะคำให้การต่างๆล้วนตรงไปตรงมา
1
อีกทั้งยืนหยัดชัดเจนว่าไม่จำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์กับ เฟอร์กี้ ต่อให้ร่วมหัวจมท้าย ฝ่าฟันจนประสบความสำเร็จมากมาย
เคยขอโทษก็จริง แต่ขอเอาคืนกลับมา เสียใจที่เคยกล่าวคำนั้นลงไป
นั่นหมายถึงความอาฆาตไม่เคยหายไปจากข้างในเลย
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
1
โฆษณา