11 ม.ค. 2021 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #ขุดหลุมฝังตัวเอง ]
ก่อนที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะตัดสินใจเกษียณในปี 2013 ไฟในการทำงานยังคุกรุ่นไม่ได้มอดเลยสักนิด
เฟอร์กี้ กำลังสนุกกับการไล่ล่าความสำเร็จที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะแข้งเจนใหม่ที่กำลังจะก้าวขึ้นมาจากทีมเยาวชน
ทีมไอ้แอ้ดของแมนฯยูไนเต็ดเพิ่งผงาดครองแชมป์เอฟเอยูธ คัพฤดูกาล 2010/11 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปีที่หวนกลับมาคว้าโทรฟี่
ผลงานอันเปล่งปลั่งของเด็กขบวนนั้น สร้างความเนื้อเต้นให้กับ เฟอร์กี้ เหลือเกิน มองเห็นอนาคตอันสดใส ภาพคลาส ออฟ 92 ถูกจุดขึ้นมาทันที
20 ปีผ่านไปมันนานพอที่จะถึงเวลาพอเหมาะ กงล้อแห่งประวัติศาสตร์หมุนมาถึงอีกครั้ง
คลาส ออฟ 92 คือกลุ่มนักเตะที่เติบโตมาจากอะคาเดมี่แมนฯยูไนเต็ด ก่อนก้าวสู่ชุดใหญ่ยกสถานะเป็นแกนหลัก ร่วมกอดคอฝ่าฟันนำความสำเร็จมามากมาย
ไรอัน กิ๊กส์ , นิคกี้ บัตต์ , เดวิด เบ็คแฮม , พอล สโคลส์ , แกรี่ และ ฟิล เนวิลล์ ล้วนแต่เป็นผลผลิตอันล้ำค่า จนอาจเรียกว่าเป็นปรากฏการณ์เลยก็ได้และกลายเป็นตำนานโจษขานทุกวันนี้
ส่วนทีมชุดแชมป์ยูธคัพในปี 2011 มีแก๊งที่ฝีเท้าดีเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ปอล ป็อกบา , เจสซี่ ลินการ์ด , ไมเคิ่ล และ วิลล์ คีน ซึ่งเป็นพี่น้องกัน , โจชัว คิง , ร็อบบี้ เบรดี้ , ทอม ลอว์เรนซ์ และ แซม จอห์นสตัน
แต่คนที่ เฟอร์กี้ ประทับใจมากที่สุดถึงขั้นสมัครเป็นแฟนตัวยง กลับไม่ใช่ ป็อกบา หรือ ลินการ์ด
ไอ้หนูคนดังกล่าวคือ ราเวล มอร์ริสัน ต่างหาก
เฟอร์กี้ เฝ้ามองพรสวรรค์ของ มอร์ริสัน ด้วยความตื่นเต้น มักจะแวบมาดูตอนซ้อมหรือลงเล่นอยู่บ่อยๆ พร้อมทั้งยังชักชวนพวกแข้งรุ่นใหญ่ให้มาดูด้วยกัน เพื่อจะได้วิเคราะห์ไอ้หนูคนนี้ไปในตัว
ไม่ว่าจะเป็น ริโอ เฟอร์ดินานด์ หรือ แกรี่ เนวิลล์ ต่างยกนิ้วด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่พรสวรรค์เท่านั้น แต่เด็กคนนี้ยังมีไหวพริบดีมากๆ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง เอาตัวรอดได้ยามในสถานการณ์คับขัน
มีการนำ มอร์ริสัน ไปเปรียบกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไม่ใช่เรื่องสไตล์หรือแนวทางการเล่น แต่เป็นอนาคตจะยิ่งใหญ่ทัดเทียมกัน
เฟอร์กี้ จึงตั้งใจจะประคบประหงมดูแลอย่างเต็มที่ หากปล่อยปละละเลยอาจเสียผู้เสียคนได้ การใกล้ชิดนักเตะทุกฝีก้าว เข้านอกออกในประตูบ้าน ทำความรู้จักกับผู้ปกครองล้วนเป็นกลยุทธ์ที่นำมาใช้ได้ผลดีทั้งสิ้น
มอร์ริสัน ถูกค้นพบโดยอดีตคนหนึ่งของแมนฯยูไนเต็ดที่ชื่อว่า ฟิล โบรแกน จากนั้นแจ้งมายัง เฟอร์กี้ ซึ่งประทับใจผลงานทันที รำพึงกับคนรอบข้างว่า "ไอ้เด็กคนนี้เจ๋งสุดในรุ่นเดียวกันแล้ว"
ปี 2009 เขาย้ายมาเป็นสมาชิกใหม่ในอะคาเดมี่ปีศาจแดงด้วยวัยเพียงแค่ 16 ปี ใช้เวลาปีเศษๆก็ขยับสู่ชุดใหญ่สำเร็จ ด้วยความสามารถเก่งกาจเกินวัย ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกักไว้ทีมเด็ก
1
อย่างไรก็ตามแม้ มอร์ริสัน จะเป็นโลคั่ลบอยหรือเด็กท้องถิ่น แต่พื้นฐานครอบครัวมีปัญหาหนัก ต้องอาศัยอยู่กับปูย่า ไม่ได้มีพ่อแม่คอยดูแลเหมือนเด็กรุ่นเดียวกัน
ชีวิตของ มอร์ริสัน จึงมีปม มันส่งผลต่อสภาพจิตใจเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
หลายครั้งที่เขาใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ตกเป็นเหยื่ออารมณ์ร้อนของตัวเอง แทบไม่เคยควบคุมได้เลย
อายุแค่ 16 ก็ต้องขึ้นโรงพักถึงสองหนด้วยกัน คดีแรกอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่มีทั้งปืนและสารเสพติดไว้ในครอบครอง อีกเคสโดนกล่าวหาทำร้ายร่างกายแม่ตัวเองจนได้รับบาดเจ็บ
แน่นอนเรื่องเหล่านี้ เฟอร์กี้ ซึ่งตามติดอย่างใกล้ชิดรู้ดีว่าเป็นอย่างไร แต่หลายครั้งสามารถกำราบแข้งพยศเหล่านี้ได้ บรรดานักเตะเก่งๆมักจะมาจากครอบครัวที่มีปัญหาหรือชนชั้นกรรมาชีพ การเข้าถึงเพื่อให้คำแนะนำและความช่วยเหลือจึงสำคัญ
เมื่อคิดว่าคุ้มค่าที่จะต้องแลกกับความเอาใจใส่ เฟอร์กี้ จึงให้ความไว้วางใจ มอร์ริสัน มาตลอด
อย่างไรก็ดีประวัติขึ้นโรงพักของ มอร์ริสัน เข้าขั้นโชกโชนเหลือเกิน ตอนอายุ 18 ก็หวิดจะต้องขึ้นศาล ดีว่าแค่โดนปรับเงินจากคดีความปาโทรศัพท์แฟนสาวที่คบกัน รวมทั้งใช้วาจาขมขู่
2
เฟอร์กี้ เคยเตือนเรื่องเพื่อนฝูงที่คบอยู่ พยายามถอยห่างมาจากคนเหล่านั้น หากอยากประสบความสำเร็จในการเป็นนักเตะอาชีพ โน้มน้าวหรือชี้ตัวอย่างแข้งมากมายที่หนีจากชีวิตวัยรุ่นอันน่าหดหู่ แล้วประสบความสำเร็จมีทั้งชื่อเสียงและเงินทอง
แต่ มอร์ริสัน ติดเพื่อนมากๆ กลุ่มที่สนิทนั้นล้วนแต่มีประวัติเชื่อมโยงกับความรุนแรง ยาเสพติด อาชญากรรมต่างๆ
แม้จะได้รับการยกย่องมากมายในแง่ฝีเท้า สื่อใหญ่และนักข่าวท้องถิ่นมาสัมภาษณ์หรือทำสกู๊ป แทนที่จะสร้างความภาคภูมิใจ ทำให้โฟกัสกับฟุตบอลอยู่ตลอดเวลา
เปล่าเลยสมาธิของ มอร์ริสัน กลับอยู่ที่การรวมกลุ่มกับแก๊งตัวเอง ดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน ปาร์ตี้แทบทุกคืน
ครั้งหนึ่งเคยถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า ร่วมกับเพื่อนตัวแสบทั้งหลาย ไปตะโกนขมขู่หน้าบ้านคู่อริ จนครอบครัวทนกับการคุกคามอันน่ารังเกียจไม่ไหวต้องย้ายไปที่อื่น
ทัณฑ์บนต่างๆ รวมทั้งคดีค้างคาในศาลเยาวชน ไม่อาจบังคับให้ มอร์ริสัน เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาเลย
จริงๆหากเป็นนักเตะคนอื่นก่อเรื่องซ้ำหนสอง คงโดนอัปเปหิออกจากทีมแล้ว คนอย่าง เฟอร์กี้ เต็มที่ให้โอกาสแค่สองครั้งเท่านั้นแหล่ะ ไม่มีประเภทพร่ำเพรื่อ เพราะไม่ชอบขู่แต่ลงมือเลย
แต่เคสนี้พยายามจะเข็นอย่างเต็มที่แล้ว นานวันเข้ากลับแย่ลงเรื่อยๆ ไร้สัญญาณเตือนว่าจะดีขึ้น
มันไม่ใช่แค่เรื่องก่อคดีจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเท่านั้น ยังกระทบมาถึงเรื่องวินัยต่างๆ มาซ้อมสายไม่พอ ยังเหยาะแหยะอีกต่างหาก ไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่าพร้อมจะเป็นนักเตะอาชีพ
เมื่อความอดทนถึงคราวสิ้นสุด เฟอร์กี้ ส่งต่อไปให้เวสต์แฮมดูแลแทน ซึ่งตอนนั้นมี แซม อัลลาร์ไดซ์ ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเฮี้ยบไม่น้อยเป็นผู้จัดการทีมในปี 2012
นี่เป็นการเลือกให้ที่ดีสุดแล้ว หวังว่า มอร์ริสัน จะเติบโตและเข้าใจอะไรมากขึ้นกว่าเดิม
แรกทีเดียวดูเหมือนหลายอย่างไปได้สวย มอร์ริสัน เริ่มซ้อมหนักขึ้น ทำตัวอยู่ในกรอบ ควบคุมอาหาร ไม่กินทุกอย่างที่ขวางหน้าเหมือนเคย มีจะก่อปัญหาเรื่องดูถูกเพศที่สาม จนโดนปรับไปอีกรอบก็ตาม
แต่น่าเสียดายที่ "บิ๊กแซม" นี่เอง ที่เป็นคนทำลายความมุ่งมั่นตั้งใจลูกทีมตัวเอง มอร์ริสัน ออกมาแฉว่าโดนหั่นชื่อทิ้งจากทีมชุดใหญ่ เพราะไม่ยอมเซ็นสัญญาเข้าไปอยู่ในสังกัดเอเยนต์ที่สนิทกัน
แน่นอนกุนซือร่างใหญ่ปฎิเสธด้วยท่าทีขึงขัง แล้วตอนนั้นภาพ มอร์ริสัน ก็เป็นเด็กดื้อ แล้วใครบ้างจะไปเชื่อพวกประวัติไม่ดี
จากนั้นชีวิตก็ล้มลุกคลุกคลาน ไปอยู่ลาซิโอก็แทบไม่ได้เล่น โดนปล่อยยืมอย่างเดียว พอเริ่มลำบากรายได้ขาดมือก็ต้องยอมไปทั้งลีกสวีเดนหรือเม็กซิโก
ล่าสุดหมดสัญญากับเอดีโอ เดน ฮากในลีกสูงสุดฮอลแลนด์ เล่นไปเพียง 5 เกมเท่านั้นเอง
กุมภาพันธ์นี้ มอร์ริสัน จะครบ 28 ปีเต็ม หากเลือกเดินในทางที่ถูกต้อง คงจะประสบความสำเร็จมากกว่านี้ ไม่ว่าจะชื่อเสียงหรือเงินทอง
1
ในขณะที่อดีตเพื่อนร่วมรุ่นกำลังกอบโกยกัน แม้จะไม่ใช่ช่วงพีกแต่ ปอล ป็อกบา หรือ เจสซี่ ลินการ์ด ก็ยังดีกว่ามากนัก
หลายคนเสียดาย มอร์ริสัน เหลือเกิน แต่ตัวเขาเองนั่นแหล่ะที่ควรเสียดายมากที่สุด
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา