18 ม.ค. 2021 เวลา 03:53 • กีฬา
ถ้าหากมีใครบอกก่อนเกมว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะได้ 1 แต้มกลับออกจากการไปเยือน ลิเวอร์พูล ผมเชื่อว่าแฟนผีหลายคนน่าจะพอใจ
“พอใจ” นะครับ ไม่ใช่ “สะใจ”
เพราะแค่ 1 คะแนน มันก็ยังเพียงพอที่จะทำให้ทีมปีศาจแดงรักษาระยะห่าง 3 แต้มบนตารางคะแนนจากคู่ปรับตลอดกาลได้ต่อไป แถมการันตีว่าจะยังไม่ร่วงลงจากจ่าฝูง เนื่องจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังมีจำนวนเกมแข่งน้อยกว่า
เหตุผลข้อที่ 2 คุณต้องไม่ลืมว่า “แอนฟิลด์” มันคือนรกที่แท้จริงสำหรับทีมเยือน
ก่อนเกมแดงเดือดครั้งที่ 205 ในประวัติศาสตร์ เจ้าของแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษ 19 สมัยทำสถิติไม่แพ้ใครที่บ้านตัวเองมานานถึง 67 นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก โดยเป็นการชนะถึง 55 นัด เสมอเพียง 12 เกม
นับตั้งแต่เสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-0 เมื่อเดือนตุลาคม 2018 ก็ไม่เคยมีเกมไหนอีกที่อาคันตุกะเก็บคลีนชีตกลับออกจากถิ่นหงส์แดงไปได้
สถิติยังบอกว่าเจ้าบ้านเป็นฝ่ายชนะเกมลีกนัดเหย้าถึง 39 ครั้ง จาก 42 นัดหลังสุดก่อนเข้าสู่ปี 2021
แต่กลายเป็นว่า บรรดาแฟนผีหลายคนที่รับชมเกมคู่หยุดโลกเมื่อคืนวันอาทิตย์ตลอดทั้ง 90 นาที ต่างรู้สึกเสียดายที่ทีมไม่ได้ 3 คะแนน แทนที่จะได้แค่ 1 แต้มจากผลเสมอแบบโนสกอร์อย่างที่เห็น
หลายคนอาจชี้ประเด็นว่าแชมป์เก่ากำลังอยู่ในสภาพพิการ ขาดแคลนเซนเตอร์แบ็กระดับซีเนียร์ยกแผง มันน่าจะเป็นโอกาสทองที่แนวรุกความเร็วจัดของปีศาจแดงจะเล่นกันง่ายขึ้น
แต่ความจริงก็คือจาก 13 เกมล่าสุดที่ต้องขาดปราการหลังตัวเก่งอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ก็ยังไม่เคยมีใครยิงประตูใส่ ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีกได้มากกว่านัดละ 1 ลูกเลยสักทีม
นั่นคือหลักฐานบ่งบอกว่าเกมรับไม่ใช่ปัญหา พวกเขามีสุดยอดนายประตูอย่าง อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่เหนียวแน่นไว้ใจได้ ส่วนการป้องกันก็ยังไม่เฟอะฟะ แม้จะต้องถอยกองกลางตัวรับอย่าง ฟาบินโญ่ ลงไปเล่นเซนเตอร์มานานกว่า 3 เดือนก็ตาม
คุณภาพที่ขาดหายไปจริงๆ คือประสิทธิภาพการขับเคลื่อนเกมจากแผงมิดฟิลด์ต่างหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ต้องถอยลงไปยืนกองหลังอีกคน มันทำให้การเชื่อมเกมในแดนกลางไม่ลื่นไหลเหมือนที่เคย
การเดินเกมรุกจากริมเส้นที่เคยเป็นจุดขายก็แทบไม่มีอันตรายอีกแล้ว เมื่อฟูลแบ็ก 2 ฝั่งทั้ง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ทำมาตรฐานการเปิดบอลอันแม่นยำหล่นหายไป
3 ประสานแนวรุกอันลือชื่ออย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ก็พร้อมใจฟอร์มตกกันอย่างน่าเกลียด เมื่อ 3 คนยิงตรงกรอบรวมกันแค่ 7 ครั้งจากเกมลีก 4 นัดล่าสุด
นั่นคือเหตุผลที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องส่ง เซอร์ดาน ชากิรี่ ลงตัวจริงในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เป็นครั้งแรก เช่นเดียวกับให้ ติอาโก้ อัลกันตาร่า รับหน้าที่บัญชาเกมในแดนกลาง เพื่อหวังพึ่งบอลสวยๆ ในการทำเกมบุกขึ้นหน้าใส่ทีมเยือน
นี่คือสิ่งที่บรรดา เดอะ ค็อป ทั่วโลกอยากเห็น เพราะก่อนหน้านี้ ติอาโก้ ยังไม่เคยลงสนามในสีเสื้อหงส์แดงที่แอนฟิลด์มาก่อนเลย หลังจากที่เจอปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนเป็นส่วนใหญ่ตั้งแต่ย้ายมา
สำหรับ 11 ตัวจริงที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ใช้ในการบุกเยือนทีมหนึ่งเดียวที่ยังไม่เคยแพ้คาบ้านในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ มาในระบบถนัด 4-2-3-1
ไม่ใช่เรื่องผิดคาดที่ เฟร็ด กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ จะกลับคืนสู่ 11 ตัวจริง หลังถูกเก็บความฟิตไว้อย่างเต็มที่ จากการถูกพักเป็นตัวสำรองในเกมบุกเฉือน เบิร์นลี่ย์ 1-0 เมื่อกลางสัปดาห์
1
อีกตำแหน่งที่มีการเปลี่ยนแปลงก็คือคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟของ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่เกมนี้ โซลชาร์ เลือกใช้งาน วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ แทน เอริก ไบยี่
นายใหญ่ผีแดงเผยเหตุผลที่ดร็อป ไบยี่ ซึ่งฟอร์มกำลังดีเอาไว้ว่า เขาคิดจะใช้งาน ลินเดอเลิฟ ในเกมแดงเดือดมาตั้งแต่แรกแล้ว โดยให้ดาวเตะทีมชาติสวีเดนซ้อมวิธีรับมือแนวรุกหงส์แดงมาตลอดทั้งสัปดาห์โดยเฉพาะ และไม่ใช้งานในเกมกับ เบิร์นลี่ย์ เพื่อเลี่ยงปัญหาบาดเจ็บซ้ำ
แต่สิ่งที่ผิดคาดไปจากเดิมพอสมควร ก็คือการสลับตำแหน่งนักเตะหลายคนให้แตกต่างจากเกมก่อนๆ ที่แฟนบอลคุ้นเคย
มาร์คัส แรชฟอร์ด ถูกดันขึ้นไปเล่นกองหน้าตัวเป้า ไม่ได้ประจำการด้านกว้างแบบที่ผ่านๆ มา
ปอล ป็อกบา ไม่ได้ยืนตรงกลาง และไม่ได้ฉีกออกฝั่งซ้าย แต่ถูกจับไปเล่นปีกขวาเป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้
ส่วนคนที่ต้องไปยืนกองหน้าตัวซ้ายแทนคือ อองโตนี่ มาร์กซิยาล
แท็กติกของ โซลชาร์ คือการรับลึกในแดนตัวเอง เพื่อไม่เปิดพื้นที่ว่างให้ 3 ตัวบนของลิเวอร์พูลมีโอกาสใช้ความเร็วตามถนัด แล้วรอสวนกลับด้วยการวางบอลยาวให้กองหน้าหาพื้นที่ไปรับบอล
นั่นคือเหตุผลที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้รับบทหัวหอกตัวบนสุด เพราะเขามีความเร็วและวิ่งฉีกออกซ้าย-ขวาได้ดีกว่า มาร์กซิยาล
ส่วนเหตุผลที่ ปอล ป็อกบา ได้ยืนทางขวา เป็นเพราะว่า โซลชาร์ หวังผลการวางบอลยาวที่มีประสิทธิภาพได้จากริมเส้นทั้ง 2 ข้าง บวกกับรูปร่างสูงใหญ่ของกองกลางดีกรีแชมป์โลก จะทำให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน วิ่งผ่านไม่ง่ายนัก
ทางฝั่งซ้ายมีฟูลแบ็กอย่าง ลุค ชอว์ ที่ทำหน้าที่นั้นได้ดี แต่ทางฝั่งขวา อารอน วาน-บิสซาก้า ไม่ใช่ฟูลแบ็กที่เปิดบอลได้น่าไว้ใจ และการเลือก ป็อกบา ฉีกไปทำเกมทางด้านนั้น ก็เพื่อให้ทางเลือกในการโต้กลับไม่ได้เอียงซ้ายข้างเดียวแบบเกมอื่นๆ
ในแดนกลาง เฟร็ด กับ แม็คโทมิเนย์ จะช่วยกันยืนต่ำ วิ่งป้วนเปี้ยนสร้างความรำคาญให้ทีมเจ้าถิ่นไม่สามารถต่อบอลได้ลื่นไหล
สถิติหลังจบเกมเผยว่า 2 คนนี้เข้าปะทะสำเร็จมากที่สุดในสนามที่จำนวน 5 ครั้งเท่ากัน
การที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ถอยลงไปรับต่ำ ก็เพื่อปิดพื้นที่การเล่นตามช่องของหงส์แดง นั่นทำให้ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ต้องทำงานหนัก วิ่งพล่านเป็นจุดศูนย์รวมของการตั้งเกม
กองกลางทีมชาติสเปนคือนักเตะที่สัมผัสบอลมากที่สุดในเกมนี้ (121 ครั้ง), ผ่านบอลมากที่สุด (96 ครั้ง), เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งมากที่สุด (5 ครั้ง), ดักบอลมากที่สุด (6 ครั้ง), สร้างโอกาสไม่น้อยกว่าใครในสนาม (2 ครั้ง) และมีเปอร์เซ็นต์จ่ายบอลเข้าเป้าสูงถึง 86.5%
อย่างไรก็ตาม ด้วยพื้นที่ที่มีไม่มากในแดนของทีมเยือน ต่อให้ ติอาโก้ จะสำแดงคลาสระดับโลกออกมาได้อย่างโดดเด่นแค่ไหน แต่ ลิเวอร์พูล ก็แทบไม่สามารถสร้างความระคายเคืองให้ ดาบิด เด เคอา ต้องออกแรงเซฟเลย
งานยากที่สุดในเกมนี้ของมือหนึ่งปีศาจแดง คือการกระโดดปัดลูกยิงไกลของ ติอาโก้ ในนาทีที่ 78 ที่เกือบจะเสียบใต้คาน และเป็นการสับไกยิงที่ดีที่สุดในเกมนี้ของผู้เล่นลิเวอร์พูลทั้งทีม
นอกเหนือจากนั้น ถ้าเจ้าถิ่นไม่ยิงไปตรงตัวให้ เด เคอา รับไว้ไม่กระฉอก ก็ต้องติดบล็อค หรือไม่ก็ยิงหลุดกรอบไปเองทั้งหมด
ปีก 2 ข้างอย่าง ซาลาห์ กับ มาเน่ ที่พยายามสลับตำแหน่งกันเล่น เพื่อทำให้ฟูลแบ็กปีศาจแดงตามประกบได้ยากขึ้น ก็ยังขาดๆ เกินๆ ในจังหวะสุดท้ายกันไปหมด
นี่คือเกมที่แผงแบ็กโฟร์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นัดกันระเบิดฟอร์มเทพออกมาพร้อมๆ กัน
อารอน วาน-บิสซาก้า อาจมีครึ่งแรกที่ไม่ดีนัก ช่วงต้นเกมเขาหุบเข้าในมากเกินไปจนเปิดโอกาสให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เข้าสู่พื้นที่อันตรายหลายครั้ง และมีจังหวะหนึ่งที่ลงไม่ทันจนโดน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ สวนกลับทางฝั่งซ้าย แต่ครึ่งหลังก็เล่นได้เหนียวแน่นขึ้น
วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ทำผลงานยอดเยี่ยมสมกับที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ไว้วางใจ เกมนี้เขาเคลียร์บอลอันตรายทิ้งมากที่สุดถึง 9 ครั้ง และไม่มีความผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น
แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ยิ่งเล่นยิ่งนิ่งขึ้นเยอะ เขาคือเสาหลักของทีมอย่างเต็มตัว อ่านทางบุกของลิเวอร์พูลได้อย่างยอดเยี่ยม เกมนี้เขาบล็อคลูกยิงได้มากที่สุด (5 ครั้ง) และไม่ปล่อยให้ใครเอาชนะเขาในการดวลลูกกลางอากาศ
ส่วนคนที่เจ๋งที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็น ลุค ชอว์ นี่อาจจะเป็นเกมที่เจ้าตัวเล่นได้ดีที่สุดในฤดูกาลนี้เลยก็ว่าได้
แบ็กซ้ายวัย 25 ปี ไม่เปิดโอกาสให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เลี้ยงผ่านได้เลยสักครั้ง เขาเป็นผู้เล่นที่รับบอลมากที่สุดของทีมเยือน (69 ครั้ง) โดดเด่นในการซ้อนดักเก็บบอล แถมมีจังหวะเติมขึ้นไปถึงสุดเส้นหลังในกรอบเขตโทษ ก่อนไหลให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส แประยะเผาขนไปติดเซฟด้วยขาของ อลีสซง เบ็คเกอร์ อีกต่างหาก
หากดูเฉพาะสถิติหลังแข่ง ตัวเลขมันดูเหมือนว่าจะเป็นเกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด สู้กับ ลิเวอร์พูล ไม่ได้
เพราะไม่ว่าจะเป็นเปอร์เซ็นต์ครองบอล (65.7% ต่อ 34.3%), โอกาสยิง (17 ต่อ 8), จำนวนการผ่านบอล (667 ต่อ 344) และการได้เตะมุม (7 ต่อ 3) ล้วนเป็นเจ้าถิ่นที่เหนือกว่าลิบลับ
แต่ “โอกาสจะแจ้ง” ที่ใกล้เคียงกับการได้ประตู เป็นทางฝั่งลูกทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ที่ได้ลุ้นเน้นๆ กว่า นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงบอกว่า แฟนผีต้องเสียดายที่ทีมรักได้แค่แต้มเดียว ไม่ใช่ 3 แต้ม
ในครึ่งแรก หงส์แดงอาจได้ยิงรวมกันถึง 9 ครั้ง แต่มันตรงกรอบแค่หนเดียวที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ยิงไปตรงตัว ดาบิด เด เคอา
แต่โอกาสยิงครั้งเดียวในครึ่งแรกของผีแดงที่มันไม่ตรงกรอบ คือฟรีคิกที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ปั่นเฉี่ยวเสาออกหลัง ชนิดที่ตอนดูช็อตแรก นึกว่า “หาย” ไปแล้ว
ถึงแม้โอกาสยิงของ ลิเวอร์พูล จะมีมากกว่าทีมคู่ปรับตลอดกาลเป็นเท่าตัว แต่ทางฝั่งทีมเยือนมีสถิติยิงตรงกรอบมากกว่า (4 ต่อ 3)
การที่เจ้าของตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ เกมนี้ คือนายประตูเจ้าถิ่นอย่าง อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่เซฟช่วยทีมในเกมนี้ถึง 4 ครั้ง คือหลักฐานยืนยันว่าหงส์แดงเกือบแพ้คาบ้านมากแค่ไหน
1
ในครึ่งแรก อลีสซง ยังไม่ต้องออกแรงเซฟเลยสักหน แต่พอเข้าสู่ครึ่งหลัง นายด่านทีมชาติบราซิลแสดงให้เห็นว่าทำไมเขาถึงมีค่าตัวสูงถึง 66.8 ล้านปอนด์
จังหวะที่เขาล้มตัวใช้ขาเซฟลูกแประยะเผาขนของ บรูโน่ ในนาที 75 มันทำให้ผมนึกถึงการเซฟลักษณะเดียวกันของ ดาบิด เด เคอา ที่ใช้ขาเซฟลูกยิงระยะ 6 หลาของ โฌแอล มาติป เมื่อปี 2017
และช็อตที่ต้องอุทานว่า “แม่งเซฟได้ไง” คือจังหวะที่ ปอล ป็อกบา มีโอกาสจบสกอร์ที่ดีที่สุดในเกมนี้ เมื่อรับบอลจาก อารอน วาน-บิสซาก้า แล้วได้ซัดเน้นๆ แบบไม่มีคนประกบ แต่ว่า อลีสซง กลับล้มตัวตบทิ้งออกหลังได้อย่างเวิลด์คลาส
ไม่เพียงแต่การเซฟลูกยาก แต่เทพพิทักษ์มือหนึ่งของหงส์แดงยังมีสมาธิอ่านเกมได้ดีตลอด เขากะจังหวะออกจากเส้นประตูมาตัดจังหวะโต้กลับเร็วของ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ยอดเยี่ยมตลอดทั้ง 90 นาที แถมสามารถเตะเปิดเกมได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
ผมคิดว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ วางแท็กติกในเกมนี้ได้ดีมากๆ
ถ้าจะบอกว่านี่คือเกมแดงเดือดที่ผีแดงบุกมาสู้กับ ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่แอนฟิลด์ได้อย่างสูสีที่สุดก็ไม่ใช่คำพูดที่ผิดไปเลย
วินัยในเกมรับ และการเล่นอย่างอดทน พร้อมหาจังหวะโต้กลับได้อย่างอันตราย ทำให้ทีมแชมป์เก่าไม่สามารถยกระดับเกมได้อย่างที่ตัวเองตั้งใจ และต้องหวังพึ่งความสุดยอดของนายประตู เพื่อรอดพ้นความพ่ายแพ้
โซลชาร์ ใช้โควตาเปลี่ยนตัวในเกมนี้ 2 ครั้ง ครั้งแรกคือการถอด อองโตนี่ มาร์กซิยาล ออกมาหลังจากผ่านหนึ่งชั่วโมงของเกม เพื่อส่ง เอดินสัน คาวานี่ ลงไปแทน แล้วขยับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ฉีกออกไปเล่นตัวริมเส้น
การเคลื่อนที่ของ คาวานี่ สร้างปัญหาให้คู่เซนเตอร์ไม่ธรรมชาติของเจ้าบ้านได้ไม่น้อย ขณะที่ แรชฟอร์ด ก็มีพื้นที่ในการใช้ความเร็วมากขึ้นในครึ่งหลัง
น่าเสียดายที่การตัดสินใจไม่ดีพอในจังหวะสุดท้าย ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังสำหรับสตาร์เจ้าของเสื้อหมายเลข 10 ผีแดง จังหวะที่ควรจ่ายกลับไม่จ่าย แต่ชอบยื้อพาบอลไปเอง แล้วหลายครั้งที่กลายเป็นทำให้ทีมเสียของ
ในแง่พละกำลังและเทคนิค แรชฟอร์ด มีดีพอที่จะเป็นตัวรุกเบอร์ต้นๆ ของพรีเมียร์ลีก แต่เจ้าตัวคงต้องปรับทัศนคติมากกว่านี้ เพื่อลดความดื้อรั้นในการหวงบอลลงบ้าง น่าจะช่วยให้ทีมมีโอกาสลุ้นประตูมากขึ้นอีกเยอะ
ส่วนการถอด บรูโน่ แฟร์นันด์ส ออกจากสนามให้ เมสัน กรีนวู้ด ลงไปแทนในช่วงท้ายเกม จนดาวเตะแดนฝอยทองออกอาการหงุดหงิด โซลชาร์ ให้เหตุผลว่ามันเป็นเรื่องของแท็กติก
เขาต้องการขยับ ปอล ป็อกบา เข้ามายืนตรงกลาง เนื่องจากดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศสมีสภาพร่างกายดีกว่า บรูโน่ ที่แข้งขาล้าอย่างเห็นได้ชัด ส่วน กรีนวู้ด คือผู้เล่นที่สามารถหาจังหวะสับไกยิงได้เองในพื้นที่จำกัด
อย่างไรก็ตาม การที่ทีมเยือนเล่นแบบระมัดระวังเป็นหลักจนถึงวินาทีสุดท้ายของเกม ทำให้ กรีนวู้ด ลงสนามไปโดยไม่ได้สัมผัสบอลแม้แต่ครั้งเดียว และเกมจบลงด้วยผลเสมอ 0-0
ผมคิดว่าแผนของ โซลชาร์ ได้ทำงานของมันอย่างดีแล้ว แต่ที่ทีมยังน็อคแชมป์เก่าให้แพ้คาบ้านไม่สำเร็จ เป็นเพราะใช้โอกาสจบสกอร์จะแจ้งที่มีจำกัดได้ไม่ละเอียดพอเท่านั้นเอง
จากบทสัมภาษณ์หลังจบเกม ดูเหมือนว่าทั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์ และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ต่างคิดว่าทีมของตัวเองสมควรเป็นผู้ชนะ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะต่างฝ่ายต่างทำได้ดีไม่แพ้กัน
คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์กับ บีบีซี แบบหงุดหงิดนิดๆ ที่เจอกับคู่แข่งมาเล่นด้วยแท็กติกน่าอึดอัด ทั้งที่ทีมอุตส่าห์เป็นฝ่ายครองเกมได้เป็นส่วนใหญ่
“สิ่งที่แย่ที่สุดที่คุณจะเจอได้ในเกมฟุตบอล ก็คือการที่คุณเจอกับทีมที่มีนักเตะระดับโลกหลายคน และพวกเขาทั้งหมดตั้งรับด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี, รับลึกในกรอบเขตโทษ และเล่นโต้กลับได้ดี”
“มันจึงเป็นเรื่องยากจริงๆ นั่นคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่วิธีที่เราเข้าใจเกม, วิธีที่เรารู้สึกกับเกม รวมถึงปฏิกิริยาของเราในช่วงเวลาเหล่านั้น มันคือเรื่องดีจริงๆ”
“แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็น นั่นหมายความว่าเราจะต้องทำงานเพื่อสิ่งนั้นต่อไป ทั้งหมดก็แค่นั้น”
ส่วน โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ยอมรับว่า เขาผิดหวังนิดหน่อยที่ตัวเองยังไม่สามารถพาทีมชนะในเกมแดงเดือดได้สำเร็จซะที ถึงแม้การได้แต้มกลับจากแอนฟิลด์ จะไม่ใช่ผลงานที่แย่ก็ตาม
“ผมรู้ว่าเราเล่นให้ดีกว่านี้ได้ แต่เรายังสามารถออกไปจากที่นี้ด้วย 1 แต้มที่แสดงให้เห็นว่าเรามาไกลแค่ไหนในช่วงเวลา 1 ปีหรือแม้กระทั่ง 6 เดือน”
“เราไม่ได้เป็นฝ่ายกำหนดเกมของเราเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครึ่งแรก ผมคิดว่าเราเติบโตระหว่างเกม และในท้ายที่สุดคุณรู้สึกว่า “ต้องงี้สิ เรามาที่นี่เพื่อชนะ” และเราสร้างโอกาสจะแจ้งได้ 2 ครั้ง และผู้รักษาประตูของพวกเขาเซฟได้อย่างสุดยอด 2 หน”
“ผมต้องพูดตามตรงว่าตอนนี้ผมรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย แต่คุณก็ยังรู้ตัวว่าคุณกำลังเล่นกับทีมที่ยอดเยี่ยม และพวกเขาครองเกมได้มากกว่า”
“แต่คุณก็ยังอยากที่จะลุยต่อ และคุณรู้ว่าพวกเขามีปัญหานักเตะบาดเจ็บมากมายในช่วงที่ผ่านมา คุณคิดว่าคุณจะบุกมาที่นี่และคว้าผลการแข่งขันได้ ซึ่งเราทำไม่ได้ แต่ 1 แต้มมันอาจจะโอเค ถ้าหากเราชนะได้ในเกมถัดไป”
ทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงไม่เสียสถิติสุดยอดของตัวเองในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้
หงส์แดงยังคงเป็นทีมเดียวที่ยังไม่แพ้ใครในบ้านตัวเอง ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากแค่ไหนก็ตาม ต่อให้เจอปัญหากองหลังบาดเจ็บยกแผง หรือแนวรุกฟอร์มตก ก็ยังประคองตัวเองเกาะกลุ่มนำได้ขนาดนี้ ถือว่าสุดยอดแล้ว
ขณะที่ทางฝั่งปีศาจแดงก็ยังเป็นทีมที่เก่งนอกบ้าน และกลายเป็นทีมที่แพ้ยากที่สุดทีมหนึ่งของพรีเมียร์ลีกตอนนี้ โดยไร้พ่ายในลีกมานานถึง 12 นัดติดต่อกัน
ส่วนเรื่องของตารางคะแนน ต้องไม่ลืมว่าเดือนมกราคม คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าบทสรุปตอนจบฤดูกาลมันจะเป็นอย่างไร อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นกับซีซั่นที่ยังเหลืออีกครึ่งทาง และช่องว่างระหว่างจ่าฝูงจนถึงอันดับ 6 มันยังคงสูสี
บทสรุปแดงเดือดครั้งที่ 205 ที่จบลงไป มันอาจไม่มีประตูเกิดขึ้น มันอาจเป็นเกมที่ต่างฝ่ายต่างมีจุดที่ไม่น่าพอใจ
แต่เราไม่ได้เห็นเกมที่มีดราม่ากรรมการ หรือการตัดสินที่น่ากังขาจากวีเออาร์ มันคือเกมที่สู้กันด้วยคุณภาพล้วนๆ
ผมคิดว่ามันเป็นเกมที่เราได้เห็นทีมที่ยอดเยี่ยม 2 ทีมต่อสู้กัน โดยที่ไม่ว่าใครเป็นฝ่ายชนะ ก็สมศักดิ์ศรีทั้งนั้น และการแบ่งกันไปทีมละ 1 คะแนน จึงเป็นผลการแข่งขันที่เหมาะสมแล้ว
#เสียบสามเหลี่ยม #แมนฯยูไนเต็ด #ผีแดง #แมนยู #โซลชาร์ #บรูโน่แฟร์นันด์ส #ป็อกบา #ชอว์ #ลินเดอเลิฟ #แม็กไกวร์ #แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด #ลิเวอร์พูล #ติอาโก้อัลกันตาร่า #อลีสซง #เจอร์เก้นคล็อปป์ #หงส์แดง #แอนฟิลด์ #แดงเดือด #พรีเมียร์ลีก
โฆษณา