20 ม.ค. 2021 เวลา 02:29 • กีฬา
ถึงแม้ผลงานของ เชลซี ก่อนบุกเยือน คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม คืนวันอังคาร จะสามารถคว้าชัยชนะมา 2 นัดติดต่อกันแบบไม่เสียประตู ทั้งในบอลถ้วยและเกมลีก แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ช่วยให้ลูกทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด มีความมั่นใจในการบุกไปเยือน เลสเตอร์ ซิตี้ แม้แต่น้อย
การส่งแกนหลักลงเกินครึ่งทีมเพื่อถล่มทีมจาก ลีก ทู อย่าง มอร์แคมบ์ ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ และการบุกเฉือน ฟูแล่ม ที่เหลือ 10 คนตั้งแต่ครึ่งแรก แบบที่ต้องอาศัยความผิดพลาดของนายประตูฝั่งตรงข้ามถึงจะได้ชัยชนะ 1-0 มันยังไม่ใช่มาตรฐานที่น่าไว้ใจ สำหรับการเจอทีมที่ลุ้นขึ้นจ่าฝูงชั่วคราว
1
ยิ่งฟอร์มการเล่นไม่ได้ตามเป้า นับวันดูเหมือนว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะยิ่งคิดมาก จัด 11 ตัวจริงแบบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอด โดยไม่มีทีมชุดไหน และนักเตะคนไหนลงไปในสนามด้วยความมั่นใจเลย
สำหรับ 11 ตัวจริงที่ แลมพาร์ด จัดลงไปสู้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ยังคงยึดระบบ 4-3-3 โดยเปลี่ยนผู้เล่นจากชุดบุกชนะ ฟูแล่ม แบบหืดจับ 1-0 ทั้งหมด 4 คน
รีซ เจมส์ กลับมายึดตัวจริงในตำแหน่งแบ็กขวาแทนกัปตันทีมอย่าง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า
ไค ฮาแวร์ทซ์ ได้โอกาสออกสตาร์ทเป็นตัวทำเกมเยื้องไปทางฝั่งขวา โดย จอร์จินโญ่ หลุดไปนั่งสำรอง พร้อมกับหุบ มาเตโอ โควาซิช เข้ามาเป็นศูนย์กลางของแผงมิดฟิลด์
ปีกขวาถอด ฮาคิม ซิเย็ค หลุดไปนั่ง แล้วใช้ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ที่โดดเด่นในการลงเป็นตัวสำรองเกมพบเจ้าสัวน้อย ลงเล่นเกมนี้ตั้งแต่นาทีแรก
ขณะที่กองหน้าตัวเป้า ต้องมีการเปลี่ยนจาก โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ที่มีปัญหาบาดเจ็บก่อนเกมมาเป็น แทมมี่ อับราฮัม โดย ติโม แวร์เนอร์ ที่ฟอร์มตกอย่างหนัก ยังต้องเริ่มต้นบนม้านั่งสำรองไปก่อน
ในรายของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่พ้นโทษแบนกลับมาแล้ว ไม่สามารถช่วยทีมในเกมนี้ได้ เนื่องจากมีปัญหาเจ็บต้นขาและแฮมสตริง
ส่วนผู้เล่นอย่าง เอดูอาร์ เมนดี้, ติอาโก้ ซิลวา, เบน ชิลเวลล์, เมสัน เมาน์ท และ คริสเตียน พูลิซิช ยังไงก็การันตีตำแหน่งตัวจริงอยู่แล้ว เพราะต่างคนต่างมีฟอร์มที่น่าไว้ใจกว่าคนอื่นในตำแหน่งของตัวเอง
ทางด้าน เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ยังยึด 11 ตัวจริงชุดเดิมเป็นนัดที่ 3 ติดต่อกันในเกมลีก
หากไม่นับเกมที่บุกเสมอ คริสตัล พาเลซ 1-1 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม เขาใช้ทีมชุดนี้ออกสตาร์ทถึง 5 ครั้งจาก 6 เกมหลังสุด
แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล สวมปลอกแขนกัปตันเป็นนายประตู ส่วนแผงแบ็กโฟร์ประกอบด้วย ทิโมธี กัสตันเญ่, เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, จอนนี่ อีแวนส์ และ เจมส์ จัสติน
ยูริ ตีเลมันส์ กับ วิลเฟรด เอ็นดิดี้ ยืนปักหลักเป็นฐานในแดนกลาง ส่วนแนวรุกคือการประสานงานของนักเตะชาวอังกฤษล้วนๆ ได้แก่ มาร์ค อัลไบรท์ตัน, เจมส์ แมดดิสัน, ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ส่วนหน้าเป้ายังไงก็ต้องเป็น เจมี่ วาร์ดี้
ร็อดเจอร์ส ใช้ทีมชุดนี้เป็นหลักมาตั้งแต่หลังจบเกมแพ้ เอฟเวอร์ตัน 0-2 คาบ้านก่อนวันคริสต์มาส
และด้วยสถิติไม่แพ้ใครหลังจากนั้นเป็นต้นมา สามารถบุกชนะ สเปอร์ส 2-0 และเปิดบ้านเสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-2 ส่วนผลงานหลังขึ้นปีใหม่ก็ชนะรวด มันบ่งบอกว่านี่คือไลน์อัพที่ดีที่สุดสำหรับ เลสเตอร์ ในช่วงสำคัญของฤดูกาลนี้
ผมคงไม่พูดเกินไปนัก ถ้าจะบอกว่า เชลซี ขาดทุกอย่างที่ดีพอที่จะคว้าแต้มกลับออกจาก คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ได้ในเกมนี้
สิ่งแรกที่ขาด คือ “จังหวะที่เป็นใจ”
พวกเขาโดนนำอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เกมผ่านไปแค่ 6 นาที จากจังหวะต่อเนื่องจากลูกเตะมุม ซึ่ง ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ตวัดยิงแป้ก แต่กลายเป็นเข้าทางปืน วิลเฟรด เอ็นดิดี้ เติมขึ้นมาตะบันด้วยซ้ายจากนอกเขตโทษ บอลติดไซด์ก้อยไปชนเสาเด้งตุงตาข่าย
นี่คือประตูที่มีส่วนผสมของทั้งความโชคดีและการวางเท้ายิงที่ยอดเยี่ยม
และการที่เจ้าถิ่นออกนำเร็วขนาดนั้น มันทำให้แท็กติกเน้นเกมโต้กลับของ เลสเตอร์ ทำได้ง่ายขึ้น
ส่วนประตูที่ 2 ที่ เจมี่ วาร์ดี้ วิ่งกลับจากตำแหน่งล้ำหน้าลงไปดวลแย่งลูกโหม่งกับ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ และนำมาสู่การเล่นจังหวะถัดมาของ มาร์ค อัลไบรท์ตัน ที่เปิดบอลขึ้นหน้าเลยไปถึง เจมส์ แมดดิสัน แปเข้าไป ก็ไม่ถือเป็นจังหวะออฟไซด์
ตามกติกาแล้ว นักเตะฝ่ายรุกที่เข้าไปเล่นบอลเป็นคนแรกในจังหวะที่เริ่มเล่นใหม่มาจากลูก goal kick จะไม่ถูกจับล้ำหน้าแน่นอน เป็นอันว่าประตูนี้ไม่มีข้อกังขาใดๆ ครับ
นั่นหมายความว่า เลสเตอร์ ซิตี้ ได้ 2 ประตูจากจังหวะที่เป็นใจทั้ง 2 ลูก ส่วนจังหวะที่ เชลซี เกือบได้ประตู มันโชคร้ายทั้งหมด
จังหวะที่เกือบได้จุดโทษในช่วงนาที 30 ที่ คริสเตียน พูลิซิช โดน จอนนี่ อีแวนส์ เสียบคว่ำบนเส้นกรอบเขตโทษ วีเออาร์ ก็เช็คเหตุการณ์ย้อนหลัง แล้วบอกกับผู้ตัดสินว่าเป็นลูกฟรีคิกแทน
ส่วนจังหวะที่ ติโม แวร์เนอร์ ที่ลงมาเป็นตัวสำรอง โฉบเข้ายิงเปลี่ยนทางลูกเปิดฟรีคิกจาก ฮาคิม ซิเย็ค ที่ลงมาเล่นในครึ่งหลังเช่นกัน แล้วส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายได้สำเร็จ ก็โดนจับล้ำหน้าไปอีก
สิ่งที่ 2 ที่ขาดไปคือเรื่องของ “แท็กติก” ที่ดีพอในการเอาชนะ
เลสเตอร์ ซิตี้ ค้นพบระบบและ 11 ตัวจริงที่ลงตัวที่สุดไปแล้ว แต่ทางฝั่ง เชลซี ป่านนี้ยังไม่รู้ว่าสรุปแล้วว่า Best XI มันต้องมีใครบ้าง
เชลซี ยังไม่มีจินตนาการอะไรในการเจาะเข้าทำ นอกจากพยายามถ่ายบอลไปมาแล้วหาทางเปิดบอลจากด้านข้างเข้าไปลุ้น หรือไม่ก็วางบอลยาวขึ้นนไปให้กองหน้า
ผมแปลกใจตรงที่ นักเตะที่สร้างโอกาสจากลูกเปิดริมเส้นได้ดีที่สุดอย่าง ฮาคิม ซิเย็ค และกองหน้าที่เหมาะกับการรับบอลยาวโต้กลับอย่าง ติโม แวร์เนอร์ กลับไม่ได้ลงสนามตั้งแต่แรก
แฟร้งค์ แลมพาร์ด ยังขยับแก้เกมช้ามาก กว่าจะใช้โควตาเปลี่ยนตัว 2 คนแรกที่ให้ ซิเย็ค กับ แวร์เนอร์ ลงสนามก็ปาเข้าไปเกือบช่วง 20 นาทีสุดท้ายแล้ว ทั้งที่รูปเกมไร้วี่แววที่จะทวงประตูคืนอยู่นาน
การเล่นเกมรับก็ยังหละหลวม เหมือนพวกกองหลังไม่มีความเข้าใจในการประกบตัวผู้เล่นของเจ้าถิ่น
ส่วนการไม่มีกองกลางที่โฮลด์บอลดีๆ ทำให้ เลสเตอร์ ต่อบอลอย่างรวดเร็ว โดยใช้จังหวะไม่มาก ก็ไปถึงหน้าประตูของเชลซีแล้ว
ที่เปอร์เซ็นต์ครองบอลออกมาเป็น เลสเตอร์ ครองบอลน้อยกว่ามาก (35.6% ต่อ 64.4%) สาเหตุเป็นเพราะ เชลซี ใช้เวลานานเกินไปในการเล่นกับลูกบอล แต่พอโดนตัดได้ ทีมจิ้งจอกจะจู่โจมโดยใช้เวลาไม่เยอะนั่นแหละ
ถือว่าทีมเยือนโชคดีด้วยซ้ำที่เสียประตูแค่ 2 ลูก เพราะ เอดูอาร์ เมนดี้ ก็ช่วยเซฟจังหวะสำคัญเอาไว้หลายครั้ง แถมจังหวะกลับตัวยิงของ มาร์ค อัลไบรท์ตัน ในครึ่งหลังก็ล้ำหน้าก่อน
สิ่งที่ 3 ที่สำคัญมากที่ขาดไป คือ “แพชชั่น”
เราไม่เห็นความมุ่งมั่นของ เชลซี ที่จะเล่นเพื่อชนะ และดูเหมือนว่านักเตะทั้งทีมไม่มีใครมีความมั่นใจหลงเหลืออีกเลย
เมื่อไร้ความมั่นใจ สิ่งที่ขาดหายไปแน่นอนก็คือจินตนาการ ที่จะทำให้คู่แข่งเจอกับการป้องกันที่ยาก
แฟร้งค์ แลมพาร์ด เองก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่ายืนกอดอกทำหน้าเคร่งขรึมที่ข้างสนาม โดยไม่มีการกระตุ้น หรือสั่งการให้ลูกทีมเปลี่ยนแปลงวิธีอะไรสักอย่างให้มันดีกว่านี้
สุดท้ายกลายเป็นว่า เบรนแดน ร็อดเจอร์ส สามารถพาทีมเอาชนะทีมสิงโตน้ำเงินครามเป็นครั้งแรกในชีวิต ได้ในการเจอกันครั้งที่ 16 หลังจากก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะเป็นสมัยที่คุม สวอนซี หรือ ลิเวอร์พูล เขาไม่เคยทำสำเร็จเลย
สำหรับ เลสเตอร์ ซิตี้ ถือว่าพวกเขาได้ชัยชนะมาจากการทำงานหนัก ช่วยกันวิ่งเข้าหาบอลกันตลอดทั้งเกม และไม่มีความผิดพลาดใดๆ ให้เห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่มันไม่เกิดขึ้นกับ เชลซี
เจมส์ แมดดิสัน คือ แมน ออฟ เดอะ แมตช์ จากการที่ยิงประตูในเกมลีก 3 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกในชีวิต วิ่งพล่านอย่างดุดันตลอด 75 นาทีที่อยู่ในสนาม และมีสถิติการผ่านบอลเข้าเป้ามากถึง 92.3%
อีกคนที่โดดเด่นคือ เจมส์ จัสติน เกมนี้เขาทำให้แบ็กขวาเชลซีอย่าง รีซ เจมส์ กลายเป็นนักเตะที่ทำอะไรไม่เป็นไปเลย ขณะที่ มาร์ค อัลไบรท์ตัน ก็มีส่วนกับการได้ประตูทั้ง 2 ลูก
นี่ขนาดดาวยิงตัวความหวังอย่าง เจมี่ วาร์ดี้ ฟอร์มฝืดมานาน ยิงประตูไม่ได้มา 5 เกมติดต่อกัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับ เลสเตอร์ เลย ในเมื่อพวกแนวรุกอย่าง แมดดิสัน, อัลไบรท์ตัน และ ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ช่วยกันยกระดับผลงานขึ้นมาทดแทน
การที่ เลสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นมาถึงตำแหน่งจ่าฝูงไม่ใช่เรื่องฟลุก เพราะฤดูกาลนี้ พวกเขาคือทีมที่เก็บชัยชนะได้มากที่สุดถึง 12 นัด
พวกเขานำเงินค่าตัว 50 ล้านปอนด์ ที่ได้จากการปล่อย เบน ชิลเวลล์ ไปค้าแข้งในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ เปลี่ยนเป็นการลงทุนที่ยอดเยี่ยม ด้วยการเสริม เวสลี่ย์ โฟฟาน่า กับ ทิโมธี กัสตันเญ่ เข้ามาด้วยค่าตัว 2 คนรวมกันราวๆ ครึ่งร้อยล้านปอนด์
ร็อดเจอร์ส นำบทเรียนที่ได้จากความผิดหวังซีซั่นก่อนที่หลุดตำแหน่งท็อปโฟร์ กลับมาเป็นแรงผลักดันให้ทีมทำงานหนักมากขึ้นในฤดูกาลนี้
และการมี 38 คะแนนในตอนนี้ ถือเป็นการออกสตาร์ทครึ่งซีซั่นแรกด้วยการมีคะแนนน้อยกว่า 19 นัดแรกของฤดูกาลที่เป็นแชมป์แค่แต้มเดียวเท่านั้น
ถ้าจะบอกว่าทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก้าวขึ้นมาลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อย่างเต็มตัว ก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินไปเลย หลังจากเอาชนะทีมใหญ่ได้ทั้ง แมนฯ ซิตี้, อาร์เซน่อล, สเปอร์ส มาจนถึง เชลซี และสามารถตามตีเสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ในช่วงท้ายเกม
ส่วน เชลซี ของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาใช้เงินเสริมทัพมากที่สุดในยุโรปกว่า 200 ล้านปอนด์ กลับทำผลงานแย่กว่าช่วงเวลาเดียวกันของฤดูกาลก่อนที่ซื้อใครไม่ได้เสียอีก
19 นัดแรกของฤดูกาล 2019-20 พวกเขารั้งอันดับ 4 มี 32 คะแนน แต่ตัดภาพมาที่ตอนนี้ พวกเขามีแค่ 29 แต้ม หล่นมาอยู่อันดับ 8 แล้ว เป็นรองแม้กระทั่ง เวสต์แฮม ของ เดวิด มอยส์
ไม่มีใครลืมผลงานของ แลมพาร์ด ที่สามารถพาทีมชุดที่ต้องเข็นเด็กปั้นเป็นแกนหลัก เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ และคว้าโควตามาเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ได้
แต่ดูเหมือนว่า กุนซือหนุ่มชาวอังกฤษ จะไม่ใช่คนที่เหมาะกับการบริหารทีมที่ความคาดหวังสูงกว่าเดิม และใช้ทรัพยากรที่มีราคาแพงกว่าเดิมได้ดีนัก
เผลอๆ ถ้า เชลซี ไม่เสริมทัพอะไรมากมายในซีซั่นนี้ เขาอาจจะทำผลงานได้ดีกว่านี้ด้วยซ้ำ เพราะไม่จำเป็นต้องลองผิดลองถูกอะไรมากมาย จนผลงานออกทะเลอย่างที่เห็น
เมื่อนักข่าวไปถาม แฟร้งค์ แลมพาร์ด หลังเกม ว่าเขาคิดว่าอนาคตของตัวเองในการคุมเชลซีจะเป็นอย่างไร เจ้าตัวบอกว่า “ความคาดหวังที่สโมสรนี้มันสูง มันคือสิ่งที่จะมีอยู่ตลอด”
“มันไม่ใช่การตัดสินใจของผม (ว่าจะได้อยู่คุมต่อหรือไม่) มันมีอะไรบางอย่างอยู่เหนือการคุมของคุณเสมอ ผมจึงไม่สามารถตอบได้”
จากสิ่งที่ แลมพาร์ด พูดออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะเตรียมใจไว้แล้ว ว่าภารกิจพาทีมยกระดับจากการคว้าอันดับ 4 ฤดูกาลที่แล้ว มันอาจต้องหลีกทางให้โค้ชที่มีบารมีมากกว่าเข้ามาทำงานแทน
และคนที่รู้ตัวว่าเวลาทำงานของตัวเองกำลังจะหมดลง ส่วนใหญ่แล้วมัก “หมดไฟ” ซะด้วย
#เสียบสามเหลี่ยม #แลมพาร์ด #เชลซี #เอ็นดิดี้ #แมดดิสัน #ร็อดเจอร์ส #เลสเตอร์ #พรีเมียร์ลีก
โฆษณา