21 ม.ค. 2021 เวลา 05:20 • กีฬา
“มันจะเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงเสมอ เมื่อคุณผ่านครึ่งทางของฤดูกาลและคุณเป็นจ่าฝูงของลีก แต่เรายังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยจริงๆ”
“เราแค่ต้องไปทีละเกมในเวลานี้ และทำให้ทุกคนยังแข็งแรงและสดชื่น แล้วมาดูกันว่าเราจะไปอยู่ในจุดไหน เรากำลังทำได้ดีขึ้น พวกนักเตะกำลังดีกว่าเดิม พวกเขาแกร่งขึ้น, เข้มแข็งขึ้นทั้งด้านร่างกายและจิตใจ”
“เราได้เห็นกันแล้วหลายครั้งในฤดูกาลนี้ ที่พลิกกลับมาจากสถานการณ์โดนนำ 1-0 ผมจึงพอใจกับความก้าวหน้า และภูมิใจมากกับการปฏิบัติตัวของพวกเขาเอง ทั้งที่สนามซ้อม, การเตรียมพร้อมสำหรับแต่ละเกม รวมถึงทีมสต๊าฟฟ์โค้ช มันมหัศจรรย์”
โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ให้สัมภาษณ์เอาไว้หลังจบเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกชนะ ฟูแล่ม 2-1 ในเกมคู่ดึกสุดของคืนวันพุธ ซึ่งจบลงช่วงเช้าตรู่วันพฤหัสบดีตามเวลาบ้านเรา
ทีมปีศาจแดงสามารถจบเกมการแข่งขันด้วยการรั้งจ่าฝูงได้เป็นนัดที่ 3 ติดต่อกัน พร้อมกับเป็นทีมแรกของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ที่เก็บได้ครบ 40 แต้ม
ถึงแม้ เลสเตอร์ ซิตี้ จะเอาตำแหน่งจ่าฝูงไปครอบครองก่อน 1 คืน และถึงแม้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะเป็นฝ่ายกำหนดชะตาคว้าแชมป์ของตัวเอง เนื่องจากมีเกมตกค้างเหลือในมืออยู่ 1 นัด แถมเอาชนะ แอสตัน วิลล่า ได้ก่อน 2-0
แต่หน้าที่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือการทำยังไงก็ได้ ให้กลับออกจาก คราเว่น ค็อทเทจ พร้อมกับ 3 คะแนนเต็มสถานเดียว
อันดับก่อนเกมของ ฟูแล่ม อาจจะอยู่แค่อันดับ 18 ซึ่งเป็นโซนตกชั้น แถมนับตั้งแต่เข้าสู่เดือนธันวาคม เจ้าสัวน้อยก็ไม่ชนะใครเลยในเกมลีก แต่ทีมของ สกอตต์ พาร์คเกอร์ ก็ไม่ได้กระจอกขนาดที่จะแพ้ใครง่ายๆ
สถิติบอกว่า นับตั้งแต่ออกไปโดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านอัด 2-0 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พวกเขาก็ไม่เสียประตูให้ใครเกินกว่านัดละ 1 ประตูให้เห็นอีก
ฟูแล่ม ต่อกรกับ ลิเวอร์พูล ได้อย่างสูสีในเกมที่เจ๊ากัน 1-1 ชนิดที่เกือบจะเอาชนะแชมป์เก่าได้ด้วยซ้ำ แถมยังทำแสบใส่ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ด้วยการบุกตีเสมอไก่เดือยทองด้วยสกอร์เดียวกันได้ในช่วงท้ายเกม
ถ้าหากไม่เล่นแบบใจร้อนจนโดนใบแดง หรือก่อความผิดพลาดไปเองจนแจกของขวัญให้คู่แข่ง พวกเขาน่าจะมีผลการแข่งขันที่ดีกว่าการโดน นิวคาสเซิ่ล ตามตีเสมอ หรือแพ้ เชลซี คาบ้าน
นั่นทำให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ไม่สามารถมองเกมนี้เป็นทางผ่าน แบบที่จะประเมินศักยภาพเจ้าถิ่นต่ำเกินไป จนโรเตชั่นมั่วซั่วได้
ถึงแม้เพิ่งผ่านเกมหนักด้วยการบุกเสมอ ลิเวอร์พูล 0-0 มาเมื่อวันอาทิตย์ แถมยังมีเกมแดงเดือดเวอร์ชั่น เอฟเอ คัพ รออยู่อีกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในช่วงสุดสัปดาห์ แต่เขาโรเตชั่น 11 ตัวจริงเพียง 3 ตำแหน่ง
เอริก ไบยี่ ลงมายืนเซนเตอร์แบ็ก แทน วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่มีปัญหาบาดเจ็บที่หลัง นั่นทำให้ปราการหลังทีมชาติสวีเดนไม่มีชื่อแม้กระทั่งเป็นตัวสำรอง
มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ทำผลงานน่าผิดหวังที่แอนฟิลด์ ถูกดร็อปไปนั่งดูเพื่อนเล่นก่อนซะบ้าง เพื่อเปิดทางให้ เอดินสัน คาวานี่ ออกสตาร์ทในตำแหน่งหน้าเป้า
และด้วยความที่เจอทีมชื่อชั้นเป็นรอง จึงเป็นธรรมดาที่ต้องเน้นเกมรุกมากขึ้น ทำให้ ปอล ป็อกบา ถูกหุบจากตำแหน่งปีกขวากลับเข้ามาเป็นตัวทำเกมในแผงมิดฟิลด์ แล้วใส่ เมสัน กรีนวู้ด เป็นกองหน้าฝั่งขวาแทน โดยที่ อองโตนี่ มาร์กซิยาล ยังคงยึดตัวจริงทางฝั่งซ้าย
กองกลางตัวตัดเกมเหลือ เฟร็ด แค่คนเดียว ทำให้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ หลุดจากผังตัวจริง เพราะมีแนวโน้มสูงว่า “แม็คซอส” อาจต้องใช้พลังงานอย่างหนักอีกครั้ง ในการเจอกับ ลิเวอร์พูล คืนวันอาทิตย์นี้
จุดที่น่าสนใจก็คือ โซลชาร์ ยังไม่คิดโรเตชั่น 3 ดาวเตะที่สุ่มเสี่ยงติดโทษแบนเกมลีกนัดหน้าที่จะเปิดบ้านพบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด หากโดนใบเหลืองในเกมนี้ อย่าง แฮร์รี่ แม็กไกวร์, บรูโน่ แฟร์นันด์ส และ ลุค ชอว์
นั่นแสดงให้เห็นว่ากุนซือชาวนอร์เวย์มองว่าการเยือน ฟูแล่ม คือเกมที่ยากกว่าการเล่นในบ้านเจอทีมบ๊วย
และนั่นทำให้ผังไลน์อัพ 11 ตัวจริงที่เขาจัดลงสนามเจอเจ้าสัวน้อย ยังเป็นชุดที่แข็งแกร่ง โดยยังไม่มีที่ว่างให้ อเล็กซ์ เตลลิส หรือ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ได้สอดแทรก
ถึงแม้เจ้าบ้านจะขาดตัวหลักที่โดนแบนไป 2 ราย ได้แก่แบ็กซ้ายอย่าง แอนโทนี่ โรบินสัน ที่โดนใบแดงจากการเสียบใส่ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า อย่างน่าเกลียดในเกมแพ้ เชลซี และตัวรุกอย่าง บ็อบบี้ เดคอร์โดว่า-รีด ที่สะสมใบเหลืองครบ 5 ใบ แต่ระบบการเล่นที่มีเซนเตอร์แบ็กถึง 3 คน คืองานยากสำหรับทุกทีมที่จะเจาะประตูจากพวกเขา ณ ชั่วโมงนี้
1
หมากของ ฟูแล่ม คือ 3-4-2-1 โดยทิ้งตัวจี๊ดจ๊าดอย่าง อเดโมล่า ลุคแมน เป็นตัวบนสุด
2 ตัวรุกถัดลงมาอย่าง รูเบน ลอฟตัส-ชีค กับ อิวาน คาวาเลยโร่ จะคอยฉีกออกริมเส้น เพื่อให้แท็กติกเปลี่ยนเป็น 5-4-1 เมื่ออยู่ในสถานการณ์ตั้งรับ
การได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่ 5 นาทีแรกจากจังหวะหลุดเดี่ยวไปยิงของ ลุคแมน ที่ อารอน วาน-บิสซาก้า ขยับตัวช้าเกินไปในจังหวะเช็คล้ำหน้า น่าจะทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เจอกับสถานการณ์ที่ลำบาก
นับตั้งแต่ สกอตต์ พาร์คเกอร์ รับตำแหน่งนายใหญ่แห่งถิ่น คราเว่น ค็อทเทจ นี่คือการขึ้นนำคู่แข่งเป็นครั้งที่ 41 นับรวมทุกรายการ
ซึ่งสถิติบอกว่า 40 ครั้งก่อนหน้านี้ที่ ฟูแล่ม สามารถทำประตูนำก่อน 1-0 พวกเขาไม่เคยแพ้ใคร (ชนะ 34 เสมอ 6)
อย่างไรก็ตาม การพลิกสถานการณ์จากตามหลัง กลับมาคว้าชัยชนะเหนือคู่แข่งได้สำเร็จ คือจุดแข็งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้เช่นเดียวกัน โดยทำให้เห็นมาแล้วถึง 6 ครั้ง แถมเป็นการชนะนอกบ้านล้วนๆ
คุณภาพตัวผู้เล่นของปีศาจแดงเหนือกว่าเจ้าสัวน้อยอยู่แล้ว แถมรูปเกมก็เป็นฝ่ายครองบอลบุกใส่แทบจะข้างเดียว ถ้าเจ้าถิ่นไม่เหนียวจริงๆ ยังไงทีมเยือนก็มีลุ้นยิงคืนได้แน่
ถึงแม้นาที 21 บรรดา เร้ด อาร์มี่ ต้องเสียดายกันเป็นแถว เมื่อจังหวะพลิกบอลซัดด้วยซ้ายเน้นๆ จากนอกกรอบของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส พุ่งไปชนเสาเด้งออกมา แต่แค่ไม่กี่วินาทีถัดจากนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ตีเสมอเป็น 1-1
อัลฟงส์ อาเรโอล่า นายประตูฟูแล่ม แจกของขวัญเป็นประตูให้คู่แข่งเป็นนัดที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากเมื่อวันเสาร์ เขาเพิ่งกระโดดปัดบอลพลาดเข้าทาง เมสัน เมาน์ท ยิงประตูชัยให้ เชลซี มาหมาดๆ
มาเกมนี้ นายด่านชาวฝรั่งเศสล้มตัวปัดลูกเปิดจากกราบซ้ายของ บรูโน่ เข้าทาง เอดินสัน คาวานี่ อดีตเพื่อนร่วมทีมเปแอสเช ปรี่เข้าซัดด้วยซ้ายตุงตาข่ายอย่างง่ายดาย
นี่คือประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ของดาวยิงทีมชาติอุรุกวัย ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในเกมนัดเยือน แต่นี่คือลูกแรกที่หัวหอกผมสลวยทำได้ในการลงตัวจริง
หลังจากตีเสมอได้เร็ว แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เร่งเครื่องหวังแซงนำก่อนจบครึ่งแรกให้ได้ และก็มีโอกาสได้ประตูหลายครั้ง
แต่จังหวะลองยิงไกลอีกครั้งของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส โดน อาเรโอล่า แก้ตัวด้วยการพุ่งปัดทิ้งได้ ส่วนลูกโหม่งเตะมุมของ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ แบบที่ได้ขึ้นโขกคนเดียวแล้วโล่งๆ มันก็ยังไม่เข้ากรอบ
นั่นทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถจบครึ่งแรกด้วยการนำคู่แข่งได้ถึง 8 ครั้ง จาก 10 เกมเยือนในลีกฤดูกาลนี้ โดยมีเพียงนัดพบกับ เอฟเวอร์ตัน และวันที่เจอทีมบ๊วยอย่าง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่แซงนำ 2-1 ได้ก่อนเข้าช่วงพักครึ่ง
ด้วยรูปเกมที่ทีมปีศาจแดงไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เป็นรองใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ไม่จำเป็นต้องรีบใช้โควตาเปลี่ยนตัว
อย่างไรก็ตาม การที่ ฟูแล่ม ยังตั้งรับกันได้อย่างเหนียวแน่น บวกกับฟอร์มสุดทื่อของตัวริมเส้น 2 ฝั่งทั้ง เมสัน กรีนวู้ด และ อองโตนี่ มาร์กซิยาล ทำให้ทีมเยือนแทบไม่สามารถสร้างโอกาสเข้าทำได้เลย นอกจากความพยายามลองยิงไกลของ บรูโน่ หรือการลุ้นประตูจากลูกเตะมุม ที่แทบไม่มีอันตราย
แต่สิ่งที่เป็นข้อแตกต่างระหว่าง ฟูแล่ม กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือ “คลาส” ของตัวผู้เล่น ซึ่งความสามารถเฉพาะตัวของ ปอล ป็อกบา นำมาสู่ประตูชัยตัดสินเกม
การเติมขึ้นไปจับบอลลงอย่างนิ่มนวลที่บริเวณฝั่งขวา ก่อนล็อคบอลหลบ แฮร์ริสัน รีด เข้าเท้าซ้ายข้างที่ไม่ถนัด แล้วหาเหลี่ยมซัดด้วยเท้าข้างนั้นจากนอกเขตโทษ ส่งบอลพุ่งเสียบเสาไกลอย่างเฉียบขาด กลายเป็นประตูที่สมบูรณ์แบบของเจ้าตัวยิ่งกว่าลูกวอลเลย์ดับ เบิร์นลี่ย์ เมื่อสัปดาห์ก่อนเสียอีก
นับตั้งแต่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เข้ามาคุมทีม นัดไหนก็ตามที่ ป็อกบา ทำประตูนอกบ้าน สถิติบอกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะเป็นฝ่ายชนะ 100% นับรวมทุกถ้วย ประตูนี้จึงยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวนักเตะและแฟนบอลอย่างมากทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผีแดงจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญกับการพลิกสถานการณ์จากโดนนำ กลับมาเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะ เพราะทำได้เป็นครั้งที่ 7 แล้วในซีซั่นนี้ มากกว่าทุกทีมในลีก แต่สิ่งที่พวกเขายังไม่ดีพอคือเรื่องของการปิดเกมให้มันเร็วๆ
นับตั้งแต่เปิดบ้านถล่ม ลีดส์ ยูไนเต็ด 6-2 ก่อนคริสต์มาส หลังจากนั้นมา แฟนผีแดงต้องลุ้นกันปัสสาวะเหนียวจนถึงนาทีสุดท้ายของเกมทุกนัด ว่าทีมรักจะเก็บแต้มที่ต้องการได้หรือไม่
พวกเขาพลาดท่าโดน เลสเตอร์ ซิตี้ ตามตีเสมอก่อนหมดเวลา 5 นาที
ต้องอาศัยการเซฟระดับเทวดาของ ดาบิด เด เคอา บวกกับช็อตพุ่งบล็อคในตำนานของ เอริก ไบยี่ กว่าจะคว้า 3 แต้มได้จาก แอสตัน วิลล่า ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
พวกเขาเลือกหันไปเน้นตั้งรับหลังจากได้ประตูขึ้นนำ เบิร์นลี่ย์ ที่ เทิร์ฟ มัวร์ จนทีมของ ฌอน ไดช์ เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาที่จะแบ่งแต้ม
การเจอกับทีมที่ฟอร์มในบ้านสุดแกร่งอย่าง ลิเวอร์พูล ก็ไม่ละเอียดพอที่จะเปลี่ยนโอกาสทองให้เป็นประตูขึ้นนำได้
ซึ่งในเกมกับฟูแล่มนัดล่าสุด ดูเหมือนว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ต้องการเห็นทีมนำห่าง 2 ประตูให้แน่ใจว่าจะได้ 3 แต้มก่อน ถึงจะกล้าถอดตัวหลักออกมาพัก เขาจึงยังไม่ใช้โควตาเปลี่ยนตัวแม้แต่คนเดียว จนกว่าจะถึงนาทีที่ 85
แม้คุณภาพเกมการเล่นของทีมจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่แฟนบอลยังคงตั้งคำถามกับ โซลชาร์ คือเรื่องของความไว้ใจผู้เล่นคนอื่นที่เขาไม่ได้ส่งลงเป็น 11 ตัวจริง
อเล็กซ์ เตลลิส กับ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ยังคงไม่ได้โอกาสลงสัมผัสเกมลีกนับตั้งแต่เข้าปีใหม่ ส่วน แดเนียล เจมส์ กับ ฆวน มาต้า ก็กลายเป็นตัวเลือกลำดับหลังๆ
ถ้าจะหาแง่ดีในเรื่องของการเปลี่ยนตัวช้าของ โซลชาร์ ในเกมนี้ คงเป็นการที่ยังไม่เสียประตู และให้ตัวหลักอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้พักเยอะหน่อยเท่านั้น
บางทีนักเตะอย่าง เตลลิส, ฟาน เดอ เบค, เจมส์ หรือ มาต้า อาจได้ลงมาสัมผัสเกมบ้าง หากสามารถหนีห่างเป็น 3-1 ได้จากจังหวะที่ บรูโน่ บรรจงหยอดไปหน้าประตูให้ คาวานี่ สอดเข้าโหม่งเกือบจมตาข่าย แต่ อาเรโอล่า พุ่งเซฟไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ
เพราะหลังจากช็อตนั้นจนกระทั่งจบเกม กลายเป็นว่า ฟูแล่ม ที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว พยายามโหมบุกหนักจนมีลุ้นมากกว่าแทน
ดาบิด เด เคอา ต้องออกแรงใช้ขาเซฟลูกยิงของ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ในนาทีที่ 75 ซึ่งถ้าหากช็อตนั้นมันตุงตาข่าย รับรองได้เลยว่าทีมเยือนจะต้องเจอกับความกดดันอย่างหนักหน่วงแน่
และจังหวะที่เด็กผีเกือบใจสลายสุดๆ ก็คือช่วงทดเวลาบาดเจ็บที่ เคนนี่ เตเต้ โยนจากฝั่งขวาเข้าเขตโทษให้ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช ขึ้นโหม่งไปแฉลบ เอริก ไบยี่ ออกหลัง ชนิดที่อีกนิดเดียวจะเข้าประตู ส่วน ดาบิด เด เคอา ก็หมดสิทธิ์ป้องกันไปแล้ว
คุณค่าของ 1 คะแนนกับ 3 คะแนน มันแตกต่างกันมากสำหรับระบบเกมลีก แต่จังหวะอะไรแบบนี้ที่เราได้เห็นมาหลายๆ นัด บ่งบอกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีโชคช่วยไว้เหมือนกันที่คู่แข่งไม่คมพอ จนทำให้อันดับบนตารางของพวกเขาขึ้นมาสูงกว่าทีมอื่นๆ
ถึงแม้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส จะไม่มีชื่อทำประตูและแอสซิสต์ 3 นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ย้ายจาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน เมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว
แต่เกมนี้เขายังคงเป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ จากการที่มีโอกาสลุ้นทำประตูมากที่สุด (4 ครั้ง), สร้างโอกาสลุ้นถึง 2 หน แถมยังขยันวิ่งหาบอลตลอดทั้งเกมเหมือนที่ทำให้เห็นมาหลายๆ นัด
แต่เราต้องให้เครดิต ปอล ป็อกบา ด้วยเช่นกัน บางทีกองกลางทีมชาติฝรั่งเศสนี่แหละ ที่เป็น “เดอะ แบก” ของทีมอีกคน ณ ชั่วโมงนี้ ด้วยคลาสบอลระดับโลก ยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ และซัดประตูชัยนอกบ้านอย่างสวยงามมา 2 เกมติด
นี่ถ้าหากเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาไม่ตะบันเหน่งๆ ไปติดเซฟของ อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่แอนฟิลด์ ผีแดงจะชนะเกมเยือนได้ 3 นัดติดต่อกันจากประตูชัยของเขาล้วนๆ เลยทีเดียว
โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ให้สัมภาษณ์หลังเกมว่า การได้ 3 คะแนนเต็มในเกมที่ควรจะต้องได้ ไม่ว่ายังไงมันก็คือเรื่องที่น่าพอใจ แต่ต้องไม่ลืมเช่นกันว่าที่ผ่านมา มันได้มาอย่างเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า
“คุณรู้สินะ เมื่อคุณนับแต้มเมื่อตอนสิ้นสุดฤดูกาล คุณจะมองย้อนกลับมาแล้วบอกว่ามันคือเกมที่ยาก และนี่ก็คือเกมที่ยาก มันทำให้เรามั่นใจอย่างมาก และเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจเช่นกันที่ได้ 3 แต้มแทนที่จะได้แค่แต้มเดียว”
“จนกระทั่งจบเกม มันสามารถกลายเป็นผลเสมออย่างง่ายดายเลย เพราะพวกเขาสร้างโอกาสได้หลายครั้ง, ดาบิด เด เคอา ใช้ขาเซฟได้อย่างมหัศจรรย์ แต่เราควรจะปิดเกมได้ก่อนถึงจังหวะนั้นนะ”
ถึงแม้ตารางคะแนนจะยังบอกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือจ่าฝูง แต่ทุกคนรู้ดีว่าทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์ไปครองมากที่สุดยังคงเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แข่งน้อยกว่า
อีกจุดที่ต้องไม่ลืมก็คือ ทีมปีศาจแดงมีโปรแกรมที่โหดหินกว่าเดิมในครึ่งฤดูกาลหลัง เพราะการเจอทีมใหญ่ๆ ทั้ง อาร์เซน่อล, เชลซี, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ต้องไปเยือนทั้งหมด
ซึ่งแน่นอนว่าการพลิกสถานการณ์จากโดนนำกลับมาชนะเมื่อเจอทีมเหล่านี้ คงไม่ได้ง่ายเหมือนกับที่เคยทำได้ 7 ครั้งที่ผ่านมาแน่
ส่วนโปรแกรมในบ้านที่ดูเหมือนง่าย อย่างการเจอกับ เซาธ์แฮมป์ตัน หรือ เบิร์นลี่ย์ ช่วง 2-3 ปีหลัง มันกลับกลายเป็นเกมที่ชนะได้ยากของปีศาจแดงทั้งหมด ยังไม่รวมกับการต้องเจอทีมที่เล่นนัดเยือนได้ดีอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ และ เอฟเวอร์ตัน อีก
แน่นอนว่าตารางคะแนนไม่ได้โกหก การที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ พาทีมมาถึงจุดนี้ได้มันจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้เครดิต
ผลงานไร้พ่ายในพรีเมียร์ลีกมานานถึง 13 นัดติดต่อกัน ไม่แพ้เกมลีกนอกบ้านมานานกว่า 1 ปีเต็ม และทำผลงานในช่วงครึ่งซีซั่นแรกได้ดีกว่าทีมอื่นๆ อีกไม่น้อยกว่า 18 ทีม มันคือหลักฐานพัฒนาการที่ดีมากๆ ของผีแดงในยุคที่มีเขาเป็นนายใหญ่
แต่อย่างที่ โซลชาร์ บอกไว้เองหลังจบเกมว่า “มันจะเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงเสมอ เมื่อคุณผ่านครึ่งทางของฤดูกาลและคุณเป็นจ่าฝูงของลีก แต่เรายังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยจริงๆ”
แฟนบอลอาจจะตื่นเต้นกับการจ้องดูตารางคะแนน แต่หน้าที่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือการมองไปทีละเกม
ซึ่งหลังจากนี้ไป บททดสอบของการเป็นจ่าฝูงมันจะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ แน่
#เสียบสามเหลี่ยม #คาวานี่ #ป็อกบา #บรูโน่แฟร์นันด์ส #โซลชาร์ #แมนยู #แมนฯยูไนเต็ด #แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด #ฟูแล่ม #พรีเมียร์ลีก
โฆษณา